ที่มา ประชาไท
Mon, 2012-09-24 00:47
นโยบายเมดิคัลฮับเป็นนโยบายที่ริเริ่มในสมัยรัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2546
นโยบายนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่ศูนย์กลางความเป็นเลิศทาง
การบริการทางการแพทย์ในภูมิภาคเพื่อรองรับผู้ป่วยจากประเทศพัฒนาแล้ว
ผู้ป่วยในภูมิภาคอาเซียนและในประเทศที่มีกำลังซื้อมากพอ
และเนื่องจากเป็นการโยกย้ายผู้ป่วยจากภูมิภาคอื่นเข้าสู่ประเทศทำให้นโยบาย
เมดิคัลฮับมีความเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (medical tourism)
ไปโดยปริยาย
โดยปกติแล้วผู้ป่วยย่อมอยากจะเลือกการรักษากับโรงพยาบาลใกล้บ้านหรือสภาพ
แวดล้อมที่คุ้นเคยมากกว่าการเสียค่าเดินทางไปรักษาสถานที่ไกลๆ
และสิ่งแวดล้อมที่แปลกแยก อย่างไรก็ตามในประเทศพัฒนาแล้ว เช่นอเมริกา
ค่ารักษาแพงหูฉี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาในระดับ tertiary care
(การดูแลสุขภาพขั้นตติยภูมิ: คือรูปแบบของบริการดูแลสุขภาพ
โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ) และประกันสุขภาพของรัฐไม่ได้ครอบคลุมประชาชนทุกคน
การบินมารักษาในต่างประเทศกลับมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าในประเทศ
นอกจากนั้นสาเหตุจากการรอรับบริการจากรัฐที่ยาวนาน เช่น
การรอผ่าตัดเปลี่ยนไตในประเทศที่ประกันภาครัฐครอบคลุมทุกคนในอังกฤษ
หรือกฎหมายข้อห้ามในการรักษาการแพทย์บางประการ เช่นการผ่าตัดแปลงเพศ
ก็เป็นสาเหตุให้ชาวต่างประเทศบินข้ามน้ำข้ามทะเลมารักษาในประเทศกำลังพัฒนา
นโยบายเมดิคัลฮับส่งผลดีในการนำเม็ดเงินเข้าประเทศและพัฒนาการแพทย์ไทยไป
สู่มาตรฐานสากล และสร้างรายได้ให้ธุรกิจภาคอื่นๆที่เกี่ยวข้องได้แก่ การบิน
การคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยวและโรงแรม การบริการ
มีการประมาณการว่าเมดิคัลฮับจะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 4
แสนล้านบาทถ้านโยบายประสบความสำเร็จ [1]
อย่างไรก็ตามทุกนโยบายย่อมมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อัมมาร สยามวาลา
กล่าวว่า
นโยบายเมดิคัลฮับเป็นนโยบายที่เลวที่สุดซึ่งจะดึงหมอออกจากระบบสุขภาพภาครัฐ
และทำลายระบบสุขภาพภาครัฐจากการต้องนำเงินเข้าไปเพิ่มเงินเดือนให้บุคลากร
สาธารณสุขภาครัฐ
โดยเฉพาะในโรงพยาบาลชนบทหรือท้องถิ่นที่ประสบปัญหาด้านการเงินในการเพิ่ม
เงินเดือนให้บุคลากรสาธารณสุข [2]
นโยบายเมดิคัลฮับจึงเป็นนโยบายที่มีความขัดแย้ง
สามารถนำเม็ดเงินเข้าประเทศและการพัฒนาเข้าสู่ประเทศแต่ก็อาจจะสร้างความ
เสียหายในระบบสุขภาพภาครัฐ และสร้างความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุข
จากที่เกริ่นมาข้างต้นมีประเด็นที่จำแนกมาได้ดังนี้
1. ความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทยคืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่
2. สาเหตุของความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทย
3. เมดิคัลฮับส่งผลต่อความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทยหรือไม่อย่างไร
4. เมดิคัลฮับและความเท่าเทียมกันสามารถไปด้วยกันได้หรือไม่
สิทธิทางสุขภาพเป็นสิทธิที่เพิ่งเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองในฐานะ
เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
“ทุกคนมีสิทธิในการมีมาตรฐานชีวิตที่เพียงพอต่อสุขภาพความเป็นอยู่ของเขาและ
ครอบครัว” มนุษย์ควรมีโอกาสได้รับการรักษาไม่ว่าจะเกิดมาอยู่ในสถานะใดๆ
ดังนั้นความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขจึงเป็นประเด็นที่สำคัญ
ความเท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขแบ่งได้ 3 ประเภทคือ (Wagstaff,1999)
1.
