วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

มาร์คเสียวแจกเงิน2พัน

ที่มา เดลินิวส์

'สดศรี'ตั้งปมยังไม่รู้แน่ชัดซํ้ารอยบุญจง

ฝ่ายค้านเดินแต้มกำจัดจุดอ่อนรัฐบาล “บุญจง” โต้ปากสั่นไม่กลัวถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยืนกรานไม่ได้ทำผิด พร้อมลั่นจะทำต่อถ้าประชาชนได้ประโยชน์ “เทพเทือก” เผยยังไม่มีโครงการปรับครม.ตอนนี้ แต่ให้โอกาสรัฐมนตรีเจ้าปัญหาชี้แจงสังคมเอาเอง “สดศรี” เปรียบเทียบกรณีนายกฯแจกเงิน 2 พันคนละเรื่องเดียวกัน เพื่อไทยแฉ พม.อุตริเตรียมส่ง “หมูหยอง” ไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ปลาเน่าดันส่งกลิ่นก่อนจึงต้องเบนเข็มไปแจกที่อีสานแทน ด้าน “สุทัศน์” ปัดเป็นหนอนส่งข้อมูลให้ พท.ใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ขณะที่ พธม.กลั้นใจพูดพร้อมนอนคุกถ้าศาลตัดสินการยึดสนามบินผิด แถมเย้ยเสื้อแดงไม่มีปัญญายึดทำเนียบฯเหมือนเสื้อเหลือง ส่วน “มาร์ค” ร่ายยาวงบฯเพิ่มเติม อ้างต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ “เหลิบ” สับแหลกลอกมาทั้งดุ้น

“เทพเทือก”ยันไม่ปรับ ครม.

เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล หลังจากมีรัฐมนตรีหลายคนตกเป็นเป้าทางการเมืองว่า ไม่ว่ารัฐมนตรีคนไหนที่ถูกโจมตีก็ต้องดูแลตัวเอง เขาเป็นบุคคลสาธารณะต้องยอมรับการตรวจสอบ แต่ยืนยันว่ายังไม่ปรับ ครม. ต้องเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีได้ชี้แจงก่อน

เมื่อถามว่า ในอนาคตจะมีการปรับเก้าอี้รัฐมนตรีเพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า จะไม่มีการปรับ ครม. เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงและความถูกต้อง เมื่อถามต่อว่า นายกฯปรารภถึงกรณีของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย และนายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมฯ บ้างหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ก็มีการคุยกันบ้าง ตนในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย ได้ตักเตือนนายบุญจงไปบ้างแล้วว่าต้องระมัดระวังและขอให้ชี้แจงกับสังคมให้ได้ เมื่อถามย้ำว่า หาก ป.ป.ช.ชี้มูลว่านายบุญจงผิดจริงจะปรับออกหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า รอให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วค่อยมาถามใหม่

“บุญจง”เสียงแข็งไม่ได้ทำผิด

ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านยื่น ป.ป.ช.ตรวจสอบการแจกเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้พร้อมแนบนามบัตรของตัวเองว่า ตนมั่นใจว่าทุกอย่างที่ทำถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อมีการตรวจสอบก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการของทุกองค์กร เมื่อถามว่า หากชี้มูลว่าผิดก็พร้อมยอมรับใช่หรือไม่ นายบุญจงกล่าวว่า ให้ถึงเวลานั้นตนพร้อมจะชี้แจง เมื่อประชาชนได้รับผลประโยชน์ก็พร้อมทำต่อไป และเป็นการทำตามอำนาจหน้าที่

“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลก็ได้แถลงนโยบายชัดเจนในหน้า 15 ที่จะต้องดูแลประชาชนผู้ยากไร้ คนยากจน และคนพิการ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมก็ได้ทำหน้าที่ตามนโยบายรัฐบาล” นายบุญจงกล่าว

ปัดปูทางส่งเมียลงเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการเกลี่ยงบจากกระทรวงการพัฒนาสังคมฯมาช่วยในพื้นที่ของนายบุญจงเพื่อหาเสียง นายบุญจงกล่าวว่า สิ่งที่ประชาชนได้รับทั้งหมดเป็นเรื่องที่ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบราชการ ประชาชนเหล่านั้นก็เป็นผู้ด้อยโอกาสเป็นคนยากจน เมื่อถามว่า การแนบนามบัตรไป ด้วยทำให้ถูกมองว่าเป็นการแจกเงินของตัวเอง นายบุญจงกล่าวว่า สื่อบางฉบับบิดเบือนและเกินความจริง ตนไม่ได้เย็บนามบัตรติดกับเงิน

