ที่มา ประชาไท
Mon, 2012-08-27 14:15
ทุกท่านเคยได้ยิน หรือเคยตั้งคำถามเหล่านี้ไหม ทำแท้งเป็นความผิดหรือไม่
การแต่งงานเพศเดียวกันเป็นเรื่องผิดหรือไม่ การผสมเทียมผิดหรือไม่
การรับเลือดหรืออวัยวะจากคนอื่นผิดหรือไม่ การทดลองในมนุษย์ผิดหรือไม่
การผลิตสเตมเซลล์จากรกเด็กผิดหรือไม่
การคุมกำเนิดและใช้ถุงยางอนามัยผิดหรือไม่ การุณฆาตเป็นเรื่องผิดหรือไม่
การนำอวัยวะเทียมใส่ร่างกายผิดหรือไม่ การโคลนนิ่งผิดหรือไม่
ตัวอ่อนในครรภ์มารดามีสภาพทางกฎหมายหรือไม่
การตัดต่อยีนพันธุกรรมเป็นเรื่องผิดหรือไม่
การทดลองในตัวอ่อนและทารกผิดหรือไม่
การค้นพบจีโนมมนุษย์ควรเป็นของสาธารณะหรือเป็นเพื่อการค้า
การทำการทดลองในสิ่งมีชิวิตอื่นผิดหรือไม่
ฯลฯ...............ปัญหาร้อยแปดประการที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันและในอนาคต
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ตั้งอยู่บนเรื่องจริยธรรมทาง
ชีวภาพ (Bioethics)
หลายคนอาจได้ยินคำว่าจริยธรรมทางการแพทย์ (Medical
Ethics)ในสังคมไทยบ่อยขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
แต่จริยธรรมทางการแพทย์จะตีกรอบแคบๆในลักษณะจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพทาง
การแพทย์ เช่น หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ประกอบวิชาชีพ
การกระทำและไม่ควรพึงกระทำในการประกอบอาชีพเป็นต้น
ส่วนจริยธรรมทางชีวภาพนั้นกินความกว้างกว่า
โดยเป็นการศึกษาถึงจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต ชีววิทยา
และการแพทย์ จริยธรรมทางการแพทย์จึงเป็นเพียงแค่ซับเซตของจริยธรรมทางชีวภาพ
จริยธรรมทางชีวภาพจึงเป็นการศึกษาถึงศีลธรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตใน
ระดับปรัชญาเพื่อหาคำตอบให้มนุษย์ว่าควรกระทำสิ่งใดหรือไม่ควรกระทำสิ่งใด
ต่อสิ่งมีชีวิต
เพื่อรักษาระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงส่งและควรค่าแก่การเรียกขานตนเองว่า
เป็นสัตว์ประเสริฐ
จริยธรรมทางชีวภาพเริ่มปรากฏตัวครั้งแรกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เนื่องจากสาเหตุการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
และการจับมนุษย์มาทดลองทางวิทยาศาสตร์ของนาซีเยอรมัน
ประมวลกฎหมายนูเรมเบิร์ก (1947)
แสดงถึงการเริ่มต้นของการร่วมกันของประชาคมโลกในการวางกฎสิบประการวางกรอบ
การทำการทดลองในมนุษย์ ทดลองทางวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นกรอบแคบๆเฉพาะเกี่ยวกับทางการแพทย์และจริยธรรม
ทางวิชาชีพเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน
จริยธรรมทางชีวภาพเริ่มขยายขอบเขตมากขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 60
สาเหตุจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เช่น การทำแท้ง
การคุมกำเนิดด้วยวิธีใหม่ๆ การผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ การผสมเทียม ตลอดจนการ
โคลนนิ่งเป็นต้น ซึ่งสิ่งต่าๆเหล่านี้กระทบต่อความเชื่อของศาสนาและปรัขญา
เช่น กรณีการรับเลือดหรืออวัยวะของผู้อื่น
จะเป็นการผิดหลักศาสนาอิสลามหรือไม่
การคุมกำเนิดนั้นขัดกับพระประสงค์ของพระเจ้าในศาสนาคาธอลิคหรือไม่ เป็นต้น
นอกจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แล้ว การเกิดขึ้นของสิทธิของปัจจเจกบุคคล
