ที่มา ประชาไท
 Tue, 2012-09-25 19:16
  
  
    
ตามปกติที่ชาวสื่อสารมวลชนได้รับการสั่งสอนกันมาตั้งแต่เรียนระดับเด็ก
น้อยปีหนึ่งปีสองในเรื่อการผลิตรายการทีวี วิทยุ นิตยสาร ไปจนถึงงานโฆษณา 
ต้องเริ่มต้นจากฐานคิดที่ว่าใครคือผู้รับสารของเรา เพราะบรรดา คนดู คนฟัง 
คนอ่าน นั้นมีลักษณะที่หลากหลาย 
เราไม่สามารถทำรายการเอาใจคนทุกกลุ่มทุกวัยได้ 
ดังนั้นต้องวิเคราะห์ให้ชัดเพื่อให้เนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอตอบสนองต่อ
กลุ่มผู้รับสารนั้น ๆ
วิธีการคิดเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์เชิงประชากรศาสตร์ 
ดูว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของเราเป็นวัยไหน เพศใด อายุเท่าไหร่ 
รายได้ประมาณไหน อยู่เขตที่อาศัยจุดไหนบนประเทศไทย เมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้ 
(ซึ่งก็มีทั้งที่คิดเอาเองและซื้อข้อมูลจากบรรดาแหล่งวิจัยต่าง ๆ) 
มาก็จะทำการออกแบบรายการ เช่น รูปแบบการเสนอควรเป็นแบบใด มีพิธีกรกี่คนดี 
ออกอากาศช่วงไหนจะเข้าเป้ากับกลุ่มเป้าหมาย  ไม่เวลาออกอากาศไม่ตรงกัน เช่น
 เอารายการวัยรุ่นไปออกอากาศช่วงกลางวันของวันธรรมดา 
เด็กก็ไม่มีทางได้ดูแน่เพราต้องไปเรียน อะไรทำนองนี้ 
ได้รูปแบบการนำเสนอแล้ว 
ขั้นตอนต่อไปก็ต้องคิดว่าเราจะนำเสนอเนื้อหาอะไรบ้าง 
ก็ต้องมาดูแก่นแกนความคิดว่าภาพรวมจะนำเสนอเรื่องอะไร 
แบ่งเป็นกี่ช่วงและแต่ละช่วงจะพูดถึงเนื้อหาอะไรบ้าง
หลัก ๆ จุดเริ่มต้นก็ประมาณนี้
ทว่าเริ่มมีการให้ความสำคัญกับวิธีคิดอื่น ๆ 
คือเริ่มมีการสนใจถึงพฤติกรรมและรสนิยมต่าง ๆ  ของกลุ่มคนดูมากขึ้น 
มีการเจาะกลุ่มเป้าหมายด้วยลักษณะของพฤติกรรมการเสพ 
รสนิยมความชอบเป็นสำคัญแทนการมองเพียงกลุ่มกว้าง ๆ ที่แบ่งแยกด้วย เพศ วัย 
การศึกษา รายได้ และเขตพื้นที่อาศัย
ยิ่งทุกวันนี้สถานีโทรทัศน์มิได้จำกัดอยู่แต่เพียงฟรีทีวีหกช่องอีกต่อไป
แล้ว เรามีรายการเคเบิลทีวีนับร้อย ๆ ช่อง ซึ่งหลาย ๆ 
ช่องก็นำรายการของตนไปอัพโหลดในเวบไซต์ยูทูบ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับมากมาย 
ไม่ว่าจะเป็น ภาษาพลาซ่า ทางเพลย์ ชาแนล หรือ เทยเที่ยวไทย ทางช่องแบง 
ชาแนล
เคเบิลทีวีและยูทูบได้ทลายกำแพงวิธีคิดเก่า ๆ ไปมาก อย่างเช่น 
เรื่องเวลาในการชมที่ในอดีตนั้นต้องคำนึงเสมอว่าเวลาที่เราจะออกอากาศนั้น 
วิธีชีวิตของกลุ่มเป้าหมายเรากำลังทำอะไรอยู่ 
เนื่องจากการออกอากาศแบบเดิมโดยเฉพาะในฟรีทีวีคือออกแล้วออกเลย 