เมื่อถามต่อว่า การแจกเงินดังกล่าวเป็นหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ไม่ใช่กระทรวงมหาดไทย นายบุญจงกล่าวว่า วันนั้นอยู่ร่วมกันทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อธิบดี ผู้ว่าฯ นายอำเภอ และประชาชนก็รู้ว่าเป็นเงินของรัฐบาลที่เอาไปช่วยชาวบ้าน ส่วนที่แจกเงินที่บ้านของตนเพราะมีการประสานงานกัน ชาวบ้านเขาอยากมาจึงร่วมกันแจก เมื่อถามว่า มีการมองว่าภรรยาของนายบุญจงเตรียมสมัครเลือกตั้ง อาจมีส่วนเรื่องนี้ นายบุญจงกล่าวว่า ไม่ใช่ นามบัตรที่แจกก็เป็นเบอร์โทรฯของตน

ยืนยันไม่กลัวถูกซักฟอก

เมื่อถามว่า เกรงหรือไม่ว่าฝ่ายค้านอาจจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายบุญจงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า ไม่มีอะไรที่หวั่นไหว แม้จะท้อบ้างแต่ไม่ถอย พร้อมจะเดินหน้าทำงานให้กับประเทศชาติ เพราะถือว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดประชาชนได้รับประโยชน์ ส่วนฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบก็ทำไป ไม่มีปัญหา ตนพร้อมชี้แจงทุกอย่าง

นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า คนที่จะชี้ว่านายบุญจงทำผิดหรือถูกต้องเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เมื่อถามว่า แต่ถ้าดูที่เจตนาแล้วเป็นความตั้งใจของนายบุญจงที่จะแนบนามบัตรของตัวเองพร้อมเงินช่วยเหลือให้ประชาชน นายถาวรกล่าวย้อนถามว่า แนบนามบัตรไปด้วยหรือ เรื่องทั้งหมดคงต้องให้นายบุญจงเป็นคนตอบ จะผิดหรือถูกก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน

ปชป.ยันไม่ใช่จุดอ่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือนนายบุญจงจะเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล นายถาวรกล่าวว่า ไม่ ส่วนที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอให้ปรับนายบุญจงออกจากตำแหน่งนั้น ตนยังไม่ได้ยิน คิดว่าตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับ ครม. ต่อข้อถามว่า นายบุญจงยังมีความสง่างามที่จะทำหน้าที่ต่ออย่างนั้นหรือ นายถาวรกล่าวว่า ยังทำงานได้ ส่วนจะสง่างามหรือไม่ก็แล้วแต่มุมมอง

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่รัฐบาลทำงานมาไม่ถึงเดือนก็มีรัฐมนตรีล่อเป้าเกิดขึ้นแล้วถึง 2 คน นายถาวรกล่าวว่า ถ้ามีอะไรที่ประชาชนติติงมาเราก็แก้ไข หรือฝ่ายราชการเสนอแนะรัฐบาลก็รับฟัง รวมทั้งฝ่ายค้านติติงอะไรมาก็ต้องรับฟัง เราต้องเป็นรัฐบาลที่ใจกว้าง มีความมุ่งมั่น แล้วทุกอย่างก็จะไปได้

ต่างคนต่างโบ้ยปัญหา

นายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมฯกล่าวถึงกรณีที่นายบุญจงนำงบฯของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ไปแจกชาวบ้านพร้อมแนบนามบัตรตัวเองว่า ตนได้สั่งการให้กระทรวง ทำหนังสือชี้แจงรายละเอียดมาให้ทราบภายในวันที่ 29 ม.ค.ว่างบฯที่นำไปช่วยเหลือประชาชนนั้นมีอยู่เท่าไหร่ และแจกให้จังหวัดใดไปแล้วบ้าง

ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านเตรียมรวบรวมข้อมูลยื่น ป.ป.ช.สอบนั้น นายวิฑูรย์กล่าวว่า ตนได้บอกไปแล้วว่ากระทรวงฯมีงบที่เกี่ยวกับประชาชนทุกภาค ซึ่งได้ปฏิบัติกันมาตลอด เมื่อถามว่า รัฐมนตรีต่างกระทรวงนำงบฯไปแจกได้หรือไม่ นายวิฑูรย์กล่าวว่า รอให้กระทรวงชี้แจง มาก่อนจะแจ้งให้ทราบ

กกต.นั่งรอรับเรื่อง “บุญจง”

นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ให้สัมภาษณ์กรณีของนายบุญจงแจกเงินพร้อมแนบนามบัตรว่า กกต.ยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียน หากได้รับเรื่องก็จะต้องพิจารณาว่าเป็นความผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 266 หรือไม่ เพราะนักการเมืองจะเข้ามาก้าวก่ายงานของข้าราชการประจำไม่ได้

นางสดศรีกล่าวต่อว่า เรื่องการแจกเงิน ตนไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าเงินเป็นเงินจากกระทรวงมหาดไทย หรือกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ หากจะมีการพิจารณาก็ต้องมาพิจารณาว่า การนำงบฯไปให้ประชาชนเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติ ครม.หรือไม่ ซึ่งก็ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง

คนละกรณีกับนายกฯแจก 2 พัน

“หากจะมีการพิจารณาก็ต้องมาดูว่า เหมือนกับกรณีของนายกรัฐมนตรีที่แจกเงินจำนวน 2,000 บาทให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อย หรือให้ประชาชนได้ใช้น้ำใช้ไฟฟรี ในกรณีที่ต่ำกว่า 15 ยูนิต ซึ่งการให้ใช้น้ำไฟฟรี เป็นหน้าที่ของการประปาและการไฟฟ้า การที่นายกฯทำแบบนี้ถือเป็นการแทรกแซงก้าวก่ายองค์กรอื่นหรือไม่ รวมทั้งต้องเป็นนโยบายที่รัฐบาลจัดให้ประชาชนนั้น เป็นไปตามมติ ครม.หรือไม่ หรือเป็นนักการเมือง ที่ก้าวก่ายการทำงานของข้าราชการประจำ ซึ่งก็ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง” นางสดศรีกล่าว

กกต.กล่าวต่อว่า ส่วนตัวเห็นว่าหากเป็นนายกฯไปแจกของใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก แต่กรณีของนายบุญจง เขาอาจคิดว่าชาวบ้านคงไม่รู้จัก อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาว่านายบุญจงแจกเงิน ในฐานะ รมช.มหาดไทย หรือแจกในฐานะ ส.ส. คนหนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของนายบุญจงต้องอธิบายให้ได้ว่า การแจกเงินนั้นทำในฐานะอะไร และไปเกี่ยวกับกระทรวงอื่นอย่างไร หากมองว่าเป็นการแจกเงินเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ต้องดูว่าเป็นการแจกในช่วง 60 วันก่อนมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งหรือไม่ และหากมีการยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ การกระทำดังกล่าวของนายบุญจงจะผิดหรือไม่

อยากให้เป็นบรรทัดฐาน

นางสดศรีกล่าวต่อว่า หากมีการเสนอเรื่องมา กกต.จะตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ หากเห็นว่านายบุญจงมีความผิด ก็จะส่งเรื่องต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา กรณีนี้มีโทษทำให้นายบุญจงพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี กรณีดังกล่าวอยากให้มีบรรทัดฐานเกิดขึ้น

นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวว่า กกต.น่าจะนำเข้าสู่วาระการประชุมในวันที่ 29 ม.ค.เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาตั้งอนุกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ ส่วนกรอบเวลาการสอบจะกำหนดไว้เท่าไรนั้นขึ้นอยู่ กับที่ประชุม กกต.จะพิจารณา

ไม่กลัวเสื้อแดงยึดทำเนียบ

ส่วนการเมืองอื่นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรียกร้องให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไปปิดล้อมมหาวิทยาลัยว่า ได้กำชับ ผบ.ตร.ให้ดำเนินการกับผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ตนยอมรับความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ที่ผ่านมาตำรวจมีการติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงทุกกรณีที่มีการกระทำผิดกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มเสื้อแดงประกาศจะเคลื่อนย้ายจากสนามหลวงและอาจจะมายึดทำเนียบรัฐบาลได้เตรียมมาตรการป้องกันอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ยังไม่ได้กำหนดมาตรการอะไร อย่าเพิ่งคาดการณ์ว่าจะมีการเคลื่อนไหวมาที่ทำเนียบรัฐบาล เดี๋ยวจะเป็นการยุยงหรือท้าทาย อย่างไรก็ตามตนยังไม่ได้คุยกับฝ่ายปฏิบัติหากมีการเคลื่อนมายังทำเนียบรัฐบาลจริง

เตรียมจัดระเบียบวิทยุชุมชน

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการดูแลวิทยุชุมชนว่า ต้องบอกว่าวิทยุชุมชนมีทั้งที่มีปัญหาและไม่มีปัญหา ที่ผ่านมามีประชาชนหลายจังหวัดร้องเรียนมามาก เกี่ยวกับพฤติกรรมของวิทยุชุมชนบางสถานีสร้างความเข้าใจผิด และปลุกระดม ในสัปดาห์หน้าตนจะเชิญคณะอนุกรรมการกิจการกระจายเสียงมาหารือ และมอบข้อมูลวิทยุชุมชนที่ละเมิดสิทธิหรือใช้สิทธิที่ผิดไปจากรัฐธรรมนูญให้ ซึ่งเท่าที่มีการร้องเรียนและมีเทปบันทึกเสียงเป็นหลักฐานประมาณ 5 แห่ง

