วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

"แก๊ง 4 ป."ฐานอำนาจใหม่ ผู้คุ้มกัน"รัฐบาลปชป."?

ที่มา มติชน

กลับมาผงาดใน "แวดวงกองทัพ" อีกครั้ง สำหรับ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก เมื่อเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใน "ครม.อภิสิทธิ์" ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของไทย ภายใต้การกลับเข้ามาบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง

ทั้งนี้ชื่อของ พล.อ.ประวิตร เข้ามาอยู่ใน "ครม.อภิสิทธิ์ 1" คงยากที่รัฐบาลชุดนี้จะปฏิเสธ "ความเชื่อมโยง" กับกองทัพ ภายใต้การนำของ "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก "น้องรัก" หมายเลขหนึ่งแห่ง "นักรบบูรพา"

ด้วยความสัมพันธ์ที่ "คู่พี่น้อง" นี้มีร่วมกันมานานแบบ "มองตาก็รู้ใจ" เพราะทั้งคู่เคยผ่าน "ชีวิตวัยหนุ่ม" มาด้วยกัน เพราะหลังจบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (จปร.) ทั้งคู่เริ่มต้นชีวิตรับราชการที่ "ค่ายนวมินทร์ฯ" กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) จ.ชลบุรี มาด้วยกัน

ทั้งนี้ ถือเป็นธรรมเนียมของทุกค่ายที่จะมีบ้านพัก "นายทหารหนุ่มโสด" อยู่ภายในค่ายทหารทุกแห่ง และที่ ร.21 รอ.นี้เช่นกัน

เมื่อชีวิต "ยังเติร์ก" ของ พล.อ.ประวิตร "พี่ใหญ่บูรพา" ยังครองโสดสมัยนั้น จึงเข้าพักใน "บ้านพักทหารโสด" อยู่ในกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 พัน 2 รอ.) กลายเป็น "พี่เบิ้มบ้านชายโสด"

และเมื่อ "ร.ต.อนุพงษ์" หนุ่มโสดศึกษาจบ จปร.รุ่น 21 หมาดๆ ได้เข้ารับราชการอยู่ที่ ร.21 พัน 2 รอ. ก็ต้องเข้ามาอาศัยอยู่ใน "บ้านพักทหารหนุ่มโสด" แห่งนี้ โดยมี "พี่ป้อม" เป็นนายทหารรุ่นพี่คอยดูแล ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง "พี่ป้อมน้องป๊อก" เริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่นั้นมา

หลังจากนั้น 2 ปี "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก ซึ่งจบการศึกษา จปร. รุ่น 23 ก็เริ่มต้นชีวิตราชการใน ร.21 พัน 2 รอ. เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ และเข้ามาอาศัยที่ "บ้านทหารหนุ่มโสด" ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ด้วยความที่ พล.อ.อนุพงษ์ กับ พล.อ.ประยุทธ์ เรียน จปร. รุ่นใกล้เคียงกัน ทำให้ทั้งคู่มี "ความใกล้ชิด" กันตั้งแต่สมัยเรียน

ด้วยความที่ชีวิตวัยหนุ่มของ "บิ๊ก 3 ป." นี้ คุ้นเคยกันมาตั้งแต่ชีวิตวัยหนุ่มที่ "ทำงาน กิน เที่ยว นอน" มาด้วยกันใน "บ้านพักทหารหนุ่มโสด" ดังนั้น ปฏิเสธความสัมพันธ์แบบ "พี่น้องซี้ย่ำปึ้ก" นี้ไปไม่ได้

นอกจากนี้ ชีวิตรับราชการของ 3 พี่น้อง "ป้อม-ป๊อก-ตู่" นี้ก็ผ่านตำแหน่ง "คุมกำลังหลัก" ชนิดถอดแบบกันมา โดยเฉพาะเก้าอี้ผู้บัญชาการกองพลที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ร.2 รอ.) หรือที่เรียกว่า "เหล่าทหารเสือราชินี" และเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 มาเช่นเดียวกัน

รวมถึงตำแหน่ง ผบ.ทบ. ที่ "พี่ป้อม-น้องป๊อก" ต่างครองตำแหน่งนี้ไปแล้ว เหลือเพียง พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีอายุราชการถึงปี 2557 ซึ่งรอ "วัน เวลา" เหมาะสมนั่งเก้าอี้ "ผู้นำกองทัพ" ต่อจาก พล.อ.อนุพงษ์ ที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2553

ทั้งนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธ "สัมพันธ์ลึกซึ้ง" ของ "สามพี่น้อง" นี้ ดังนั้น เมื่อบทสรุปของการ "เปลี่ยนขั้วรัฐบาล" มาลงเอยที่สูตร พล.อ.ประวิตร นั่ง รมว.กลาโหม "คุมน้องทหาร" ในเหล่าทัพ พร้อมประสานการทำงานกับ "ฝ่ายการเมือง"

