ที่มา ประชาไท
Tue, 2012-09-25 18:07
ที่มา: AREA แถลง ฉบับที่ 115/2555: 24 กันยายน 2555
คำว่า “Smart Growth”
ว่ากันว่าเป็นแนวคิดใหม่ในการผังเมืองมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อแก้การ
วางผังเมืองผิด ๆ แบบเดิมจนหากไม่มีรถส่วนตัว ก็เท่ากับพิการ ไม่มีขา
เพราะบ้าน ร้านค้า โรงเรียน ฯลฯ แต่ละแห่ง ห่างไกลกัน เดินกันไม่ถึง
แต่ไทยเรายังเอาแนวคิดผังเมืองแบบ “พระเจ้าเหา” มาใช้
ว่าด้วย ‘Smart Growth’
แนวคิดนี้คือการพัฒนาเมืองโดยรวมศูนย์ความเจริญอยู่ภายในเมืองเพื่อ
ป้องกันปัญหาการเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไปสู่ชานเมือง (Urban Sprawl)
แนวคิดนี้จะมีองค์ประกอบเกี่ยวกับ คุณภาพชีวิตของชุมชน เศรษฐกิจ
สิ่งแวดล้อม สุขภาพ ที่อยู่อาศัยและการคมนาคมขนส่ง
อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ยังได้รับการต่อเติมให้ดูร่วมสมัยด้วยการพูดถึงการ
ประหยัดพลังงาน การแก้ปัญหาโลกร้อนการมีส่วนร่วมของประชาชน
หลักการ 10 ประการสำคัญของแนวคิดนี้คือ
การสร้างโอกาสที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย การสร้างชุมชนที่เดินถึงกันได้
การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน การสร้างอัตลักษณ์ของท้องที่
การตัดสินใจพัฒนาที่คาดการณ์ได้เป็นธรรมและคุ้มค่า การใช้ที่ดินแบบผสมผสาน
การรักษาสภาพแวดล้อมที่ดี การมีทางเลือกการคมนาคมขนส่งที่หลากหลาย
การพัฒนาชุมชนที่มีอยู่แล้ว (ไม่ใช่สร้างชุมชนใหม่)
และการออกแบบอาคารที่มีประสิทธิภาพแต่ไม่หนาแน่นเกินไป
เหล้าเก่าในขวดใหม่
ทำไมที่สหรัฐอเมริกากำลัง ‘ฮือฮา’ กับแนวคิดนี้
เหตุผลก็คือตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
อเมริกาสร้างแต่บ้านแนวราบกินพื้นที่ออกไปนอกเมืองมากที่สุด
ทรัพยากรถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองที่สุด จนใครต่อใครทราบดีว่าในอเมริกา
หากใครไม่มีรถ ย่อมเหมือนคนพิการ ไปไหนไม่ได้ เพราะแต่ละที่
ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า สำนักงาน หรืออื่น ๆ
ล้วนแต่ห่างไกลจากบ้านทั้งนั้น
แต่อเมริกาก็พัฒนาอย่างสูญเปล่านี้ได้มานานเพราะมีเงินมาก
จะบันดาลอะไรก็ทำได้นั่นเอง
ในระยะหลังมานี้อเมริกาจึงค่อยสำนึกได้ว่านี่เป็นการพัฒนาที่ทำร้ายตัว
เองเป็นอย่างมาก จึงเกิดแนวคิด Smart Growth นี้ขึ้น
ข้อนี้ไทยและประเทศในเอเชียจึงไม่ต้องตื่นเต้นมากนัก
เพราะเมืองไทยเราดีกว่ามากในแง่นี้
ขนาดเวียดนามที่ผมเคยเป็นที่ปรึกษาของกระทรวงการคลังที่นั่นมาระยะหนึ่ง
ก็ยังมีละแวกบ้านแบบพึ่งตนเองได้ จะซื้อหาอะไรก็มีอยู่แถวนั้น
ไม่ต้องถ่อไปซื้อไกลถึงใจกลางเมือง
ดังนั้นแม้แนวคิดนี้จะเพิ่งได้รับการโฆษณา
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องใหม่เสียทีเดียว ผมเชื่อว่านี่เป็นเพียงการ
‘import’ วิธีการแบบตะวันออกไปใช้ในอเมริกา แล้ว ‘export’
ออกมาให้ชาวโลกได้ชื่นชมกันอีกคำรบหนึ่ง
เขามุ่งทำเมืองให้แน่นแต่ กทม. มุ่งให้หลวม
บางคนมักอ้างว่ากรุงเทพมหานครหนาแน่นเหลือเกินเพราะมีความหนาแน่นของ
ประชากรสูงถึง 3,600 คนต่อตารางกิโลเมตร
ในขณะที่ประเทศไทยโดยรวมมีความหนาแน่นเพียง 129 คนต่อตารางกิโลเมตร
จึงเสนอแนวคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงให้ชะลอการเติบโตของกรุงเทพมหา
