ที่มา ประชาไท
Thu, 2012-09-20 23:54
สมชาย หอมลออ
ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและกรรมการคนสำคัญของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและ
ค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวเมื่อวันที่ 17 กันยายน
2555 ที่ผ่านมาว่าตนอยากให้ถือว่ารายงาน
คอป.ว่าด้วยการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือนเมษา-พฤษภา ปี 2553
และการสลายการชุมนุม เป็นรายงานที่เป็น ‘ความจริงที่เชื่อถือได้’
สำหรับผู้วิจารณ์ ความจริง ‘ที่เชื่อถือได้’
ควรอยู่บนพื้นฐานของการใช้วิธีการสรุปที่เชื่อถือได้ มีเหตุผลหลักฐาน
และความพยายามเป็นกลางอย่างที่สุดของผู้ที่เข้ามาทำงาน ซึ่งผู้เขียนมองว่า
คอป.แม้ดูเหมือนจะมีเจตนาดีแต่ก็มีปัญหาทั้งสองด้าน
1) ชายชุดดำกับการสรุปลอยๆ
หน้า 111 ของรายงาน 276
หน้า คอป. ได้สรุปอย่างลอยๆ ไร้หลักฐานว่า ‘เป้าหมาย’
ของชายชุดดำที่ปรากฏตัวตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2553 คือ:
‘เพื่อยั่วยุให้ทหารใช้อาวุธกับผู้ชุมนุมและต้องการให้มีการเสียชีวิตเกิด
ขึ้น’
การสรุปลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานยืนยันพิสูจน์เจตนาของชายชุดดำ (ทั้งๆ
ที่คนเสื้อแดงจำนวนมิน้อยเชื่อว่าชายชุดดำออกมาช่วยต่อสู้ช่วยชีวิตเขาในคืน
นั้น) ไม่ได้ช่วยให้รายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป. น่าเชื่อถือ ในทางตรงกันข้าม
มันกลับสร้างความไม่ไว้วางใจในหมู่คนเสื้อแดงมากขึ้น
การสรุปเรื่องชายชุดดำอย่างลอยๆ
นั้นต่างจากการใช้ภาษาและเหตุผลที่แม่นยำในหน้า 123 ที่ คอป.ไม่ได้สรุปลอยๆ
แถมมีแหล่งอ้างอิงว่า การตายของ เสธ.แดงหรือ พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล
‘มีความเป็นไปได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการปิดล้อมและกระชับพื้นที่
ชุมนุม’
ในกรณีนี้ คอป. ไม่ได้สรุป แต่ใช้คำว่า ‘มีความเป็นไปได้’
ซึ่งสำหรับผู้วิจารณ์ เป็นการใช้ตรรกะที่แม่นยำเหมาะสม
เพราะไม่มีหลักฐานมากไปกว่าการคาดคะเน ซึ่งต่างจากกรณีการฟันธงลอยๆ
เรื่องเจตนาและเป้าหมายของชายชุดดำ (แถมในวันที่ 17 กันยายน 2555
ตอนท้ายของการเสนอรายงานของ คอป. ผู้วิจารณ์ถาม คอป.
ว่ารายงานสรุปเรื่องชายชุดดำไปเช่นนั้นได้อย่างไร ก็ไม่มีคำตอบ แถม ประธาน
คอป. นาย คณิต ณ นคร ก็รีบปิดการแถลงข่าวหน้าตาเฉย
โดยบอกว่าเรื่องรายละเอียด คุยสามวันสามคืนก็ไม่จบ)
2) ความน่าเชื่อถือในความเป็นกลางของกรรมการและอนุกรรมการบางคน
ทุก
คนคงทราบว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้เลือกและแต่งตั้งนายคณิต ณ นคร
ด้วยตนเอง จึงทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องความเป็นกลางของการแต่งตั้ง
เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นคู่ขัดแย้งคนสำคัญในเหตุการณ์ปี 53
หลังจากนั้นนายคณิต ก็แต่งตั้ง นายสมชาย หอมลออ
นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนผู้เคยส่ง e-mail ในปี 2549
ไปยังมิตรสหายเก่าว่าอย่าวิจารณ์กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหนัก
เกินไป แล้วในที่สุด พอมีการตั้งอนุกรรมการสอบสวน ซึ่งนายสมชายเป็นประธาน
ก็ยังมีนำเอานายเมธา มาสขาว หนึ่งในรุ่นน้องคนสนิทของนายสุริยะใส กตะศิลา
มาเป็นอนุกรรมการได้อย่างหน้าตาเฉย
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่นายเมธา มีความสามารถหรือไม่ แต่อยู่ที่หาก คอป.
อยากให้สังคมทั้งสังคมเชื่อถือใน คอป.และรายงานของ คอป.อย่างแท้จริง
คอป.พึงต้องหลีกเลี่ยงการแต่งตั้งคนที่ใกล้ชิดเสื้อสีใดสีหนึ่งมาเป็น
กรรมการหรืออนุกรรมการตั้งแต่แรก
น่าเสียดายที่งบกว่า 65
ล้านบาทของภาษีประชาชนที่ใช้ในการเขียนรายงานต้องเผชิญกับคำถามเรื่องความ
แม่นยำทางตรรกะในการเขียนรายงาน รวมถึงความเป็นกลางของคนทำงาน ทั้งๆ
ที่รายงานก็มีข้อเสนอ 13 ข้อซึ่งรวมถึงการปฎิรูปกองทัพและกฎหมายมาตรา 112
ที่สังคมพึงสำเหนียกและเป็นประโยชน์ และอย่างไรก็ตาม
การที่รัฐบาลที่ดำเนินการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมต้องตั้งกรรมการขึ้นมา
เพื่อหาข้อเท็จจริงและเสนอรายงานต่อสาธารณะ
อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่สำคัญซึ่งต่างจากสมัยหลังเหตุการณ์
พ.ค.2535 ซึ่งสาธารณะไม่มีโอกาสเข้าถึงรายงาน
อย่างไรก็ตาม
พอเกิดคำถามเรื่องการสรุปบางประเด็นที่สำคํญและความเป็นกลางของคนทำงาน
คอป.ย่อมไม่สามารถทำให้เกิดความจริงที่เชื่อถือโดยทุกฝ่ายโดยปราศจากข้อ
สงสัยได้
นี่ยังไม่รวมถึงการไม่สามารถสร้างความปรองดองหรือความล้มเหลวในการที่จะนำ
ผู้อยู่เบื้องหลังความตายกว่าเก้าสิบศพมารับผิด