ดังนั้น ย่อมไม่แปลกที่สังคมจะสงสัย "ความอยู่เบื้องหลัง" ตั้งรัฐบาลที่มี "บิ๊กกองทัพ" เข้ามามีเอี่ยว โดยเฉพาะห้วงการต่อสู้ทางการเมืองที่รุนแรงก่อนมี "รัฐบาลอภิสิทธิ์" ความเคลื่อนไหวของ "ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์" มีขึ้นต่อเนื่อง

โดยใช้พื้นที่กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เป็นสถานที่ "ถกการเมือง" กันมาตลอด ทั้งในบ้านพักรับรองของ พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ ล้วนอยู่ใน ร.1 รอ.

แต่ที่เป็นศูนย์บัญชาการหลัก คือ มูลนิธิปลูกป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ซึ่งตั้งอยู่ใน ร.1 รอ. ภายหลังที่ พล.อ.อนุพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. โดยมี พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน

มูลนิธินี้มีภารกิจสำคัญ คือ ปลูกป่าในพื้นที่ 5 จังหวัดรอยต่อ "แถบบูรพา" ดูแลสิ่งแวดล้อมตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ต้องการรักษา "ผืนป่าและผืนน้ำ" โดยมูลนิธินี้มีคนดังในสังคมเป็นกรรมการจำนวนมาก อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รมว.คลัง พล.อ.พัฒฑะนะ พุฑานานนท์ อดีต รอง ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นประธานกรรมการ บริษัท เบียร์ทิพย์ เป็นรองประธาน

กรรมการประกอบด้วย พล.อ.อนุพงษ์ นายสถิตย์ สวินทร์ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนเซนต์คาเบรียล ของ พล.อ.ประวิตร และเป็นหนึ่งใน "บิ๊กคอมลิงค์" นายจรูญ จันทร์จำรัสแสง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างนายทุนเก่าพรรคทานตะวัน และนายกมล เอี้ยวศิวะกุล นายบำรุง ล้อเจริญวัฒนา

ถือเป็น "มูลนิธิน้องใหม่" ที่มี "กลุ่มทุน" สนับสนุนไม่น้อยกำลังมาแรงในบทบาทการเมืองเวลานี้

ดังนั้น ไม่แปลกที่ พล.อ.ประวิตร จะเริ่มต้น "เส้นทางการเมือง" เต็มตัวในเก้าอี้ รมว.กลาโหม เพราะกำลังเป็นบุคคล "ทรงอิทธิพล" ทั้งในแวดวง "การเมือง" และ "การทหาร"

ที่สำคัญ พล.อ.ประวิตร ยังมี "น้องรัก" ถึง 2 คน เป็นผู้คุมกำลังกองทัพทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ "ผู้นำสีเขียว" และ "บิ๊กป๊อด" พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ญาติผู้น้อง พล.อ.ประวิตร ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ซื้อใจด้วยการ "คืนเก้าอี้" ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็น "ผู้นำสีกากี"

ด้วยวิธีการ "ซ่อนเร้น" ให้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ลงนามคำสั่งให้วันที่ 21 ธันวาคมในฐานะ "รักษาการนายกฯ" ป้องกันฝ่ายตรงข้ามถูกโจมตีรัฐบาล "ต่างตอบแทน"

ถือว่าเวลานี้ "รัฐบาลอภิสิทธิ์" ปิดประตู "อำนาจทหาร" ที่จะมาสั่นคลอน "เสถียรภาพ" รัฐบาล

ขณะเดียวกัน รัฐบาลประชาธิปัตย์กำลังยืมมือ "อำนาจความมั่นคง" ทั้งตำรวจและทหารเป็นเครื่องมือ "ลากยาว" รัฐบาลชุดนี้ ด้วยการดูแลปัญหาความมั่นคงที่เกิดจากการเมือง โดยเฉพาะ "ยุทธวิธีย้อนเกล็ด" ของฝ่ายตรงข้ามที่เตรียมปลุก "ม็อบเสื้อแดง" กดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์ ให้ยุบสภา "คืนอำนาจ" ให้ประชาชน

ดังนั้น สูตรการเมืองเวลานี้ต้องจับตาทุกความเคลื่อนไหวของ "บิ๊ก 4 ป." คือ "ป้อม-ป๊อก-ป๊อด-ประยุทธ์" เพราะศูนย์อำนาจการเมืองเวลานี้ ต้องขับเคี่ยวควบคู่ไปกับ "การทหาร" ที่มี พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น "คีย์แมนสำคัญ"

ที่สามารถ "ชักใย" และ "ชี้เป็นชี้ตาย" ให้กับรัฐบาลนี้...