สิทธิความเป็นมนุษย์ สิทธิความเป็นตัวของตัวเอง
สิทธิการแสดงออกได้เพิ่มเข้ามาในสังคม
และเกิดปัญหาต่างๆในแนวทางการดำรงชีวิตของคนที่หลากหลายไปขัดกับหลักความ
เชื่อทางศาสนาหรือไม่ เช่น การแต่งงานของเพศเดียวกัน
การมีเพศสัมพันธุ์กับเพศเดียวกัน
และเมื่อเกิดการสร้างสิทธิใหม่ๆขึ้นในสังคมจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จริยธรรม
ทางชีวภาพจะต้องสัมพันธ์กับระบบกฎหมาย และการออกกฎหมาย
จริยธรรมทางชีวภาพจึงไม่สามารถเป็นแค่เรื่องของวิทยาศาสตร์หรือ
การแพทย์อีกต่อไป แต่เกี่ยวพันไปถึงศาสนา ความคิดเชิงปรัขญา กฎหมาย
การเมือง
และทุกคนในสังคมในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีผลกระทบจากปัญหาจริยธรรมทางชีวภาพ
จริยธรรมชีวภาพในฝรั่งเศส
จุดเริ่มต้นของการตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมชีวภาพในฝรั่งเศส
เริ่มจาก กฎหมายการยุติการตั้งครรภ์โดยสมัครใจในปี 1975
โดยหญิงที่ตั้งครรภ์ที่อยู่ในสถานการณ์ลำบากสามารถเรียกร้องการตั้งครรภ์ได้
โดยอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์
การอนุญาตทำแท้งส่งผลต่อเกิดคำถามและข้อขัดแย้งในสังคม
การทำแท้งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งสอนของพระเจ้าหรือไม่
การทำแท้งเป็นการฆ่าชีวิตเด็กในท้องหรือไม่
ตัวอ่อนในครรภ์มีสถานะบุคคลที่กฎหมายรับรองหรือไม่ ในขณะเดียวกัน
การตั้งท้องโดยไม่เต็มใจและไม่ยุติการตั้งครรภ์จะส่งผลต่อชีวิตมารดาอย่างไร
ขอบเขตของสิทธิมารดาต่อร่างกายของตนเองและสิทธิการได้รับการทำแท้งอย่างถูก
ต้องทางสาธารณสุขและต่อสุขภาพเจริญพันธุ์
จะเห็นได้ว่าการทำแท้งเรื่องเดียวส่งผลต่อคนจำนวนมากในสังคม
และไม่สามารถหาคำตอบถูกต้องตามธรรมชาติ หรือมีคำตอบสำเร็จรูปในสังคม
และจำเป็นต้องมีการร่วมคิดพิจารณา ดีเบต ก่อนออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้
รัฐสภาได้บัญญัติกฎหมาย la loi du 20 décembre 1988
เพื่อวางกฎการทำการทดลองวิทยาศาสตร์โดยต้องได้รับการยินยอมจากผู้ร่วมทำการ
ทดลองและไม่ใช่เป็นรูปการค้า และกฎหมาย la loi 29 juillet 1994
กำหนดหลักการได้แก่ ร่างกายมนุษย์กลายเป็นสิ่งซึ่งมิอาจละเมิดได้
และสสารและผลจากร่างกายไม่อาจกลายเป็นกองทรัพย์สิน อีกนัยหนึ่ง
ร่างกายมนุษย์ อวัยวะ และสารคัดหลั่ง ของเหลว ไม่อาจนำมาค้าขายได้
กฎหมายฉบับนี้ได้ถูกตอกย้ำหลักการโดยบรรจุในกฎหมายแพ่งและ
กฎระเบียบขององค์กรสาธารณสุข
โดยเฉพาะอย่สงยิ่งเรื่องกำหนดเรื่องการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะทำได้ในกรณีการนำ
อวัยวะจากร่างกายผู้อื่น หรือ
ผู้ที่เสียชีวิตแล้วที่ยินยอมบริจาคและห้ามทำการขายอวัยวะ
โดยผู้บริจาคไม่ว่าจะเป็น อวัยวะหรือ
ของเหลวจากร่างกายต้องเป็นในรูปการให้เปล่าและเป็นการปิดบังชื่อ
ได้มีการวางกรอบการทดลองทางยีน การวินิจฉัยก่อนกำเนิด
ส่วนการวิจัยทดลองในตัวอ่อนในครรภ์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการช่วยการมีบุตรนั้น
เป็นสิ่งที่ห้ามกระทำ
อย่างไรก็ตามกฎหมายนี้ก็ยังมีช่องว่างให้เกิดคำถามตามมาหลายข้อ
และสิ่งที่ส่งผลมากที่สุดคือเหตุการณ์ประสบความสำเร็จในการโคลลนิงสัตว์
เลี้ยงลูกด้วยนมครั้งแรกแกะดอลลี้เมื่อปี 1997
การโคลนนิงจากความว่างเปล่าเป็นการท้าทายของมนุษย์ที่พยายามทำตัวเทียบเท่า
พระเจ้า