เมื่อถามว่า สถานีวิทยุชุมชน จ.อุดรธานีและเชียงใหม่ประกาศว่า หากรัฐบาลปิดสถานีจะลุกฮือมาต่อต้านรัฐบาล นายสาทิตย์กล่าวว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย รัฐบาลจะไม่เลือกปฏิบัติจะดำเนินการอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าคนถูกร้องจะเป็นฝ่ายใดหรือใส่เสื้อสีอะไรก็ตาม หากมีการพบว่าทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการไม่เช่นนั้นจะเกิดผลกระทบที่กว้างขวางมากไปอีก และจะจัดระเบียบในรอบแรกในเดือน เม.ย.นี้

พธม.พร้อมนอนคุกถ้าผิด

นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศว่าในวันที่ 31 ม.ค.นี้ อาจจะเคลื่อนไหวยึดทำเนียบรัฐบาลว่า ตนไม่เรียกกลุ่มคนพวกนี้ว่าเสื้อแดง แต่จะเรียกว่ากลุ่มสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าจะปลุกกระแสไม่ได้ เพราะประเด็นข้อเรียกร้องไม่มีความชอบธรรม ต่างกับกลุ่มพันธมิตรฯที่ชุมนุมยืดเยื้อได้ 193 วัน หรือแม้แต่การเรียกร้องให้ปลดนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ก็ไม่มีความชอบธรรม การขึ้นเวทีถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมมากกว่าจะมาขับไล่

ส่วนข้อเรียกร้องให้เร่งดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น นายพิภพกล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่จะเรียกร้องได้ แต่ยืนยันว่าการเคลื่อนไหวไปยังสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งสนามบินสุวรรณภูมินั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามถ้าพันธมิตรฯทำผิดก็พร้อมที่จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ขออย่าให้สร้างหลักฐานเท็จหรือตั้งข้อกล่าวหาเกินจริงก็แล้วกัน

“กษิต”เซ็นตั้งทูตพิเศษ 6 คน

แหล่งข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง “ทูตพิเศษ” เพื่อเป็นตัวแทนของ รมว.การต่างประเทศ ในการเป็นทีมโฆษกเพื่อประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศ และเดินทางไปสร้างความสัมพันธ์กับประเทศ ต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่เป็นอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศและอดีตเอกอัครราชทูตที่มีชื่อเสียงและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ประกอบด้วยนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว. เกษมสโมสร เกษมศรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายอัษฎา ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ นายเตช บุนนาค อดีต รมว.การต่างประเทศ นายวิทยา เวชชาชีวะ อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายมนัสพาสน์ ชูโต อดีตเอกอัครราชทูต

“การแต่งตั้งทูตพิเศษทั้ง 6 คนนี้ ล้วนแต่เคยเป็นอดีตนายเก่าของนายกษิตทั้งสิ้น จะมีก็เพียงนายอัษฎา ชัยนาม เท่านั้น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องสหประชาชาติเป็นพิเศษ และอยู่ในรุ่นใกล้ ๆ กัน ที่นายกษิตดึงมาให้ช่วยในเรื่องงานของสหประชาชาติ โดยทูตพิเศษเหล่านี้จะไปทำหน้าที่พิเศษเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่รัฐมนตรีมอบหมายเพราะรัฐมนตรีคงไม่มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศบ่อย เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสุขภาพ” แหล่งข่าวกล่าว

ดีทีวีแก้เกมเป็นสมาชิกเคเบิล

นายอดิศร เพียงเกษ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ดีสเตชั่น จำกัด พร้อมผู้บริหารสถานีได้เข้ามอบเอกสารแสดงการมอบเอกสิทธิ์เผยแพร่ภาพออกอากาศสถานีประชาธิปไตย หรือ ดีสเตชั่น ให้กับนายเกษม อินทร์แก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย

นายอดิศร กล่าวว่า การมอบเอกสิทธิ์เผยแพร่ออกอากาศทุกรายการโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อเป็นสื่อทางเลือกให้ประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่ได้มีเป้าหมายตอบโต้กับสื่อของรัฐ ทั้งนี้การมอบ เอกสิทธิ์เผยแพร่ออกอากาศก็เป็นไปตามความเรียกร้องของประชาชน ส่วนจะเพิ่มมวลชนคนเสื้อแดงมากขึ้นหรือไม่นั้น ไม่ใช่ประเด็นแต่หลักการใหญ่คือเป็นเรื่องประชาธิปไตย

พร้อมแพร่ภาพ 24 ชั่วโมง

นายเกษม กล่าวว่า ในวันที่ 29 ม.ค. ตนจะทำหนังสือเวียนเรื่องรับดีสเตชั่นเข้าเป็นสมาชิกสมาคมเคเบิลทีวีไปถึงสมาชิกทั่วประเทศ และจากนั้นจะจูนสัญญาณเริ่มแพร่ภาพออกอากาศได้ทันที สำหรับเหตุผลที่เผยแพร่สัญญาณของดีสเตชั่นก็เพื่อเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนมากขึ้น

