ที่มา ประชาไท
Sat, 2012-09-29 19:16
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน
เมื่อ
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน เหตุการณ์ร้านค้าในพื้นที่ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
ส่วนใหญ่เริ่มหยุดขายของในวันศุกร์ หลังจากสื่อต่างๆรายงานว่า
มีใบปลิวข่มขู่ในช่วงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะมีการเชื่อมโยงเหตุระเบิด
ที่เทศบาลตะลุบัน อำเภอสายบุรี กับใบปลิว ให้ประชาชนหยุดทำงานวันศุกร์
จา
การเริ่มหยุดค้าขายของคนในพื้นที่ครั้งนี้ แสดงว่า
คนในพื้นที่ไม่มั่นใจในกลไกและอำนาจรัฐที่จะคุ้มครองพวกเขาได้
ถึงแม้จะมีการพยายามกระตุ้นให้ประชาชนเปิดร้าน
มีการวิเคราะห์ว่า
การหยุดทำงานวันศุกร์เกี่ยวข้องกับวันสำคัญทางศาสนาอิสลามซึ่งความเป็นจริง
ในหลักศาสนามิได้ห้ามทำงานวันใดวันหนึ่งตายตัวเพียงแต่
ว่าวันศุกร์เป็นวันที่มุสลิมจะต้องไปละหมาดวันศุกร์ ที่มัสยิดประจำชุมชน
การ
ละหมาดวันศุกร์เป็นหน้าที่มุสลิมทุกคน(เฉพาะผู้ชาย)
จะต้องละหมาดที่มัสยิดของชุมชน (อยู่ระหว่างเวลาประมาณ 12.15-13.15)
ไม่อนุญาตให้ประกอบอาชีพใด
และกระทำสิ่งใดนอกจากศาสนกิจดังกล่าวด้วยความตั้งใจ
และจิตใจที่บริสุทธิ์เท่านั้น อันเนื่องมาจาก
อัลลอฮฺได้ดำรัสในคัมภีร์อัลกุรอานความว่า
"โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้ง
หลาย เมื่อได้ยินเสียงเชิญชวนการทำละหมาดวันศุกร์ (อะซาน)
ก็จงรีบเร่งไปสู่การรำลึกถึงอัลลอฮฺ และจงละทิ้งการค้าขายเสีย
นั้นเป็นการดีสำหรับพวกท่าน" (อัลกุรอาน 62 : 9)
ในโองการนี้ยังแสดง
ให้เห็นว่าเมื่อถึงเวลาละหมาดวันศุกร์ทุกคนจะต้องละทิ้งทุกกิจกรรม
แต่จะต้องไปประกอบศาสนกิจทันที
เพราะการประกอบศาสนกิจดังกล่าวดีกว่าทุกกิจกรรม
ในโองการต่อจากนี้
หนึ่งโองการมีภูมิหลังการประทานโองการของพระเจ้าต่อศาสนฑูตมุฮัมมัดว่า
ในขณะที่ท่านศาสนฑูตกำลังให้ธรรมเทศนาก่อนละหมาดนั้น จู่ๆ
มีกองคาราวานสินค้าบรรทุกเครื่องบริโภค ของชายผู้หนึ่งผู้มีนามว่า ดะฮียะฮฺ
อัลกัลบีย์ มาจากประเทศซีเรีย
กอปรกับชาวเมืองมะดีนะฮฺขณะนั้นประสบความหิวโหย และเครื่องบริโภคมีราคาแพง
ทำให้ชาวเมืองที่กำลังฟังธรรมเทศนาได้วิ่งกรูไปที่คาราวานสินค้าด้วยความเคย
ชินเหมือนวันปกติ ปล่อยท่านศาสนฑูตแสดงธรรมเทศนาและเหลือผู้ร่วมฟังเพียง 12
คน ดังนั้น อัลลอฮฺจึงประทานโองการนี้
เพื่อตักเตือนอัครสาวกศาสดาต่อพฤติกรรมหลงผิดดังกล่าว และเปรียบเทียบ
การละหมาดและระลึกถึงพระองค์นั้นดีกว่าการละเล่นและการค้า
เพราะพระองค์นั้นเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่แท้จริง
เพราะอัลลอ์ได้โองการความว่า
“และเมื่อพวกเขาได้เห็นการค้าขายและการละเล่น
พวกเขาก็กรูกันไปที่นั้นและปล่อยเจ้า(ศาสนฑูตมุฮัมมัด) ยืนอยู่คนเดียว
จงกล่าวเถิด โอ้ศาสนฑูตมุฮัมมัด สิ่งที่มีอยู่ ณ
อัลลอฮฺนั้นดีกว่าการละเล่นและการค้าและอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นเลิศในหมู่ผู้
ประทานปัจจัยยังชีพ” (อัลกุรอาน 62 : 11) โปรดดู al-Zuhaili, Wahbah, 1991 :
al-Tafsir al-Munir, Berut : Dar alfikr al-Muasorah, 22/195/196