และส่งผลต่อประเทศคาธอลิคและศาสนจักรมากแม้แต่คนที่นับถือศาสนาเดียวกันก็มี
ความเห็นต่างบ้างว่าการโคลนนิงเป็นสิ่งต้องห้าม
บ้างว่าการโคลนนิงเป็นสิ่งที่พระเยซูได้ทำเป็นตัวอย่างจากการเสกขนมปังจาก
ความว่างเปล่า
และด้วยเทคโนโลยีการช่วยการมีบุตรได้พัฒนามากขึ้น
ช่วยทำให้เกิดความหวังแก่คู่รักร่วมเพศในการมีบุตรเป็นของตนเอง
หรือคู่ที่มีบุตรยาก เกิดปัญหาซึ่งสัมพันธ์ไปถึงสถาบันครอบครัวและศาสนา
นอกจากนี้การพัฒนาของการทดลองการใช้สเตมเซลล์ในการรักษา
ซึ่งสเตมเซลล์เป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถแบ่งจัวและพัฒนาได้ไปหลากหลายรูป
แบบเซลล์ สเตมเซลล์ได้มีการใช้รักษามานานแล้วโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเลือด
สเตมเซลล์มีที่มาหลากหลาย เช่น จากรกมารดา
แต่สิ่งที่กระทบต่อปัญหามากที่สุดคือ สเตมเซลล์ที่มาจากทารกมนุษย์ (Human
embryonic stem cell) การนำเซลล์ชนิดนี้มาใช้หมายถึงการฆ่าชีวิตตัวอ่อน
อย่างไรก็ตามการทดลองด้วย Human embryonic stem cell
นั้นน่าดึงดูดนักวิทยาศาสตร์และการแพทย์เพราะมีความสามารถสูงในการพัฒนา
เพื่อรักษาทางการแพทย์ เช่น โรคสมอง โรคพันธุกรรม
ที่เป็นโรคที่ทางรักษาแทบไม่มี
การใช้เซลล์เหล่านี้ลดการต่อต้านระหว่างร่างกายของผู้รับและเซลล์ผู้ให้
การทดลอง Human Embryonic stem cell เกิดปัญหาขัดแย้งอย่างสูงในสังคม
คำถามเรื่องสภาพทางกฎหมายของตัวอ่อนว่าควรจะมีกฎหมายรองรับตั้งแต่เกิดการ
แบ่งตัวหรือไม่ เป็นการฆาตกรรมหรือไม่
เป็นการเห็นแก่ตัวของมนุษย์ปัจจุบันที่ทำลายชีวิตของเด็กรุ่นใหม่เพื่อยืด
ชีวิตตัวเองหรือไม่
และเมื่อกฎหมายฉบับเก่าล้าหลังและไม่ทันต่อสภาพการณ์ปัจจุบันในปี 2004
รัฐสภาจึงออกกฎหมายโดยเป็นครั้งแรกที่บรรจุคำว่า จริยธรรมชีวภาพ
กฎหมายฉบับนี้มีหลักการคือ ห้ามมีการโดลนนิ่ง ห้ามมีการวิจัยในตัวอ่อน
ในสเตมเซลล์
นอกจากการทดลองนี้ถูกกำหนดเวลาชัดเจนไม่เกินห้าปีและต้องได้รับการอนุญาต
และมีการสร้างหน่วยทางจริยธรรมทางการแพทย์
และมีการทบทวนกฎหมายจริยธรรมชีวภาพทุกๆห้าปี
ในปี 2011 ได้มีการทบทวนกฎหมายจริยธรรมอีกครั้ง
และมีการเปลี่ยนหลักการการบริจาคอวัยวะโดยอนุญาตให้มีการแลกเปลี่ยนอวัยวะ
ผู้บริจาคระหว่างกันกรณีที่อวัยวะผู้ให้ไม่สามารถเข้ากับร่างกายผู้รับแต่
เข้ากับผู้รับบริจาคอีกคนที่มีโรคใกล้เคียงกัน
สาเหตุของกฎหมายนี้มาจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคไตที่มากขึ้น
แต่จำนวนของผู้บริจาคกลับลดลง
ซึ่งอาจส่งผลต่อการเกิดตลาดมืดค้าขายอวัยวะมากขึ้น
และมีการกำหนดนิยามใหม่ของการใช้เทคนิคการแพทย์เข้าช่วยเหลือในการมีลูกและ
ด้วยกระแสโลกจากการพัฒนาเรื่องสเตมเซล์และแรงกระตุ้นจากนักวิทยาศาสตร์ใน
ประเทศ
ทำให้ทางวุฒิสภานำเรื่องการทดลองในตัวอ่อนและการทดลองสเตมเซลล์มาดีเบตอีก
ครั้งและยอมรับการอนุญาตการทดลองโดยมีการควบคุม
อย่างไรก็ตามรัฐสภารัฐสภายังคงห้ามมิให้พวกรักร่วมเพศใช้เทคโนโลยีการแพทย์
ช่วยมนการมีลูก และไม่อนุญาตการเผยชื่อผู้บริจาคสเปิร์มและไข่ เช่นเดิม
ถึงแม้จะมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มคนรักร่วมเพศ หรือ
เกิดกรณีทนายหญิงคนหนึ่งที่เพิ่งทราบว่าตรเองเป็นเด็กที่เกิดจากการผสมเทียม
และเรียกร้องให้เกิดการเผยชื่อผู้บริจาคสเปิร์มเพราะส่งผลต่อการมีสูญเสีย
ตัวตน (identity) ของตนก็ตาม