นคร โดยไม่ฉุกคิดว่า สิงคโปร์มีความหนาแน่นของประชากรเกือบ 7,000 คน
หรือมากกว่ากรุงเทพมหานครถึงเกือบ 2 เท่า แต่กลับดูโล่งโปร่งสบายกว่า
เกาะแมนฮันตันในนครนิวยอร์ก มีประชากร 1,634,795 คน
แต่มีขนาดที่ดินเพียง 59.5 ตร.กม. หรือมีความหนาแน่นสูงถึง 27,476
คนต่อตารางกิโลเมตร นครนิวยอร์กโดยรวมมีประชากรถึง 8.3 ล้านคน
มีความหนาแน่นของประชากรถึง 10,587 คนต่อตารางกิโลเมตร
ดังนั้นแนวคิดที่ตั้งใจทำกรุงเทพมหานครให้โล่งจึงควรได้รับการทบทวนเป็น
อย่างยิ่งเพราะเป็นแนวคิดที่จะมุ่งเก็บรักษาที่ดินในเมือง
ซึ่งมักเป็นของผู้มีอันจะกินในวันนี้ไว้
และให้ผู้มีรายได้น้อยหรือรายได้ปานกลางจำต้องไปซื้อบ้านอยู่นอกเขตผังเมือง
ที่ไม่อำนวยให้สร้างอาคารชุดหรือสร้างได้ในความสูงที่จำกัด
การคิดผิดเพี้ยนของนักผังเมืองไทยกลับทำให้กรุงเทพมหานครในช่วง
พ.ศ.2545-2554 มีประชากรลดลง 2% แต่ในเขตปริมณฑลกลับมีประชากรเพิ่มจาก 3.9
ล้านคน ในปี 2545 เป็น 4.7 ล้านคนในปี 2554 หรือ 21% หากในพื้นที่ 1
ตารางกิโลเมตรมีผู้อยู่อาศัย 3,600 คนตามค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร ประชากร
1.2 ล้านคน ก็เท่ากับไปบุกรุกไร่นาเรือกสวนสีเขียวถึง 333 ตารางกิโลเมตร
ทำไมจึงเป็นไปได้
ทำไมในสหรัฐอเมริกาทำอะไรก็มักได้ ส่วนหนึ่งก็คือเขามีเงิน
ประชากรมีรายได้มากกว่า จึงเก็บภาษีได้มากกว่า
และเก็บในสัดส่วนที่มากกว่าไทย ของไทยเราภาษีท้องถิ่น
ภาษีทรัพย์สินหรืออสังหาริมทรัพย์ก็ยังไม่มี
ชุมชนหรือท้องถิ่นก็มีรายได้จำกัด โอกาสที่จะทำอะไรมากจึงจำกัด
การนำแนวคิดนี้มาใช้ก็คง ‘เลียนแบบ’ มาได้บางส่วน และทำตามกำลัง
ในสหรัฐอเมริกา บ้านทุกหลังต้องเสียภาษีทรัพย์สินปีละ 1-2%
ของมูลค่าตลาด ไม่ใช่ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ของทางราชการไทย
ซึ่งมักจะต่ำกว่าราคาตลาด เพื่อนำเงินเหล่านี้มาใช้พัฒนาท้องถิ่น
การนี้ท้องถิ่นก็มีเงินเพียงพอที่จะพัฒนา
ลำพังการอาศัยการบริจาคจากภาคเอกชนหรือชุมชน ก็คงได้ทำอะไรเพียงเล็กน้อยแบบ
‘ลูบหน้าปะจมูก’ หรือ ‘ไฟไหม้ฟาง’ ดังนั้นการหวังให้ประชาคม
บริษัทห้างร้าน มูลนิธิ ฯลฯ เข้าช่วยผลักดันแนวคิด ‘Smart Growth’
จึงมีความเป็นไปได้ที่จำกัด
ทำอย่างไรให้สำเร็จ
แนวคิดการพัฒนาเมืองให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะด้วยวาทกรรมใหม่หรือเก่าใด
ๆ นั้น จะเป็นจริงได้ ก็อยู่ที่ผู้บริหาร เช่น นายกเทศมนตรี ผู้นำชุมชน
ผู้ว่าราชการ ตลอดจนผู้นำรัฐบาล หาไม่แนวคิดดี ๆ ก็จะเพียง ‘ขึ้นหิ้ง’
หรือไม่ก็แค่อยู่ในตำรา หรืออย่างดีก็ได้รับการดำเนินการแบบ ‘ไฟไหม้ฟาง’
หรือ ‘ผักชีโรยหน้า’ ในที่สุด
ถ้าผู้บริหารยอมรับหรือได้รับการปรับทัศนคติ (Mindset)
แนวคิดก็จะได้รับการยอมรับ สานต่อและทำให้เป็นจริงขึ้น
เราจึงต้องขายความคิดให้กับผู้บริหาร แต่ลำพังผู้บริหารนั้น
บางครั้งเวลาฟังให้ได้ศัพท์ยังไม่มี
ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องจึงต้องพยายามให้การศึกษาแก่ประชาชนในวงกว้างด้วย
เพื่อให้ช่วยกันผลักดันให้ผู้บริหารได้ตระหนักถึงความสำคัญและปรับทัศนคติ
ต่อแนวคิดใหม่ ๆ ต่อไป
มองเทศแล้วย้อนมองไทยครับ อย่าให้แนวคิดการวางผังเมืองที่ไม่มีประสิทธิภาพครอบงำไทย