เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2555 นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส. เพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถามว่า  จากกรณีที่เกิด “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ในปี 2540
นาย
กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  
ได้ตอบกระทู้ถาม เรื่อง 
ความเสียหายของประเทศจากกรณีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน 
(ปรส.)ผ่านราชกิจจานุเบกษา โดยนายกิตติรัตน์ ชี้แจงว่า 
  กระทรวงการคลังรายงานว่า 
คณะรัฐมนตรีได้มีมติยุบเลิกองค์การเพื่อการปฏิรูป ระบบสถาบันการเงิน (ปรส.)
 เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ และแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำระบัญชี 
เพื่อชำระบัญชีองค์การในวันเดียวกัน ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๔๑ - ๔๓ 
ของพระราชกำหนดการปฎิรูป ระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๔๐
กระทรวง
การคลังได้ให้ความช่วยเหลือแก่กองทุนฯ ไปแล้ว จำนวน ๑.๓๐๕ ล้านล้านบาท 
โดยได้มี การชำระคืนต้นเงินกู้แล้ว ๑๖๓,๒๒๖ ล้านบาท 
จึงคงเหลือยอดหนี้คงค้าง ๑.๑๔ ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน 
๒๕๕๔)
ปัจจุบัน
ได้มีการออกพระราชกำหนด 
ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุน
เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบ สถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ 
เพิ่มแหล่งเงินสำหรับใช้ชำระคืนต้นเงินกู้ที่ยังคงค้างอยู่ ๑.๑๔ 
ล้านล้านบาท รวมทั้งดอกเบี้ย 
(เดิมกำหนดให้ชำระต้นเงินกู้จากเงินกำไรสุทธิที่ธนาคาร
แห่ง ประเทศไทยนำส่งเป็นรายได้ตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยในแต่ละปี จำนวนไม่น้อยกว่า ร้อยละ ๙๐ และสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราหลัง จาก หักค่าใช้จ่ายตามที่กำหนดในกฎหมายดังกล่าวแล้ว) โดยกำหนดให้
แห่ง ประเทศไทยนำส่งเป็นรายได้ตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยในแต่ละปี จำนวนไม่น้อยกว่า ร้อยละ ๙๐ และสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราหลัง จาก หักค่าใช้จ่ายตามที่กำหนดในกฎหมายดังกล่าวแล้ว) โดยกำหนดให้
(๑) กองทุน ฯ มีหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯและ
(๒) 
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจเรียกให้สถาบันการเงินนำส่งเงินในอัตราที่รวม
กับอัตราที่ สถาบันการเงินต้องนำส่งให้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก 
(ปัจจุบันนำส่งร้อยละ ๐.๔๐ ของยอดเงินฝาก 
ถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก) แล้วไม่เกินร้อยละ ๑ ต่อปี 
ทั้งนี้ 
เพื่อประโยชน์ในการชำระคืนต้นเงินกู้หรือดอกเบี้ยเงินกู้ให้พอเพียงธนาคาร
แห่งประเทศไทยอาจเรียกให้สถาบันการเงินนำส่ง 
เงินเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดข้างต้นก็ได้ 
แต่เมื่อรวมกับเงินที่นำส่งตามที่กำหนดข้างต้นแล้วต้องไม่เกินร้อยละ ๑ 
ของยอดเงินที่สถาบันการเงินได้รับจากประชาชน
