ที่มา Thai E-News
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
จาก “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2555
 รัฐบาล
พรรคเพื่อไทยเข้ากุมอำนาจบริหารมาได้ปีเศษ นับว่า 
เกินกว่าความคาดหมายของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์และพวกเสื้อเหลืองพันธมิตร
ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เคยเชื่อว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่เกินหกเดือน 
เนื่องจากความเข้มแข็งของกลไกเผด็จการในรัฐธรรมนูญ 2550 
และการขาดประสบการณ์ของนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 
ที่จะทำให้รัฐบาลบริหารงานผิดพลาด จนเป็นเงื่อนไขให้ถูกโค่นล้มลงโดยง่ายดาย
 ดังเช่น รัฐบาลพรรคพลังประชาชน
 แต่รัฐบาล
พรรคเพื่อไทยก็ยืนหยัดมาได้ ภายหลังผ่านพ้นวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ปลายปี 
2554 ก็สามารถสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นคือ 
สามารถสร้างผลงานทางการบริหารตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้อย่างต่อเนื่อง 
ประกอบกับการวางตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ 
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานแต่ถ่ายเดียว ไม่เล่นการเมืองรายวัน
 จนถูกขนานนามว่า “ดีแต่ทำงาน” ไม่ใช่จำพวก “ดีแต่พูด” 
เล่นสำบัดสำนวนเอาแต่ตีกินทางการเมืองไปวัน ๆ แต่ทำงานเป็น 
อันเป็นแบบฉบับของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์
 จนถึงปัจจุบัน นางสาวยิ่งลักษณ์ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีคะแนนนิยมสูงสุดเท่าที่เคยมีมานับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
 ฝ่ายเผด็จ
การแฝงเร้นของไทยยังคงประกอบไปด้วยผู้บงการวางแผนกลุ่มเดิม 
ผู้รับคำสั่งปฏิบัติการและกลไกแขนขาที่ครบถ้วนเหมือนเดิม 
ประกอบด้วยสี่ขาหยั่ง ได้แก่ ตุลาการและบรรดา “องค์กรอิสระ” ในรัฐธรรมนูญ 
กองทัพ พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 
คนพวกนี้ยังคงติดกับอยู่ในโลกทัศน์ วิธีคิดและประสบการณ์เดิม ๆ 
ยุทธวิธีของพวกเขาจึงยังคงซ้ำซากเหมือนกับที่เคยใช้มาแล้วในการโค่นล้ม
รัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคพลังประชาชน คือ สร้างกระแสต่อต้านรัฐบาล 
ใช้ข้ออ้างสามประเด็นหลักคือ ทุจริตคอรัปชั่น แก้รัฐธรรมนูญ 
และหมิ่นกษัตริย์ ให้กลุ่มอันธพาลการเมืองรับจ้างออกมาเคลื่อนไหว 
ใช้ความรุนแรงก่อจลาจลบนท้องถนน 
ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์ที่คอยก่อกวนอยู่ในสภา ให้ดูเหมือนว่า 
รัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้และกำลังถูกต่อต้านจากประชาชนจำนวนมาก 
จากนั้น 
ก็ใช้กลไกตุลาการในรัฐธรรมนูญเข้ามาทำลายรัฐมนตรีรายบุคคลไปจนถึงตัวนายก
รัฐมนตรีและรัฐบาลทั้งคณะ ตามด้วยเครื่องมือสุดท้ายคือ 
ใช้กองทัพเข้าแทรกแซงโดยตรงด้วยการรัฐประหารทั้งอย่างเปิดเผยหรือซ่อนรูป
 แต่ทว่า 
ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 
ทำให้การเดินหมากของฝ่ายเผด็จการไทยเข้าสู่สภาพ “เข้าตาจน หมดตาเดิน” 
เพราะก่อนการเลือกตั้ง พวกเขายังเพ้อฝันไปว่า 
พรรคประชาธิปัตย์จะสามารถบริหารประเทศประสบความสำเร็จ และ “ซื้อใจประชาชน” 
จนสามารถชนะเลือกตั้งได้ 
หรืออย่างน้อยก็ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ 
แต่การณ์กลับเป็นว่า พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งถล่มทลาย 
ได้คะแนนเสียงเด็ดขาดเกินครึ่งหนึ่งของสภา
 นี่เป็น
ความพ่ายแพ้ครั้งที่ห้าในระบอบการเมืองแบบเลือกตั้งของพวกเขา 
และในเฉพาะหน้านี้ ก็เป็นการปิดประตูตายในเวทีรัฐสภาของฝ่ายเผด็จการ 
การที่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเกินครึ่งในสภา ย่อมหมายความว่า การทำ 
“รัฐประหารด้วยตุลาการ” ที่สำเร็จมาแล้วกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชน คือ 
ใช้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ถอดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทั้งคณะ 
แล้วใช้กองทัพเข้าข่มขู่พร้อมยื่นผลประโยชน์เข้าล่อ ให้พรรคแตกแยก เกิดเป็น
 “งูเห่า” 
มาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้จำนวนเสียงในสภาเกินครึ่งแล้วจัดตั้งรัฐบาล
สำเร็จอีกนั้น ทั้งหมดนี้ทำได้ยากเสียแล้ว 
เพราะถึงยุบพรรคเพื่อไทยและถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ 
แต่ถ้าดุลคะแนนเสียงในสภายังคงเดิมหรือเปลี่ยนไปไม่มากพอ 
พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาล “งูเห่า” ได้อยู่ดี 
และรัฐบาลใหม่ก็จะยังคงเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
 นัยหนึ่ง 
การที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 
มีเสียงเกินครึ่งในสภา 
ทำให้การเปลี่ยนมืออำนาจบริหารให้กลับมาเป็นของฝ่ายเผด็จการอีกครั้งภายใน
กรอบรัฐสภานี้ทำได้ยากยิ่ง เพราะถึงอย่างไร ตุลาการและ “องค์กรอิสระ” 
ตามรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถเปลี่ยนดุลคะแนนเสียงในสภาได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเอาชนะฝ่ายประชาธิปไตยด้วยวิธีการที่ “ไม่ใช่การเลือกตั้งและจำนวนคะแนนเสียงในสภา”
 รูปแบบการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยวิธีการนอกสภาที่พวกเขาเคยกระทำมานับสิบครั้งก็คือ รัฐประหาร แต่ทว่า
 
การรัฐประหารในวันนี้จะถูกต่อต้านจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศ
อย่างแน่นอนและจะเป็นรัฐประหารที่นองเลือดยิ่งกว่าครั้งใดในอดีต นอกจาก
นั้น ประชาคมโลกในหลายปีมานี้ ก็เหมือนกับประชาชนไทยจำนวนมากคือ 
“รู้ความจริง” 
เข้าใจปัญหาถึงรากเง่าความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง
 รู้ชัดว่า 
อะไรคือปัญหาที่แท้จริงที่ขัดขวางประชาธิปไตยในไทยตลอดหลายสิบปีมานี้ 
รัฐประหารไม่ว่าจะเปิดเผยหรือซ่อนรูป 
รวมทั้งรัฐบาลเผด็จการที่คลอดออกมาจะถูกปฏิเสธจากประชาคมโลกและประชาคมอา
เซียนอย่างแน่นอน
 แต่ฝ่าย
เผด็จการแฝงเร้นไม่เคยลดละที่จะบั่นทอนรัฐบาลพรรคเพื่อไทย 
การรุกครั้งใหญ่ล่าสุดของพวกเขาคือ กรณีการแก้รัฐธรรมนูญ ม.291 
ให้สามารถจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ ที่บรรลุไปถึงการพิจารณาในวาระสาม 
ก็ได้ถูกทั้งพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ 
ใช้เป็นข้ออ้างเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มรัฐบาล 
ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญที่กระโดดเข้ามารับคำร้องคัดค้าน 
ทั้งที่ไม่มีอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 
จนเกิดเป็นกระแสสูงที่จะให้ยุบพรรคเพื่อไทยและดำเนินคดีอาญาต่อผู้ที่ผลัก
ดันการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ในที่สุด การรุกครั้งใหญ่นี้ ก็ “ฝ่อ” ไปเสียก่อน
 บัดนี้ 
ดูเหมือนว่า การรุกครั้งใหม่ของฝ่ายเผด็จการกำลังก่อตัวขึ้นอีก 
จากการเคลื่อนไหวนอกสภาอย่างคึกคักของพรรคประชาธิปัตย์ที่ดำเนินต่อเนื่องมา
หลายเดือน การก่อกระแสต่อต้านโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 
โครงการรับจำนำข้าว ที่ประสานร่วมมือกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ 
นักวิชาการเสื้อเหลือง กลุ่มนายทุนพ่อค้าที่เสียประโยชน์ 
กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นสมุนเผด็จการ ความพยายามของคนพวกนี้เข้าขั้น 
“จนตรอก” เมื่อไม่สามารถหาเรื่องจริงมาบิดเบือนได้อีก 
ก็ใช้วิธีกุเรื่องไซฟ่อนเงิน 16,000 ล้านบาทที่ฮ่องกง 
อันเป็นการสร้างเรื่องขึ้นจากอากาศธาตุโดยแท้ กระทั่งล่าสุด 
ความพยายามที่จะก่อการชุมนุมของมวลชนเพื่อขับไล่รัฐบาลในวันที่ 28 
ตุลาคมนี้
 แต่การ
เคลื่อนไหวรุกในขอบเขตใหญ่โตอย่างทรงพลงและเป็นระบบทั่วด้าน 
ดังเช่นในกรณีการแก้รัฐธรรมนูญวาระสามนั้น จะกระทำได้ยากขึ้น 
เนื่องจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ยังเข้มแข็ง 
นายกรัฐมนตรีก็เป็นที่นิยมของประชาชนอย่างสูง 
และเครือข่ายอำนาจเผด็จการแฝงเร้นที่ได้อ่อนแอและเสื่อมทรามลงไปอย่างมากใน
ช่วงปีเศษมานี้
 หนทางของ
พวกเผด็จการแฝงเร้นภายในกรอบรัฐสภานั้นตีบตัน 
ขณะที่หนทางนอกรัฐสภาก็สุ่มเสี่ยงและเต็มไปด้วยอุปสรรค 
การรุกครั้งนี้จึงเป็นการกระเสือกกระสนที่สิ้นหวังและไร้อนาคต 
ยิ่งถ้าพวกเขาเกิดอาการ “วิปลาส” ดันทุรังไปจนถึงการทำรัฐประหาร 
ฝืนความต้องการของประชาชนไทยและประชามติโลก 
พวกเขาก็จะมุ่งไปสู่จุดจบที่เด็ดขาดและรวดเร็วยิ่งขึ้น