ความเท่าเทียมกันด้านการเงิน
ซึ่งแบ่งเป็นความเท่าเทียมกันในแนวตั้ง(Vertical equity) คือ
คนที่มีความสามารถในการจ่ายเงินมากกว่าต้องจ่ายมากกว่า และ
ความเท่าเทียมกันในแนวราบ(Horizontal equity)
คือคนที่มีความสามารถในการจ่ายเท่ากันต้องจ่ายค่ารักษาเท่ากัน
2. ความเท่าเทียมกันด้านการใช้บริการสาธารณสุข
ซึ่งแบ่งเป็นความเท่าเทียมกันในแนวตั้งคือ
การรักษามีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละคน
และความเท่าเทียมกันในแนวนอนคือ
คนที่มีความจำเป็นในการรักาเหมือนกันควรได้รับการรักษาที่เหมือนกัน
3. ความไม่เท่าเทียมกันด้านสุขภาพ คือความไม่เท่าเทียมกันด้านสุขภาพของกลุ่มประชากรต่างๆที่ขึ้นอยุ่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม
ความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขสรุปได้สามกลุ่ม [3]
1.
ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างสามกลุ่มประกันสุขภาพของรัฐ
ได้แก่สามสิบบาทรักษาทุกโรค ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
ซึ่งมีความไม่เท่าเทียมกันทั้งทางด้านการเงินและการใช้บริการสุขภาพ
โดยสิทธิประโยชน์ของสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการดีกว่าระบบอื่นๆ
ไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกัน
แต่นำเงินภาษีของประชากรทั้งประเทศมาอุดหนุนและมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว
มากกว่าระบบอื่นๆ
2. ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
กรุงเทพฯซึ่งมีความเจริญมากกว่า มีจำนวนโรงพยาบาลต่อคนไข้
จำนวนเตียงต่อคนไข้และบุคลากรสาธารณสุขต่อคนไข้มากกว่าจังหวัดอื่นๆ
มีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย และเครื่องมือในการรักษามากกว่าจังหวัดอื่นๆ
นอกจากนี้มีโรงพยาบาลเอกชนเป็นทางเลือกให้ประชาชนเลือกใช้ได้มากกว่า
และมีระบบสาธารณูปโภคขนส่งมวลชนที่ทำให้การเข้าถึงง่ายกว่า
3. ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
โรงพยาบาลเอกชนมีอุปทานทางการแพทย์มากกว่าโรงพยาบาลรัฐและมีการบริการด้าน
ควบคู่การรักษาที่ดีกว่า เช่น มีห้องพักที่ดีกว่า เป็นต้น
และใช้เวลาในการรอคอยการรักษาที่สั้นกว่าโรงพยาบาลรัฐ
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยต้องจ่ายเงินแพงกว่าเพื่อแลกกับความสะดวกสบายดังกล่าว
ในส่วนต่อไปจะเป็นการวิเคราะห์สาเหตุของความไม่เท่าเทียมกันในแต่ละกลุ่ม
ข้างต้น (ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวและต้องมีการทำวิจัยเพิ่มเติม)
ในกลุ่มความไม่เท่าเทียมกันระหว่างประกันภาครัฐ
สิทธิประโยชน์ของสวัสดิการรักษาข้าราชการเป็นระบบประกันภาครัฐที่มีมานานที่
สุดโดยสงวนเอาไว้เฉพาะข้าราชการและครอบครัวแต่กลับใช้ภาษีของคนทั้งประเทศ
แบกรับซึ่งถ้าต้องการให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้นข้าราชการควรแบกรับค่ารักษา
บางส่วนและมีนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีกว่านี้
อย่างไรก็ตามการออกนโยบายลดสวัสดิการรักษาเป็นไปได้ยากทุกรัฐบาลเพราะข้า