แต่
เมื่อเสร็จการปฏิบัติศาสนกิจดังกล่าวทุกคนมีสิทธิที่จะออกไปประกอบอาชีพที่
สุจริตเพราะอัลลอฮ์ได้โองการต่อจากโองการที่ผ่านมาว่า “
ต่อเมื่อการละหมาดได้สิ้นสุดแล้วก็จงแยกย้ายกันตามแผ่นดินและจงแสวงหาความ
โปรดปรานของอัลลอฮฺและจงรำลึกถึงอัลลอฮฺให้มากๆเพื่อพวกเจ้าจะประสบความ
สำเร็จ” (อัลกุรอาน 62 : 10)
ไม่เพียงเท่า
นั้นมุสลิมจะต้องละหมาดทุกวัน วันละ 5 เวลา(ประมาณเวลาละ 5-10 นาที ณ
ที่ใดก็ได้) เพราะฉะนั้น
การปฏิบัติศาสนกิจจึงมิได้เป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพ
เพียงแต่ในวันศุกร์มุสลิมจะต้องใช้เวลามากหน่อย ในการประกอบศาสนกิจ
และจะต้องทำที่มัสยิดของชุมชนเท่านั้น
ดังนั้น
เราจะเห็นว่า ในชุมชนมุสลิม โดยเฉพาะมัสยิดกลางปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
เต็มไปด้วยข้าราชการ นักธุรกิจ ชาวบ้าน และคนทุกสาขาอาชีพไปร่วมละหมาด
แต่
ที่เป็นปัญหาสักหน่อยคือ
ข้าราชการมุสลิมเขาต้องรีบออกจากที่ทำงานเพื่อประกอบศาสนกิจก่อนเวลา 12.00
น. และรีบออกจากมัสยิดให้ทันที่ทำงานก่อนเวลา 13.00 น.
ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับข้าราชการมุสลิม ที่จะสามารถทำงานเต็มเวลา
(08.30-12.00 น. และ 13.00-16.30 น. เพราะการละหมาดวันศุกร์ 12.15-13.15
น.)
ดังนั้นหากเป็นไปได้การหยุดราชการในวัน
ศุกร์น่าจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตข้าราชการมุสลิมหรือการไปติดต่อราชการวัน
ศุกร์ของชาวบ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้
การหยุด
ราชการวันศุกร์จึงเป็นเพียงทางออกหนึ่งในชุมชนมุสลิมเท่านั้น
ในการแก้ปัญหาการประกอบศาสนกิจ
แต่อีกหลายปัญหาที่เป็นเชิงระบบในการบริหารแผ่นดินทั่วประเทศที่มีความ
สัมพันธ์กันเป็นเครือข่ายของคน จังหวัดชายแดนภาคใต้กับทั่วประเทศ
เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องผ่านกระบวนชูรอ
(ประชุมปรึกษาแบบมีส่วนร่วมตามทัศนะอิสลาม) และการประชุม
ปรึกษาหารือกับทุกภาคส่วน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
อันนำไปสู่การส่งเสริมกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับผู้เห็นต่างได้เป็นอย่างดี
ท้าย
นี้ผู้เขียนขอประณามการระเบิดที่เทศบาลตะลุบันครั้งนี้และขอแสดงความเสียใจ
อย่างยิ่งต่อทุกครอบครัวของผู้สูญเสีย
และผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและทางจิตใจจากเหตุการณ์นี้และทุก
เหตุการณ์รุนแรงที่ผ่านมาที่ขาดซึ่งมนุษยธรรมทั้งจากภาครัฐหรือทุกกลุ่มที่
ปฏิบัติการ
และขอเรียกร้องให้ผู้ก่อเหตุได้หยุดคิดพิจารณาถึงผลกระทบจากการใช้ความ
รุนแรง ที่นำมาสู่ความสูญเสียต่อชีวิตและร่างกาย ตลอดถึงทรัพย์สิน
ขณะเดียวกันผู้เขียน
ขอเรียกร้องให้รัฐบาลกระจายอำนาจการปกครองที่สอดคล้องกับคนพื้นที่
บริหารความรู้สึกอธรรมด้วยกระบวนการทางยุติธรรมที่โปร่งใส
และแสวงหาทางออกทางการเมืองโดยการสร้างกระบวนการในการเปิดพื้นที่พูดคุยกับ
ประชาชนในพื้นที่ และองค์กรภาคประชาสังคม
เพื่อหาแนวทางสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน