ที่มา ประชาไท
Tue, 2012-10-02 01:29
เมื่ออาจารย์คณะพัฒนาเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับที่มาจากคณะรัฐประหาร
พ.ศ.2550 มาตรา 84 (1) ข้อความว่า
รัฐต้องดำเนินการตามนโยบายด้านเศรษฐกิจต่อไปนี้ “สนับ
สนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรมโดยอาศัยกลไกตลาด
และสนับสนุนให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
โดยต้องยกเลิกและละเว้นการตรากฎหมายและกฎเกณฑ์ที่ควบคุมธุรกิจซึ่งมีบท
บัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
และต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน
เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ...”
ทำให้เกิดความสงสัยอย่างมาก เมื่อเหลียวกลับไปมองมาตราที่อยู่ด้านบนมาตรา
84
เพราะมีข้อความที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงต่อความรู้สึกที่เคยรับรู้ผ่าน
สื่อสารธารณะในสังคมไทยกล่าวคือ มาตรา 83 ของรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า
“รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
ทั้งสองมาตราเป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐบาลไทยต้องดำเนินนโยบายตาม
ที่ระบุไว้นี้ จะทำเป็นอย่างอื่นมิได้ คำถามที่ชวนให้สงสัยก็คือ
เศรษฐกิจพอเพียงกับเสรีนิยมอยู่ด้วยกันได้ด้วยหรือ
แล้วหน้าตาของนโยบายการปฏิบัติจะออกมาอย่างไร
ในเมื่อฝ่ายหนึ่งบอกให้พอเพียง กินใช้เท่าที่ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน
พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่โลภ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เป็นหนี้
กับอีกฝ่ายที่ส่งเสริมการแข่งขัน การค้ากำไร โดยไม่มีเส้นจำกัดขีดกั้น ?
ต่อเมื่อได้คิดทบทวน วิเคราะห์แล้วจึงได้คำตอบว่า
ทั้งสองสิ่งไปด้วยกันอย่างลงรอย
สอดคล้องสนับสนุนซึ่งกันและกันในบริบทของสังคมไทย ด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
เสรีนิยม (libertarian) พวกเสรีนิยมเชื่อว่า
มนุษย์เป็นเจ้าของร่างของตนเอง เพราะร่างกายคือสิ่งที่ติดตัวเรามาแต่เกิด
อยู่กับเรา และไม่มีใครสามารถพรากไปจากเราได้
มนุษย์จึงมีเสรีอย่างเต็มที่ที่จะกระทำใด ๆ ต่อร่างกาย
การถูกใช้กำลังทำร้าย บังคับ
ควบคุมต่อร่างกายถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ซึ่งเป็นสิทธิที่ติดตัวมาพร้อมกับร่างกาย ดังนั้น
พวกเสรีนิยมเมื่อได้ลงแรงไปกับการทำงานใด ๆ เพื่อผลิต สร้าง
ทางเศรษฐกิจด้วยร่างกายที่ตนเป็นเจ้าของแล้ว
ผลผลิตที่ได้มาจากแรงงานนั้นจะต้องตกแก่ตนผู้เป็นเจ้าของแรงงาน
ทรัพย์สินที่เกิดขึ้น ผลผลิตจากการค้า การลงทุน
จึงเป็นทรัพย์สินที่ไม่พึงแบ่งปัน หรือกระจายให้กับใคร
เพราะเมื่อผู้อื่นไม่ได้ลงแรงผลิตก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับ
เช่นเดียวกันเมื่อรัฐเข้ามาแทรกแซงกลไกราคาทำให้ผลกำไรที่เคยได้รับน้อยลงไป
ทั้งที่ตนเองลงแรงเท่าเดิมตามกลไกตลาด
ในทัศนะของพวกเสรีนิยมย่อมไม่สามารถยอมรับได้
ความยุติธรรมของเสรีนิยมจึงเป็นเรื่องของการที่รัฐต้องไม่เข้ามายุ่ง
เกี่ยวแทรกแซงกับการจัดโครงสร้างการกระจายรายได้ให้ทั่วถึงและเท่าเทียม
ในสายตาของคนกลุ่มนี้ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า
สังคมไม่เป็นธรรม ในทางตรงข้าม มันเป็นธรรมดีอยู่แล้ว
เพราะคนจนไม่มีความสามารถมากพอที่จะหารายได้หรือทรัพย์สินได้เท่ากับคนรวย
รัฐจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมาบังคับด้วยการจัดสรรงบประมาณ
หรือจัดเก็บภาษีเพื่อให้นำเงินของคนรวยไปช่วยคนจน
เพราะมันละเมิดสิทธิความเป็นเจ้าของทรัพย์สินเสมือนเป็นการขโมยแรงงานไปให้
คนยากจนที่ด้อยกว่า
เสรีนิยมให้เหตุผลว่า การได้มาซึ่งทรัพย์สิน รายได้
เป็นการใช้แรงงานมันสมองของตนเองไปเพื่อแสวงหาทรัพยากรที่ใคร ๆ
ก็เข้าถึงและหยิบฉวยมาใช้ประโยชน์ได้
ภายใต้สิทธิที่สังคมเปิดโอกาสให้ทุกคนเท่าเทียมกัน
เพราะโดยเริ่มแรกแล้วไม่มีใครเป็นเจ้าของทรัพยากรเหล่านั้น
ใครก็ตามที่มีความสามารถก็ย่อมหยิบฉวยเอาได้เท่าที่มีกำลังแรงงานที่จะไขว่
คว้าหามาได้
และตราบเท่าที่ยังคงมีทรัพยากรเหลืออยู่ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดยับยั้งการแสวง
หา
ขอเพียงอยู่ภายใต้การแข่งขันอย่างเสรีและได้ทรัพยากรเหล่านั้นมาโดยชอบด้วย
กฎหมาย
วิธีอธิบายแบบนี้คือคำอธิบายของผู้มีอำนาจที่มั่งคั่ง ร่ำรวย และเป็นผู้เข้าถึงทรัพยากรโดยง่าย ซึ่งไม่ต่างจาก
เศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ
ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เผยแพร่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
อันเป็นจุดเริ่มต้นของหลักการที่เรียกกันติดปากว่า “หลักสามห่วง
สองเงื่อนไข” กล่าวคือ หลักพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน
ส่วนสองเงื่อนไขได้แก่ เงื่อนไขคุณธรรม และเงื่อนไขหลักวิชาความรู้
แต่ต่อมามีการเพิ่มเงื่อนไขที่สามคือ เงื่อนไขการดำเนินชีวิต
หมายถึงการดำเนินชีวิตด้วยความอดทน มีความเพียร หลักการที่กล่าวมา
เมื่อถูกนำมาปฏิบัติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง
มีกลุ่มเป้าหมายของการเผยแพร่และชี้บอกให้รับแนวทางนี้ไปใช้ในการดำเนิน
ชีวิต ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร ชาวนาผู้ยากจน จะเห็นได้ว่า
ตัวอย่างแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงล้วนเป็นการดำเนินชีวิตแบบสังคมเกษตรกรรม
ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ มีเหลือจึงขาย ผลิตสิ่งของใช้เอง
และดำเนินชีวิตแบบสมถะเรียบง่าย ชีวิตแบบพอเพียง
คือชีวิตของชาวนาที่ไม่เป็นหนี้เป็นสิน ไม่โลภ ใช้ชีวิตในถิ่นฐานบ้านเกิด
ไม่อพยพเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาทำงานในเมือง
ลักษณะการดำเนินชีวิตของเกษตรกรชาวนา นี้อธิบายได้ว่า
ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองเพราะมีความพอประมาณ ไม่ใช้จ่ายเกินตัว
ไม่คิดแสวงหารายได้จากโยกย้ายแรงงาน มีเหตุมีผล เพราะไม่เป็นหนี้
และมีภูมิคุ้มกัน เพราะมีอาหารจากการทำการเกษตรแบบผสมผสาน
ส่วนเงื่อนไขคุณธรรมในทางปฏิบัติ คือการแบ่งปัน และการแสวงหาความรู้
ซึ่งก็ไม่พ้นการเข้าอบรมหรือเข้าโครงการพัฒนาที่หน่วยงานภาครัฐมาชี้บอกให้
ทำ
เงื่อนไขข้อสุดท้าย ช่วยตอกย้ำ
การพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่โดยไม่ดิ้นรน แข็งขืน ต่อสู้
เพราะบอกให้ต้องอดทน และมีความเพียร สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพึ่งตนเองให้ได้
การพึ่งตนเองได้ ย่อมหมายถึงไม่พึ่งคนอื่น
และไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือ
เมื่อฐานะดีขึ้นก็สามารถบริโภคขยายกิจการได้ ดังเช่นที่ระบุไว้ในทฤษฏีใหม่ 3
ขั้น คือ ขั้นแรกให้ทำเพื่อพึ่งตัวเองให้ได้ เรียกว่าขั้นต้น
ขั้นต่อมาคือขั้นกลาง ได้แก่
การรวมกลุ่มจัดตั้งวิสาหกิจภายในชุมชนเพื่อค้าขายกับชุมชนใกล้เคียง
และขั้นสุดท้ายคือการรวมกันเป็นเครือข่ายขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น
เศรษฐกิจพอเพียงจึงสนทนาบอกเล่าโดยตรงกับคนยากจน เกษตรกรในชนบท
ไม่ให้เข้ามาแข่งขัน แย่งชิงในระบบเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรม
และให้ก้มหน้ายินยอมรับสิ่งที่ตนเองมีอยู่
และดำเนินชีวิตภายใต้ความพอเพียงในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก สามชาย ศรีสันต์
ระบบความคิดเชิงคำสั่งในวาทกรรม “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง”,
วารสารฟ้าเดียวกัน ปีที่ 10 ฉบับที่1)
หลักปรัชญาทั้ง 2 มีความสอดคล้องลงรอยกันในความเชื่อพื้นฐานดังต่อไปนี้
1.