เมื่อถามว่า สมาคมมีเงื่อนไขให้ดีสเตชั่นระมัดระวังประเด็นที่สร้างความแตกแยกหรือเรื่องการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการเฉพาะหรือไม่ นายเกษมกล่าวว่า สมาคมเคเบิลทีวีมีหน้าที่เป็นเพียงคนสื่อสารผ่านการเชื่อมต่อสัญญาณให้ประชาชนรับทราบ ส่วนเนื้อหาเป็นความรับผิดชอบของดีสเตชั่น การโฟนอินก็เป็นเรื่องของสิทธิที่จะทำได้ เมื่อถามว่าการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงวันที่ 31 ม.ค.นี้จะออกอากาศหรือระงับไว้เป็นการชั่วคราว นายเกษมกล่าวว่า เมื่อมีการรับสัญญาณก็สามารถเผยแพร่ออกอากาศได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“วิฑูรย์”มั่นใจไม่มีทุจริต

ส่วนการเมืองอื่นนายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมฯกล่าวถึงข้อกล่าวหาเรื่องการแจกถุงยังชีพไม่มีคุณภาพว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว 2 ชุด ที่ผ่านมาซึ่งได้รับการชี้แจงจากกระทรวงฯว่า ไม่มีการใช้งบฯในการจัดซื้อจัดจ้างและยังไม่มีเรื่องทุจริต แต่เพื่อความสบายใจตนได้ให้กรรมาธิการของสภา ตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย

“ผมได้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้มาตรวจสอบว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพหรือไม่ รวมทั้ง สตง. สำนักงบประมาณให้เข้ามาตรวจสอบการใช้เงิน ว่าช่วงที่ผมเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกับก่อนหน้าที่เข้ามามีการใช้จ่ายงบฯซื้อถุงยังชีพไปหรือยัง หากมีข้อมูลข้อเท็จจริงให้พูดออกมาได้เลยไม่มีการฟ้องร้อง แต่ถ้าพูดเท็จต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย และการพูดถึงอักษรย่อ อ.ช.จ.พ.ก็ให้บอกชื่อเต็มมาผมพร้อมตรวจสอบ”นายวิฑูรย์กล่าวและว่าจะไม่มีการตัดตอนเรื่องนี้ แต่ตนจะขอชี้แจงในสภา พร้อมแสดงเอกสารหลักฐานทั้งหมด

“สุทัศน์”ปัดเป็นหนอนใน ปชป.

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว. ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่ามีคนในพรรคประชาธิปัตย์ อักษรย่อ “จ” เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องของการจัดซื้อ จัดหาปลากระป๋องเน่าที่นำไปแจกให้กับประชาชน จ.พัทลุงว่า ไม่ใช่ตน

นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข่าวที่ระบุว่าจะส่งข้อมูลความไม่ชอบมาพากลกรณีแจกปลากระป๋องเน่าให้พรรคเพื่อไทยใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ไม่เป็นความจริง ตนไม่มีข้อมูลใด ๆ เลย ข้ออ้างที่ว่าเป็นเพราะตนต้องการผลักดันให้นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็น รมว.พัฒนาสังคมฯนั้นก็ไม่จริง ตนยังสนับสนุนให้นายวิฑูรย์ได้เป็นรัฐมนตรี ซึ่งทางออกที่เห็นตรงกันนายวิฑูรย์ต้องชี้แจงด้วยตัวเอง

แฉส่งหมูหยองไป 3 จังหวัดใต้

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีความไม่ชอบมาพากลของถุงยังชีพของกระทรวงการ พัฒนาสังคมฯว่า จากการตรวจสอบถุงยังชีพที่จัดส่งไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ จ.พัทลุง ลอตแรก 1,500 ชุด และลอตที่ 2 อีก 3,500 ชุด นอกจากมีปลากระป๋องเน่าแล้ว ยังพบว่ามีหมูหยองรวมอยู่ด้วย แต่เมื่อตกเป็นข่าวมีปลากระป๋องเน่าจึงรีบนำออกก่อน ส่งไปช่วยเหลือประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรีบแก้ไขโดยนำหมูหยองจัดส่งไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ จ.อุบลราช ธานี และ จ.ยโสธรแทน

สำหรับร่องรอยของปลากระป๋องเน่า นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า แหล่งข่าวแจ้งว่าได้ถูกนำไปไว้ที่ จ.ราชบุรี แต่ตนไม่สามารถระบุสถานที่ชัดเจนได้ ถุงยังชีพที่นายวิฑูรย์อ้างว่ารับบริจาคมานั้น น่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ โดยแยกย่อยให้แต่ละจังหวัดจัดซื้อ ทำให้ตัวเลขงบฯดูไม่สูง และดำเนินการได้โดยไม่ต้องมีการประมูล

ตั้ง “ภิมุข”ที่ปรึกษา “สุวิทย์”

อีกด้านหนึ่งนายศุภลักษณ์ ควรหา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลง ภายหลังการประชุม ครม.ว่า ครม.อนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนกระทรวงเทคโนโลยีฯจำนวน 2 ราย 1. นายวรพัฒน์ ทิวถนอม รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง และ 2.นายธานีรัตน์ ศิริปะ ชะนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง นอกจากนี้ยังเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ ร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.)