ราชการเป็นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูงเมื่อเทียบกับระบบอื่น
คือสหภาพแรงงานจากประกันสังคม และประชาชนจากระบบสามสิบบาท
ในระบบประกันสังคมรายได้ของระบบมาจากการหักสัดส่วนของเงินเดือน,และเงิน
อุดหนุนจำนวนเท่ากันจากรัฐและผู้ประกอบการ
ปัญหาที่จำกัดสิทธิประโยชน์ของระบบประกันสังคมไม่ทัดเทียมกับสวัสดิการข้า
ราชการคือปัญหาด้านงบกองทุน
รายรับของกองทุนเพิ่มขึ้นไม่ทันราคาค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวด
เร็ว ระบบประกันสังคมให้สิทธิเฉพาะลูกจ้างที่มีเงินเดือนเท่านั้น
ลูกจ้างที่ไม่มีเงินเดือน เช่นเกษตรกร เจ้าของร้านค้าเล็กๆหรือ
อาชีพอิสระไม่สามารถร่วมด้วยได้
โดยที่ประเทศไทยมีแรงงานที่อยู่ในรูปเงินเดือนและมีเศรษฐกิจที่เก็บภาษีได้
ประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้จำนวนของคนที่จ่ายเบี้ยประกันน้อยลงมา
นอกจากนี้นโยบายภาครัฐที่กดค่าแรงมาหลายทศวรรษเพื่อดึงดูดนักลงทุนและ
สร้างผลกำไรให้เจ้าของ
ส่งผลให้ฐานเงินเดือนน้อยและเบี้ยประกันสังคมก็น้อยตามมา
และเมื่อฐานเงินเดือนน้อยก็ส่งผลให้ไม่สามารถหักเบี้ยประกันเป็นสัดส่วนที่
สูงได้ ระบบประกันสังคมไทยหัก5%ของเงินเดือน
ในขณะที่เบี้ยประกันประกันสังคมฝรั่งเศสประมาณ 20% ของเงินเดือน [4]
นอกจากนี้เบี้ยประกันสังคมก็ไม่เป็นอัตราก้าวหน้าคือไม่เก็บคนที่มีเงิน
เดือนสูงกว่าในอัตรามากกว่า ลูกจ้างที่มีเงินเดือน 1,650-15,000
บาทจ่ายเบี้ยประกัน 5%ของเงินเดือน และถ้าเงินเดือนสูงกว่า 15,000
บาทจ่ายเบี้ยประกันอัตราคงที่ 750 บาทต่อเดือน
เนื่องจากไทยมีแรงงานที่ไม่อยู่ในระบบเงินเดือนเป็นจำนวนมาก
ทำให้ก่อนมีนโยบายสามสิบบาท ประชากรกว่า 30%
ของประเทศไม่มีประกันสุขภาพทั้งจากรัฐและเอกชน
นโยบายสามสิบบาทเข้ามาอุดช่องว่างตรงนี้โดยนำภาษีของประชาชนทั้งประเทศเข้า
มาเป็นค่าใช้จ่าย
สาเหตุด้านการเงินทำให้จำกัดสิทธิประโยชน์ของระบบสามสิบบาท
และสร้างความกังวลว่าระบบรักษาพยาบาลภาครัฐจะล้มละลาย
เพื่อให้ระบบสามสิบบาทมีสิทธิประโยชน์เท่าสวัสดิการข้าราชการ
รัฐจำเป็นต้องอัดฉีดเงินภาษีเข้าระบบสามสิบบาทเพิ่มขึ้นทุกปี
ซึ่งรัฐบาลมีศักยภาพที่ทำได้โดยการหั่นงบประมาณกระทรวงอื่นที่ไม่จำเป็นและ
เพิ่มให้ระบบสามสิบบาท หรือเปลี่ยนระบบเก็บภาษีใหม่เพิ่มรายได้เข้าคลัง
โดยที่ปัจจุบันรัฐเก็บภาษีแค่ 50% ของที่ควรจะได้
และไม่มีการเก็บภาษีเพื่อกระจายความมั่งคั่งให้เท่าเทียมกัน
เช่นไม่มีภาษีมรดกและที่ดิน
กล่าวโดยสรุปความไม่เท่าเทียมกันในระบบประกันสุขภาพภาครัฐ
มีสาเหตุมาจากความไม่เท่าเทียมกันในชนชั้นสังคม
และความไม่เท่าเทียมกันด้านกระจายความมั่งคั่ง
เชิงอรรถ
[1] http://www.togogateway.org/spip.php?article224http://www.bangkokpost.com/learning/learning-from-news/204958/should-thailand-strive-to-become-a-medical-tourism-hub
[2] http://www.bangkokpost.com/learning/learning-from-news/204958/should-thailand-strive-to-become-a-medical-tourism-hub
[3] http://www.moph.go.th/ops/thp/index.php?option=com_content&task=view&id=176&Itemid=2
[4] http://www.togogateway.org/spip.php?article224