ทั้งสองไม่เห็นด้วยที่จะปรับโครงสร้างการกระจายรายได้ให้เป็นไปอย่างเป็น
ธรรม เสรีนิยมเห็นว่า
รัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวจัดการแทรกแซงราคาผลผลิต
หรือกำหนดมาตรการภาษี ขณะที่เศรษฐกิจพอเพียงมองว่า
ชาวนาไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหารายได้ด้วยผลิตเพื่อขาย เพราะทำให้เป็นหนี้สิน
แต่ควรหันมาผลิตเพื่อบริโภค
2. ทั้งสองมีฐานคิดว่าทรัพยากรมีอยู่อย่างเพียงพอรอให้ประชาชนลงทุน
ลงแรงเข้าไปแสวงหาครอบครอง โดยทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน
ไม่จำเป็นต้องไปปรับโครงสร้างการกระจายทรัพยากรอีก จะเห็นได้ว่า
เศรษฐกิจพอเพียงกล่าวถึงที่ดิน 5 ไร่
สำหรับทำการเกษตรผสมผสานเป็นต้นทุนตั้งต้น แต่ไม่เคยกล่าวว่าจะนำที่ดิน 5
ไร่ และแหล่งน้ำเพื่อทำการเกษตรมาจากไหน
3. ทั้งเศรษฐกิจพอเพียงและเสรีนิยมไม่จำกัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ถ้ามีเงินมีกำลังก็สามารถผลิต -
บริโภคได้ตราบเท่าที่ไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน
4. ข้อเสนอยืนอยู่บนฐานที่ว่า โครงสร้างทางสังคมมีความเป็นธรรมอยู่แล้ว
การผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาดก็ย่อมได้ราคาสูง
ส่วนการผลิตที่ขาดคุณภาพ ไม่เป็นที่ต้องการย่อมได้ราคาต่ำ
สังคมไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ กดราคา
ใช้อำนาจที่ทำให้สินค้าและบริการบางประเภทมีราคาต่ำ แต่บางประเภทมีราคาสูง
เช่น ข้าวเปลือก กับข้าวสาร
เมื่อสังคมมีความเป็นธรรมอยู่แล้วจึงต้องแก้ไขที่ตัวปัจเจกเองไม่ใช่แก้ไข
ที่โครงสร้าง
5. ปล่อยให้การแลกเปลี่ยน แบ่งปัน ช่วยเหลือ
เป็นไปด้วยความสมัครใจแบบปัจเจกบุคคล โดยที่รัฐไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว
แต่ให้เป็นเรื่องของการสงเคราะห์ เยียวยา
ด้วยจิตเมตตาของคนรวยที่จะช่วยเหลือคนจนตามหลักคุณธรรมที่ผู้ปกครองในฐานะ
ปัจเจกบุคคลพึงมี
6. ฐานคติความเชื่อข้างต้น
เป็นสิ่งที่ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นจริงโดยไม่ต้องพิสูจน์โต้แย้ง
เศรษฐกิจพอเพียงบอกให้มีศรัทธาเหมือนศรัทธาในศาสนา
เพราะหลักปรัชญาอิงอยู่กับศาสนาพุทธ
ขณะที่เสรีนิยมบอกว่าเป็นสิทธิที่ติดมาตั้งแต่เราเกิด
สิ่งที่สอดคล้องเชื่อมประสานกันประการสุดท้ายคือ
ทั้งสองผลิตซ้ำความไม่เท่าเทียม
ช่วยธำรงค์รักษาสังคมของการเอารัดเอาเปรียบให้ฝ่ายผู้ครอบครองทรัพยากรมี
สิทธิอำนาจที่อยู่เหนือกว่าให้อยู่ในสถานะตำแหน่งที่เหนือกว่าต่อไป
โดยมีคำอธิบายสาเหตุของความยากจนคล้ายคลึงกันคือ
เป็นเหตุปัจจัยอันเนื่องมาจากบุคคลผู้ยากจนที่กระทำต่อตัวเอง
ฉะนั้นจึงต้องแก้ด้วยตนเอง อย่าไปเรียกร้องให้ใครมาหยิบยื่นช่วยเหลือ