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ครม.อนุมัติตามที่ รมว.ทรัพยากร ธรรมชาติฯเสนอแต่งตั้งนายภิมุข สิมะโรจน์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่ง ตั้งนายศุภชัย บัญชาศึก เป็นที่ปรึกษา รมช. ศึกษาธิการ นอกจากนี้อนุมัติตามที่นายกฯเห็นชอบแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน 13 ราย คือ 1.นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข 2.นายเชาวน์วัศ เสนพงศ์ 3.นายอดุลย์ สาฮีบาตู 4.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 5.นางสาวจิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี 6.นายจิราย ตุลยานนท์ 7.นายอภินันท์ ช่วยบำรุง 8.นางสุรสา ทองแถม ณ อยุธยา 9.นางสาวสินฤทัย พูนศิริวงศ์ 10.นายศิริรัฐ ศิริพันธุ์ 11.นายภูริพงศ์ พงษ์สุวรรณศิริ 12.นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ และ 13.นายธวัช สุรินทร์คำ

ครม.อนุมัติงบฯช่วยเกษตรกร

ส่วนการแก้ปัญหากลุ่มเกษตรกรที่มาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้สินนั้น นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.ได้มติอนุมัติงบฯ 607 ล้านบาท แก่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) เพื่อใช้ในการซื้อที่ดินกลับคืนจากหน่วยงานที่ยึดที่ดิน มาให้เกษตรกรสมาชิก กฟก.ที่ถูกยึดที่ดินทำกิน จำนวน 1,187 ราย โดยแต่ละรายมีราคาทรัพย์สินไม่เกิน 2.5 ล้านบาท

ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร โฆษก สำนักนายกฯ กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยกำหนดให้ประธานกรรมการและกรรมการ ทอท.เป็นเจ้าพนักงาน และให้มีอำนาจในการควบคุมผู้กระทำผิดในเขตท่าอากาศยาน ซึ่งผู้ที่ทำผิดมีโทษปรับตั้งแต่ 500-10,000 บาท นอกจากนี้ยังสามารถส่งตัวให้ตำรวจได้ทันทีหรือไม่เกิน 24 ชั่วโมง

พท.ประท้วงไม่ฟังแถลงงบฯ

วันเดียวกันที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ทั้งนี้มีการพิจารณาวาระเร่งด่วนคือการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 1.167 แสนล้านบาท ที่ ครม.เป็นผู้เสนอในวาระที่ 1 ก่อนเข้าสู่วาระ ส.ส.พรรคเพื่อไทยขอหารือถึงระยะเวลาในการอภิปราย ซึ่ง ส.ส.ทั้ง 2 ฝ่ายต่างถกเถียงกัน ทำให้นายชัยกล่าวตัดบทว่า ตรงนี้เป็นหน้าที่ของวิปทั้ง 2 ฝ่ายที่จะต้องไปตกลงกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายชัยพูดจบก็ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ปรากฏว่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นพร้อมกดไมค์และตะโกนว่า “พวกผมไม่อยู่ฟัง” จากนั้นก็เดินออกจากห้องประชุมประมาณ 5 นาที และเมื่อเดินกลับเข้ามาในห้องประชุมนายธนพล ไชยนันทน์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ เดินเข้ามาเคลียร์กับนายประเสริฐ จนยอมกลับเข้ามานั่งที่เดิมเพื่อรับฟังการแถลงนโยบาย

“มาร์ค”อ้าง วิกฤติ ศก.โลก

จากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้อภิปรายว่า ครม. ขอเสนอร่าง พ.ร.บ.งบฯรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบฯ 2552 เป็นจำนวนไม่เกิน 116,700,000,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นจำนวน 97,560,523,700 บาท และเป็นรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังเป็นจำนวน 19,139,476,300 บาท โดยรัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินในการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระจายไปสู่ระบบเศรษฐกิจทุกภาค จึงต้องตั้งงบฯรายจ่ายเพิ่มเติม 97,560,523,700 บาท

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ปัญหาเศรษฐ กิจที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน จึงได้กำหนดแผนฟื้นฟูในระยะเร่งด่วน โดยระยะแรกจะกระตุ้นให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายสิ่งจำเป็นในชีวิตได้อย่างต่อเนื่องก่อน และให้มีการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป และสนับสนุนให้สามารถรักษาระดับการจ้างงานไว้ได้ในระดับที่จะไม่กลายเป็นปัญหาทางสังคม

ไม่กระทบเสถียรภาพการคลัง

“ผมและ ครม.ได้รับฟังข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ จากตัวแทนส่วนต่าง ๆ เห็นว่ารัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำงบฯรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบฯ 2552 เพื่อให้เม็ดเงินของรัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว แต่การดำเนินการดังกล่าวรัฐบาลยังคงยึดมั่นและให้ความสำคัญกับกรอบความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายกฯกล่าวต่อว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เน้นแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มากที่สุด โดยมีเงินที่พึงได้ตามงบฯรายจ่ายเพิ่มเติม คือ เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบฯจำนวน 97,560,523,700 บาท ภาษีและรายได้อื่นจำนวน 19,139,476,300 บาท สาระสำคัญ คือ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ จำนวน 37,464,449,700 บาท การเสริมสร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตความมั่นคงด้านสังคม 56,005,626,000 บาท การบริหารรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 4,090,448,000 บาท และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 19,139,476,300 บาท

ยึดซื่อสัตย์ -โปร่งใส

“มาตรการครั้งนี้มุ่งเน้นที่จะเพิ่มอำนาจซื้อให้เกิดการใช้จ่ายต่อเนื่องในระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นอุปสงค์รวมภายในประเทศ รัฐบาลเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย จะเป็นปัจจัยให้การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจผ่านไปด้วยดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ให้การสนับสนุนและรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพื่อรัฐบาลจะได้ยึดถือเป็นหลักการจ่ายเงินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ซื่อสัตย์ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุด” นายกฯกล่าว

ซัดลอกการบ้านรัฐบาล“แม้ว”

จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้าน ได้อภิปรายเป็นคนแรกว่า ที่บอกว่าเป็นการตั้งงบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไม่ใช่ เพราะไม่ได้กระจายไปในทุกภาค แต่กระจุกเงินอยู่เฉพาะในที่ที่พรรคแกนนำรัฐบาลเท่านั้น เท่าที่ดูพอจะเป็นงบฯกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 5 โครงการเท่านั้นคือ 1.งบฯในการจัดสร้างแหล่งน้ำแห่งใหม่ 2.งบฯปรับปรุงแหล่งน้ำ 3.งบฯก่อสร้างทางในหมู่บ้าน 4.งบฯสร้างแฟลตที่พักอาศัยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 5.งบฯปรับปรุงสถานีอนามัย ซึ่งทั้งหมดได้รับเพียง 7 พันล้านบาทเท่านั้น ถือว่าจัดทำงบฯเพิ่มเติมแบบเสียของ มากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์จริง

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวต่อว่า ตอนเป็นฝ่ายค้านก็กระแหนะกระแหนพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน แต่วันนี้ก็มาลอกการบ้านเขาหมด ไม่รู้ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจตรงไหน แต่ตั้งตาม นโยบายหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่งบฯกระทรวงการต่างประเทศได้ถึง 325 ล้านบาทนั้น เชื่อว่าไม่พอสำหรับวีรกรรมที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ทำไว้

สวดรื้อฟื้นคดี ไม่จำเป็น

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ส่วนงบฯของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ตั้งไว้ 1.8 พันล้านบาท ตนเห็นด้วย แต่ที่ท่านกับเลขาฯพรรคของท่านไปปิดห้องคุยกับลูกน้องของ ผบ.ตร. ถึงจะทำได้แต่ไม่เหมาะสม การสั่งให้รื้อฟื้นคดีหลายคดีนั้น ไม่จำเป็น เพราะอายุความมีอยู่แล้ว นอกจากนี้ขอยืนยันว่ามีการแจ้งความในข้อหาผู้ก่อการร้ายสากล ต่อนายกษิตต่อทาง สภ.ราชาเทวะ จ.สมุทรปรา การ ไว้แล้ว แต่ที่นายกฯเคยตอบกระทู้ถามว่า ไม่มีการแจ้งความ ไม่มีชื่อนายกษิต ท่านพูดไม่จริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ ร.ต.อ. เฉลิม อภิปรายจบ นายอภิสิทธิ์ได้ลุกขึ้นชี้แจงทันทีกรณีนายกษิตว่า การแจ้งความเพิ่งมีการแจ้งความในวันที่ 26 ม.ค. ส่วนการเรียกตำรวจมาพบเพื่อให้รื้อฟื้นคดีสำคัญนั้น เป็นเพียงการให้รายงานปัญหาอุปสรรคในคดี ตนไม่เคยใช้คำว่ารื้อฟื้นคดี แต่ใช้คำว่าเร่งรัดให้คดีเดินหน้าได้

จวกนายกฯโกหกกลางสภา

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า จากนั้น ร.ต.อ. เฉลิมได้ลุกขึ้นกล่าวอีกครั้งว่า ไม่คิดว่านายกรัฐมนตรีจะโกหกสภา และโกหกคนทั้งประเทศ เพราะมีหลักฐานการแจ้งความต่อ สภ.ราชาเทวะ ในวันที่ 23 ธ.ค. 51 ต่อนายกษิต ในข้อหาผู้ก่อการร้ายสากล เนื่องจากร่วมกับพันธมิตรฯปิดสนามบิน ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้งว่า การร้องทุกข์กล่าวโทษนายกษิต ยืนยันว่าในการแจ้งความเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. เป็นการแจ้งความในเรื่องที่นายกษิตไปพูดที่จุฬาฯและในคำแจ้งความมีการโยงถึงเรื่องการปิดสนามบินด้วย

แฉตำราเรียนแพงเว่อร์

จากนั้นนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ตนจะพูดถึงกลิ่นเหม็นของปลากระป๋องที่ลามไปถึงเสื้อผ้านักเรียน และหนังสือเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ใช้งบฯกว่าหมื่นล้านบาท แต่ปรากฏว่าหนังสือทุกเล่มมีราคาแพงกว่าเอกชนถึง 1 เท่าเกือบทั้งหมด เรื่องนี้รัฐมนตรียังไม่ได้ทุจริตแต่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“การบริหารของรัฐมนตรีชุดนี้น่าเป็นห่วง เพราะรัฐมนตรีหลายคนมีประวัติไม่ดี อยากให้เปลี่ยนแปลงจากการที่เคยซื้อชุดและหนังสือให้นักเรียน มาเป็นโอนเงินเข้าบัญชีผู้ปกครองเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อรักษากลไกการตลาด เพราะหากมีขาดเหลือก็ยังตกอยู่ที่ประชาชน แต่หากโรงเรียนหรือกระทรวงจะซื้อให้รับรองเจ๊ง”นายสุนัยกล่าว

“อู๊ดด้า”ขอหลักฐานไปตรวจสอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่นายสุนัยอภิปรายเสร็จ นายจุรินทร์ได้ลุกขึ้นขอเอกสารหลักฐานที่นายสุนัยได้อภิปรายทั้งหมดเพื่อนำไปตรวจสอบ และจะชี้แจงอีกครั้งภายหลัง แต่นายสุนัยได้กล่าวสวนกลับว่า ข้าราชการที่ดี ที่เป็นสายของตนมีมาก และหากรัฐมนตรีเอาเอกสารไปก็จะรู้รหัสว่าใครเป็นคนนำข้อมูลมาให้ตน และอาจสั่งย้ายหมด ถ้าหากนายจุรินทร์อยากได้จริงก็ควรให้เจ้าหน้าที่ตามไปจดเลขรหัสภายหลังจากที่ตนแถลงเรื่องนี้กับสื่อมวลชน

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า บรรยากาศในห้องประชุมเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ กล่าวว่า รัฐบาลชวน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเสียหาย ทำให้นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ต่างลุกขึ้นตอบโต้ว่า รัฐบาลที่ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย คือ รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทำให้นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นคนสนิทของพล.อ.ชวลิต ลุกขึ้นประท้วง ขอให้นายนิพิฏฐ์ ถอนคำพูดว่า พล.อ.ชวลิตทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ซึ่งนายนิพิฏฐ์ยอมถอนคำพูดเพราะเมื่อพูดแล้วทำให้เสียหายก็ยอมถอน ในขณะที่นายสุรพงษ์ไม่ยอมถอนคำพูด และเดินออกจากห้องประชุมแทน

ไม้เดิมเสนอนับองค์ประชุม

หลังเหตุการณ์สงบนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ได้ลุกขึ้นชี้แจงโดยมีสมาชิกนั่งฟังในห้องประชุมอย่างบางตา ปรากฏว่านาย สมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นเสนอนับองค์ประชุมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์พากันลุกขึ้นต่อว่า เป็นความพยายามขัดขวางการนำงบฯไปแก้ปัญหาให้ประชาชน ทำให้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ แก้เกมด้วยการเสนอให้นับองค์ประชุมแบบขานชื่อ เพื่อยื้อเวลารอ ส.ส.เข้าห้องประชุม แต่นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาในฐานะประธานในที่ประชุมได้สั่งพักการประชุม 10 นาที เพื่อให้วิปรัฐบาลและฝ่ายค้านไปตกลงกันเพื่อให้การประชุมเป็นไปด้วยความราบรื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า หลังพักการ ประชุมไป 10 นาที นพ.วรงค์ได้ยอมถอนการเสนอนับองค์ประชุมแบบขานชื่อ นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภา จึงได้สั่งให้นับองค์ประชุมแบบเสียบบัตรแสดงตน ปรากฏว่ามีผู้อยู่ในห้องประชุมจำนวน 257 คน ถือว่าครบองค์ประชุมจึงดำเนินต่อไป.