วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เผด็จการครองอำนาจแต่ประชาธิปไตยครองประเทศ

ที่มา thaifreenews

บทความ โดย ปูนนก

การปฏิวัติ, การรัฐประหาร, การกบฏ ที่จริงคำ 3 คำนี้ก็มาจากพฤติกรรมเดียวกัน เพียงแต่ผลแห่งการกระทำต่างกันเท่านั้น ในประเทศไทยนับตั้งแต่ รศ. 130 (พ.ศ. 2455) เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการปฏิวัติ (เปลี่ยนแปลงการปกครอง) มาแล้ว 1 ครั้ง, รัฐประหาร 12 ครั้ง และกบฏ 8 ครั้ง และทุก ๆ ครั้งก็ไม่มีครั้งไหนที่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลยแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนมากก็เพื่อการเปลี่ยนผู้มีอำนาจขึ้นมาปกครองประเทศเท่านั้น

การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน ในครั้งนี้เป็นการรัฐประหารครั้งที่ 12 ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยซึ่งรูปแบบก็หาได้แตกต่างจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตไม่ แต่เนื้อหาแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงรัฐประหารครั้งนี้เป็นรัฐประหารที่กระทำต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั่วทั้งประเทศ ในขณะที่บ้านเมืองกำลังพัฒนาและเจริญรุดหน้าไปอย่างเต็มที่เทียบเคียงกับ นานาอารยะประเทศ แต่ก็กลับมาสะดุดหยุดลงเพราะรัฐประหารครั้งนี้ ด้วยข้ออ้างที่ไม่ต่างจากเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็คือ การคอรัปชั่น นักการเมืองโกง ไม่จงรักภักดี จะจริงเท็จอย่างไร ก็ต้องว่ากันไป แต่ที่แน่ ๆ อำนาจได้ถูกเปลี่ยนไปจากประชาชนไปสู่ผู้ถืออาวุธ และเผด็จการที่ครองเมืองอีกครั้ง

เวลานี้กระแสการเรียกร้องประชาธิปไตยได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งประเทศ ประชาชนที่เคยเข้าใจว่าประเทศไทยมีการปกครองแบบ ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ นั้น ต่างก็ ตาสว่าง และเข้าใจกันอย่างชัดเจนแล้วว่า ที่ว่าประชาธิปไตยแบบไทย ๆ นั้น อันที่จริงแล้วก็คือ เผด็จการ นั่นเอง แต่เพียงเป็นเผด็จการซ่อนรูป และแนบเนียนกว่าเผด็จการในประเทศเผด็จการอื่น ๆ เท่านั้นเอง พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่เคยเป็นความหวังของประชาชนในการต่อสู้กับเผด็จการทหาร จนถึงขนาดได้รับขนานนามว่า พรรคเทพ มาแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อสีเหลืองทองที่ทาทับเอาไว้เริ่มลอกออกมา ประชาชนที่เคยหลงใหลบูชากันมาตลอดหลายสิบปีก็เริ่มมองเห็นว่า อันที่จริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นเพียงแค่ กิ่งก้านอันหนึ่งที่ต้นไม้เผด็จการได้แพร่ขยายความเลวร้ายเอาไว้ในประเทศนี้เท่านั้นเอง....เวลานี้ประชาชนทั้งประเทศแม้แต่ในพื้่ีนที่ภาคใต้ที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคต่างก็มองเห็นและเข้าใจถึงพฤติกรรมอันเลวร้ายของพรรคนี้อย่างชัดแจ้ง สังเกตได้จากประชาชนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยได้เริ่มเปิดตัวมากขึ้นในพื้นที่ภาคใต้อย่างมากมาย

หลายสิบปีก่อนพี่น้องผู้เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมจำนวนมากทางภาคเหนือและภาคอิสานต้องเข้าป่าทำการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการด้วยการใช้อาวุธ คนเหล่านี้ถูกรัฐบาลเรียกว่า ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ส่วนทางภาคใต้ก็มีแนวร่วมอีกส่วนหนึ่งที่ถูกเรียกว่า โจรจีนคอมมิวนิสต์ (จคม.) เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ต่อสู้นั้นศรัทธาในระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่ด้วยความต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมทำให้พวกเขา (ซึ่งก็คือคนไทยธรรมดา ๆ นี่เอง) จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มีสิทธิเสรีภาพทางสังคมในประเทศนี้บ้าง