พลาดแล้วไม่สามารถดูซ้ำย้อนหลังได้ยกเว้นจะรอนำมาฉายซ้ำในเวลาอีกห้าปีต่อมา
 ตอนจบของละครหลายเรื่องจึงเป็นวันที่คนดูไม่น้อยประกาศตนว่าฉันต้องไม่พลาด
 เพราะถ้าพลาดแล้วเท่ากับว่าไม่รู้จะมีโอกาสได้ชมอีกเมื่อไหร่
ทว่าปัญหาเหล่านี้กลับหมดไปเมื่อลักษณะของการจัดผังเคเบิลทีวีจะมีการนำ
รายการมารีรันเสมอ 
หากพลาดจากเวลาออกอากาศจริงก็สามารถที่จะเลือกชมในการรีรันช่วงเวลาอื่นได้ 
(บางทีรีรันกันอีกวันเลยด้วยซ้ำ) แน่นอนว่าแฟน ๆ 
รายการย่อมมีสิทธิและโอกาสแก้ตัวชมอีกครั้ง 
ยิ่งบางรายการที่นำไปอัพโหลดให้ได้ชมทางอินเตอร์เนต 
แฟนคลับยิ่งไม่ต้องสนใจเลยว่าจะชมเมื่อไหร่ เพราะพวกเขาสามารถชมได้ทุกเมื่อ
 ทุกเวลาที่ต้องการ 
พรมแดนเรื่องเวลาจึงมิใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไปแล้วในโลกของโทรทัศน์
นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งตัวอย่างที่เปลี่ยนไปในโลกยุคเคเบิลทีวีและอินเตอร์เนตมีอิทธิพลไม่ต่างจากฟรีทีวี
วิธีคิดสำคัญที่คนทำรายการทีวีคิดกันทุกวันนี้ก็คือ ประกาศแรก 
การประกาศตัวอย่างชัดเจนว่ารายการของเรานั้นมีจุดเด่นจุดขายอะไรที่ไม่
เหมือนคนอื่น เพราะคนดูพร้อมยอมรับสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร 
เราไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยซ้ำว่ากลุ่มคนดูของเราคือใครหรือคิดว่าจะทำให้กลุ่ม
ไหนดูเป็นพิเศษ ขอเพียงทำรายการออกมาที่มีลักษณะ uniqueness 
มีความเฉพาะเจาะจงสูง คนดูรู้ได้ทันทีว่าจะได้เจออะไรในรายการ อาทิ 
เทยเที่ยวไทยย่อมต้องเจอกะเทยไปเที่ยวจังหวัดต่าง ๆ กันมันส์ ๆ หลุด ๆ  
รายการแบบนี้มีลักษณะคนดูที่หลากหลายไม่จำกัดเพศวัย 
สิ่งเดียวที่มีเหมือนกันคือเขาประทับใจในความ uniqueness 
ของรายการที่ไม่สามารถดูได้จากที่ไหนอีก 
(ลองนึกถึงในยุคหนึ่งที่รายการวัยรุ่นพยายามจะเป็น Teen Talk กันเสียหมด 
วิธีคิดแบบนั้นแบบใช้ไม่ได้แล้วในทุกวันนี้)
เหมือนกับว่ากระบวนทัศน์เปลี่ยน 
จากเดิมที่เราต้องคอยเดาใจคนดูว่าเนื้อหาเราจะเข้าเป้าคนดูมากน้อยขนาดไหน 
ตอนนี้หลาย ๆ รายการเริ่มลดความสนใจกับเรื่องนี้ไปมาก 
พวกเขาให้ความสนใจกับการสร้างสรรค์รายการให้ออกมามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้ง
รูปแบบและเนื้อหามากที่สุด แล้วคนดูต่างหากที่จะเข้ามาชมรายการเอง 
เพราะพฤติกรรมและรสนิยมของคนเป็นสิ่งที่เดายาก ดังนั้นจงเป็นตัวของตัวเอง 
ถ้าของ ๆ เรามีคุณภาพและไม่ซ้ำใคร
นี่เป็นสิ่งแรก ๆ ที่เริ่มเปลี่ยนในวิธีคิดคนทำงานสื่อ สำหรับคราวหน้ามาว่ากันอีกว่ามีอะไรเปลี่ยนไปอีกบ้าง