วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

คิดถึงจอมพลสฤษดิ์และ อาจารย์สัญญา

ที่มา เดลินิวส์

สถานการณ์ บ้านเมืองที่ดูสับสนวุ่นวายเท่าที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ ทำให้ผมย้อนไปคิดถึงเมืองไทยในอดีต นึกถึง ผู้บริหารบ้านเมืองระดับผู้นำของเมืองไทยในด้านต่าง ๆตั้งแต่ผมจำความได้ มีทั้งผู้ที่วายชนม์ไปแล้วและผู้ที่ยังมีชีวิต อยู่ ผู้นำที่วายชนม์ไปแล้วซึ่งมีผลงาน และวัตรปฏิบัติที่ประทับใจผมมี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คุณชายคึกฤทธิ์ ปรา โมช อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ และ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อประเทศชาติ และมีส่วนสำคัญในการพาประเทศไทยให้พ้นวิกฤติในเรื่องต่าง ๆ และเจริญก้าวหน้ามาจนเป็นหนึ่งในประเทศแถวหน้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปี 2551 เป็นปีที่ประเทศไทยต้องรับเคราะห์มากมาย เคราะห์ ที่เกิดจากการกระ ทำของคนไทยเองและเคราะห์ที่เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจของโลก ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องเล่าซ้ำ อีก ในที่นี้เพียงแต่จะบอกว่าเหตุ การณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมคิดถึง ปูชนียบุคคล ทั้ง 4 ท่าน คุณชายคึกฤทธิ์ นั้นเป็น ปราชญ์ในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งมีบารมี ทางการเมืองสูงและนักการเมืองเคารพนับถือทั่วกันมาก หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงจะหาทางออกทางการเมืองที่จะปรองดองกันได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ อาจารย์ป๋วย นั้นเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจ

ที่ผู้คนในสายเศรษฐกิจเชื่อฟังและศรัทธามาก หากท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านคงจะทำให้นักเศรษฐศาสตร์ในเมืองไทยรวมตัวช่วยกันรับมือวิกฤติจากภายนอกได้เป็นอย่างดีและทำให้ประชาชนอุ่นใจได้ และที่ผมคิดถึงเป็นพิเศษอันเนื่องจากความขัดแย้งและความวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นเกือบตลอดปีที่แล้วและยังคงเป็นไปอยู่ในขณะนี้ก็คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์

ผมจำได้ว่าเมื่อตอนที่ผมยังเรียนอยู่ในโรงเรียน มีไฟไหม้บ่อยครั้งและมีอาชญากรรมจากอันธพาลและ แก๊งรีดไถกลางเมือง ซึ่งเป็นอันตรายต่อ ชีวิตและทรัพย์ของผู้คนอยู่มากมายในกรุงเทพฯ จอมพลสฤษดิ์ใช้ความเด็ดขาดหยุดเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนานี้ได้ หมดในเวลาอันสั้นและนำความสงบสุข มาสู่ชีวิตคนกรุงเทพฯ อย่างน่าเคารพ ท่านอาจจะดำเนินการบางอย่างที่เกินเลยไปและกระทบบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเอียงซ้ายไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วท่านนำความสงบสุขมาให้คนไทยมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขและ ทำมาค้าขายกันได้อย่างที่ไม่ต้องกลัวอิทธิพลของผู้ที่คิดร้าย นักลงทุนต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนกันมากในสมัยนั้น ถ้าผู้รักษากฎหมายและผู้นำหน่วยงานด้านความมั่นคงภายในในปัจจุบันมีความมุ่งมั่นที่จะดูแลให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และใช้ความเด็ดขาดในกรอบของกฎหมายโดยไม่รอช้า ดั่งเช่นที่จอมพลสฤษดิ์ทำไว้ เหตุการณ์วุ่นวายหลายอย่างคงไม่บานปลายออกไปมากดังที่เป็นมา ผมเข้าใจดีว่าสถานการณ์ที่ผ่านมามีปัจจัยแทรกซ้อนหลายอย่างที่ทำให้ผู้รักษากฎหมายและผู้ดูแลความมั่นคงภายในดำเนินการรักษาความสงบได้

ไม่เต็มที่ แต่ถ้าท่านผู้มีหน้าที่ดังกล่าวตั้งสติพิจารณาให้ดี จะเห็นว่าการทำหน้าที่อย่างถูกต้องเพื่อความสงบสุขของประชาชนโดยรวมและเพื่อผลประโยชน์ของชาติที่แท้จริง แม้จะไม่ถูกใจใครบางคนในขณะนั้น เป็นสิ่ง

ที่ต้องทำ ซึ่งเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปบ้านเมือง สงบสุข ประชาชนอยู่อย่างปกติสุข ความไม่พอใจก็จะเปลี่ยนเป็นคำชมในที่สุด บางคนอาจอ้างว่ากฎหมายปัจจุบันไม่ได้ให้อำนาจในการรักษากฎหมายเท่าสมัยจอมพลสฤษดิ์ ผมคิดว่าเป็นการอ้างเพื่อจะเลี่ยงความรับผิดชอบตามหน้าที่ เพราะกฎหมายปัจจุบันให้อำนาจผู้รักษากฎหมายไม่น้อยไปกว่ากฎหมายของประเทศอื่นซึ่งสามารถป้องกันและสลายเหตุการณ์ทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ภายในกรอบของกฎหมาย ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่ที่ใจและความแน่วแน่ที่จะรักษากฎหมายเพื่อความสงบสุขของปวงชนโดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเขาเหล่านั้นโดยแท้