คอมมิวนิสต์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้างสมองประชาชนให้เกิดความหวาดกลัวโดยไม่มีเหตุผล ด้วยความเชื่ออย่างขาดสติและประกอบกับการสื่อสารที่ไม่ครอบคลุมทั่วถึง ทำให้ประชาชนไทยจำนวนมากต้องล้มตายเพียงเชื่อว่า คอมมิวนิสต์เลว ภาพการล้อมปราบนักศึกษาในวันที่ 6 ตุึลาคม 2519 ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ หรือ ร่วมสมัยนั้นอย่างมิอาจจะลืมเลือนไปได้ และนั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นแล้วว่า อำนาจเผด็จการนั้นชั่วร้ายเพียงใด

การล้อมปราบประชาขนมือเปล่าในวันที่ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เหล่านี้เป็นภาพที่ปรากฏชัดถึงรูปแบบการปกครองที่เผด็จการอ้างว่ากระทำเพื่อประชาขน อย่างไรก็ดีเวลานี้ด้วยการสื่อสารที่รวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น ประชาชนเริ่มเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการมากขึ้น ปรากฎการณ์ชาวเสื้อแดงผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นและแพร่ขยายอยู่ทั่วทุกหัวระแแหงของประเทศนี้ เป็นสัญญาณเตือนที่แจ่มชัดว่าประเทศไทยคงไม่อาจจะหลีกพ้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ได้

ปรากฏการณ์ใหญ่ก็คือการเกิดขึ้นกว้างขวางของประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ขณะเดียวกันเผด็จการก็พยายามอย่างเต็มกำลังในการยึดครองอำนาจของตนเองเอาไว้ โดยการปิดกั้นและให้การควบคุมทุกอย่าง เวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านการปกครองให้มาสู่ประชาชนได้มาถึงแล้ว ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งได้ ยิ่งมีอำนาจมาพยายามปิดกั้นก็ยิ่งเกิดแรงต้าน....น้ำชนิดเดียวกันจะไหลไปรวมกัน...คนประเภทเดียวกันมักจะอยู่รวมกัน.....คนเสื้อแดง ทุกคนต่างก็มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันก็คือ การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอันแท้จริงในประเทศนี้ ความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นกํบกลุ่มคนเสื้อแดงหลาย ๆ กลุ่มเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามรูปแบบที่เกิดจากการรวมตัวโดยไม่มีการจัดตั้ง....และวานนี้คุึณขวัญชัย ไพรพนา นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคนสำคัญของชาวอุดรได้ประกาศทั้งน้ำตาว่า จะนำพลพรรคชาวเสื้อแดงไม่ต่ำกว่า 2,000 คนมาร่วมในการชุมนุมครั้งสำคัญที่สนามหลวงวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้

ในยามยากนี้พวกเราชาวเสื้อแดงจำต้องหันหน้าเข้าหากัน เป็นไปไม่ได้ที่ทุึก ๆ คนจะคิดเหมือนกัน แต่เป็นความจริงที่ว่า เราทุกคนสู้เพื่อให้ได้มาในสิ่งเดียวกัน นี่คือจุดร่วมที่เราชาวเสื้อแดงทุกคนต้องยึดเอาไว้ให้มั่น พวกเราไม่มีใครอีกแล้วที่จะอยู่ฝ่ายเรา ไม่มีใครที่จะเห็นใจเรา นอกจากพวกเรากันเองเท่านั้น....พวกเราชาวเสื้อแดงทุกคนต่างก็เหมือนกับอวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกายเดียวกัน อวัยวะแต่ละส่วนล้วนแล้วแต่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และทุก ๆ อวัยวะต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แม้อวัยวะบางส่วนจะดูเล็กน้่อยแต่ก็มีความสำคัญยิ่งสำหรับชีวิต พวกเราคนเสื้อแดงก็ดุจเดียวกัน

ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะมองข้่ามความขัดแย้งทั้งมวล..... ยอมที่จะวางทิฐิมานะของตนเองลง.... วางความทะยานอยากของตัวเองเอาไว้.... ยอมงอไม่ยอมหัก.... กล้ำกลืนความไม่พอใจ... แล้วร่วมจับมือกัน...เดินเคียงไปด้วยกัน... เพราะยังมีความยากลำบากอีกมากมายนักที่จะต้องฟันฝ่าไปด้วยกัน ไม่มีใครที่จะรักและเห็นใจคนเสื้อแดงมากไปกว่าคนเสื้อแดงด้วยกัน....

เพราะถ้าเมื่อใดพวกเราแตกแยกกัน โดยคิดว่า ข้าแน่...ข้าเก่ง...ข้าอยู่เองได้ เมื่อนั้นเราจะตกลงไปสู่การทำลายของเผด็จการอย่างไม่สามารถกู้คืนได้อย่างแน่นอน..... เวลานี้เผด็จการกำลังครองอำนาจอยู่ในประเทศไทย แต่อย่าให้เผด็จการเอาประชาธิปไตยไปจากใจประชาชนได้อีกเลย......

ปูนนก