สำหรับ อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์นั้นท่านเป็นปูชนียบุคคลของนักกฎหมายทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในวงการศาล ผมยังจำได้ถึงวันที่ท่านตัดสินคดีนายทหารใหญ่ที่เป็นรัฐมนตรีดูแลงานด้านป่าไม้ในช่วงที่ทหารมีอำนาจมากในบ้านเมือง อาจารย์สัญญาทำ หน้าที่ตัดสินคดีด้วยความกล้าหาญ ยึดถือหลักฐานข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่าจริง และ ยึดถือความยุติธรรมเป็นที่ตั้งโดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ผลการตัดสินคดีครั้งนั้นทำให้ประชาชนมีกำลังใจ มีความเชื่อมั่นว่าประเทศ นี้ยังมีศาลเป็นที่พึ่งในการรักษาความยุติธรรม ขวัญและกำลังใจของประชาชนดีขึ้นทันที วงการศาลในขณะนั้นมีหลักยึดที่มั่นคง ผลการตัดสินคดีในสมัยนั้นเป็นที่เชื่อถือของ ทุกคน ไม่มีใครตั้งคำถาม ไม่มีใครนำไปติฉินนินทา

ผลการตัดสินคดีในปัจจุบันส่วนใหญ่ ยังเป็นที่เชื่อถือศรัทธา แต่ผลการตัดสินคดีบางคดีมีคนตั้งข้อกังขา คนในวงการยุติธรรมเองก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ คนต่างชาติซึ่งถือว่าเรื่องความยุติธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ปัญหาการเมืองควรจะต้องแก้ไขโดยวิธีการทางการเมือง การเจรจาหาข้อยุติ และการประนีประนอมระหว่างสองฝ่าย ไม่ควรที่จะใช้หลักความเป็นธรรม ซึ่งเป็นหลักสำคัญ ที่สุดของบ้านเมืองเข้าแลก เพราะเป็นหลัก ที่จะทำให้ประชาชนอุ่นใจ ประเทศยืนอยู่ ได้อย่างมั่นคง และเป็นที่เชื่อถือของนานาประเทศทั่วโลกตลอดไป ผมเชื่อว่า ถ้าทุกคนยึดวัตรปฏิบัติของอาจารย์สัญญาเป็นตัวอย่าง ตั้งใจมั่นที่จะรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ให้มั่นคงไว้โดยไม่อ่อนไหวไปตามกระแส การเมือง ในที่สุดความเชื่อถือศรัทธาในวงการยุติธรรมของเราก็จะมั่นคง

จอมพลสฤษดิ์ และอาจารย์สัญญามีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือทั้งสองท่าน ทำงานรับใช้ใกล้ชิดสถาบันพระมหากษัตริย์ และจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นที่สุด ทั้งสองท่านแสดงความจงรักภักดีด้วยการกระทำไม่ใช่ด้วยคำพูด ปกป้องรักษาสถาบันฯ อยู่ตลอดเวลาโดยไม่ได้พร่ำพูดว่าทำเพื่อ

ปกป้องรักษาสถาบันฯ ไม่เคยอ้างว่าใกล้ชิดกับสถาบันฯทั้งที่รับใช้ใกล้ชิด และทั้งสองท่านไม่เคยดึงสถาบันฯมาปกป้องตนเองเลย เป็นความจงรักภักดีที่บริสุทธิ์โดยแท้ ในขณะนั้นจอมพลสฤษดิ์มีอำนาจและบารมี อย่างมาก แต่ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียว

ที่จอมพลสฤษดิ์จะทำตัวเสมอเจ้านาย ท่านบริหารประเทศด้วยความเด็ดขาดแต่ท่านยกสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือท่านเสมอ เช่นเดียวกับอาจารย์สัญญา ที่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด

ผมมีความเห็นว่า คนที่อ้างว่าทำเพื่อปกป้องสถาบันฯและทำในสิ่งที่มีผลเสียต่อประเทศชาติอย่างโจ่งแจ้ง น่าจะเป็นคนที่มีเจตนาแอบแฝงที่จะทำให้สถาบันฯเสื่อมเสียมากกว่าปกป้องสถาบันฯ และคนที่พยายามโยงใยตัวเองเข้ากับสถาบันฯโดยทำในสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน คือคนที่พยายาม ดึงสถาบันฯมาปกป้องการกระทำที่ชั่วร้าย ของตนเอง ซึ่งทำให้สถาบันฯเสื่อมเสียโดยปริยาย ผมจึงอยากขอร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้โปรดพิจารณาในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ คนเรานั้นเข้าใจผิดครั้งแรกได้แต่ไม่ควรเข้าใจผิดซ้ำสอง โดยเฉพาะในเรื่องที่จะเป็นการซ้ำเติมให้สถาบันฯเสื่อมเสียอีกอย่างไม่รู้ตัว ถ้าทุกคนรักสถาบันฯจริงขอให้ใช้วิจารณญาณดูให้ดี สำหรับคนที่มีความสำเร็จสูง และลืมตัวจนแสดงออกในลักษณะที่ไม่เคารพยำเกรงสถาบันพระมหากษัตริย์เลยนั้น คนไทยทั่วไปไม่ยอมอยู่แล้ว

ในโอกาสปีใหม่นี้ผมใคร่ขอร้องให้ทุกคนทบทวนตนเอง เลือกจงรักภักดีให้ถูกทาง ไม่ร่วมแนวทางที่จะทำให้สถาบันฯเสื่อมเสียอีกต่อไป และทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระเจ้าอยู่หัวคือเจ้าเหนือหัวที่มีแต่ให้แก่เราทุกคน ไม่เคยคิดร้ายต่อคนภายใต้พระบรมโพธิสมภารแม้แต่คนเดียว เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้วก็จะเลิกการแสดงออกที่ไม่เคารพยำเกรง ซึ่งจะช่วยให้ความสามัคคีในชาติกลับมาโดยเร็ว และประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่น่าอยู่อีกครั้งหนึ่ง.

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล