บทความ โดย ปูนนก
การปฏิวัติ, การรัฐประหาร, การกบฏ ที่จริงคำ 3 คำนี้ก็มาจากพฤติกรรมเดียวกัน เพียงแต่ผลแห่งการกระทำต่างกันเท่านั้น  ในประเทศไทยนับตั้งแต่  รศ. 130  (พ.ศ. 2455)  เป็นต้นมา  ประเทศไทยมีการปฏิวัติ (เปลี่ยนแปลงการปกครอง)  มาแล้ว 1 ครั้ง,  รัฐประหาร 12 ครั้ง  และกบฏ  8  ครั้ง     และทุก ๆ  ครั้งก็ไม่มีครั้งไหนที่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลยแม้แต่ครั้งเดียว  ส่วนมากก็เพื่อการเปลี่ยนผู้มีอำนาจขึ้นมาปกครองประเทศเท่านั้น
การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน ในครั้งนี้เป็นการรัฐประหารครั้งที่ 12 ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยซึ่งรูปแบบก็หาได้แตกต่างจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตไม่    แต่เนื้อหาแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงรัฐประหารครั้งนี้เป็นรัฐประหารที่กระทำต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั่วทั้งประเทศ   ในขณะที่บ้านเมืองกำลังพัฒนาและเจริญรุดหน้าไปอย่างเต็มที่เทียบเคียงกับ นานาอารยะประเทศ   แต่ก็กลับมาสะดุดหยุดลงเพราะรัฐประหารครั้งนี้   ด้วยข้ออ้างที่ไม่ต่างจากเมื่อหลายสิบปีก่อน  ก็คือ  การคอรัปชั่น  นักการเมืองโกง  ไม่จงรักภักดี จะจริงเท็จอย่างไร ก็ต้องว่ากันไป  แต่ที่แน่ ๆ  อำนาจได้ถูกเปลี่ยนไปจากประชาชนไปสู่ผู้ถืออาวุธ และเผด็จการที่ครองเมืองอีกครั้ง 
เวลานี้กระแสการเรียกร้องประชาธิปไตยได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งประเทศ  ประชาชนที่เคยเข้าใจว่าประเทศไทยมีการปกครองแบบ  “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ”  นั้น   ต่างก็  “ตาสว่าง”  และเข้าใจกันอย่างชัดเจนแล้วว่า   ที่ว่าประชาธิปไตยแบบไทย ๆ นั้น  อันที่จริงแล้วก็คือ  “เผด็จการ”  นั่นเอง   แต่เพียงเป็นเผด็จการซ่อนรูป  และแนบเนียนกว่าเผด็จการในประเทศเผด็จการอื่น ๆ เท่านั้นเอง  พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่เคยเป็นความหวังของประชาชนในการต่อสู้กับเผด็จการทหาร  จนถึงขนาดได้รับขนานนามว่า  “พรรคเทพ”  มาแล้ว   แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อสีเหลืองทองที่ทาทับเอาไว้เริ่มลอกออกมา   ประชาชนที่เคยหลงใหลบูชากันมาตลอดหลายสิบปีก็เริ่มมองเห็นว่า  อันที่จริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นเพียงแค่  กิ่งก้านอันหนึ่งที่ต้นไม้เผด็จการได้แพร่ขยายความเลวร้ายเอาไว้ในประเทศนี้เท่านั้นเอง....เวลานี้ประชาชนทั้งประเทศแม้แต่ในพื้่ีนที่ภาคใต้ที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคต่างก็มองเห็นและเข้าใจถึงพฤติกรรมอันเลวร้ายของพรรคนี้อย่างชัดแจ้ง   สังเกตได้จากประชาชนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยได้เริ่มเปิดตัวมากขึ้นในพื้นที่ภาคใต้อย่างมากมาย
หลายสิบปีก่อนพี่น้องผู้เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมจำนวนมากทางภาคเหนือและภาคอิสานต้องเข้าป่าทำการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการด้วยการใช้อาวุธ  คนเหล่านี้ถูกรัฐบาลเรียกว่า  “ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.)”  ส่วนทางภาคใต้ก็มีแนวร่วมอีกส่วนหนึ่งที่ถูกเรียกว่า   “โจรจีนคอมมิวนิสต์  (จคม.)”  เช่นเดียวกัน   แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ต่อสู้นั้นศรัทธาในระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์  แต่ด้วยความต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมทำให้พวกเขา  (ซึ่งก็คือคนไทยธรรมดา ๆ นี่เอง)  จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มีสิทธิเสรีภาพทางสังคมในประเทศนี้บ้าง
คอมมิวนิสต์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้างสมองประชาชนให้เกิดความหวาดกลัวโดยไม่มีเหตุผล  ด้วยความเชื่ออย่างขาดสติและประกอบกับการสื่อสารที่ไม่ครอบคลุมทั่วถึง  ทำให้ประชาชนไทยจำนวนมากต้องล้มตายเพียงเชื่อว่า   “คอมมิวนิสต์เลว”   ภาพการล้อมปราบนักศึกษาในวันที่ 6 ตุึลาคม  2519  ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ หรือ ร่วมสมัยนั้นอย่างมิอาจจะลืมเลือนไปได้   และนั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นแล้วว่า  “อำนาจเผด็จการนั้นชั่วร้ายเพียงใด”   
การล้อมปราบประชาขนมือเปล่าในวันที่  14 ตุลาคม 2516,  6 ตุลาคม 2519  และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ   เหล่านี้เป็นภาพที่ปรากฏชัดถึงรูปแบบการปกครองที่เผด็จการอ้างว่ากระทำเพื่อประชาขน  อย่างไรก็ดีเวลานี้ด้วยการสื่อสารที่รวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น  ประชาชนเริ่มเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการมากขึ้น  ปรากฎการณ์ชาวเสื้อแดงผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นและแพร่ขยายอยู่ทั่วทุกหัวระแแหงของประเทศนี้   เป็นสัญญาณเตือนที่แจ่มชัดว่าประเทศไทยคงไม่อาจจะหลีกพ้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  ที่จะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ได้   
ปรากฏการณ์ใหญ่ก็คือการเกิดขึ้นกว้างขวางของประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย  ขณะเดียวกันเผด็จการก็พยายามอย่างเต็มกำลังในการยึดครองอำนาจของตนเองเอาไว้  โดยการปิดกั้นและให้การควบคุมทุกอย่าง  เวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านการปกครองให้มาสู่ประชาชนได้มาถึงแล้ว  ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งได้  ยิ่งมีอำนาจมาพยายามปิดกั้นก็ยิ่งเกิดแรงต้าน....น้ำชนิดเดียวกันจะไหลไปรวมกัน...คนประเภทเดียวกันมักจะอยู่รวมกัน.....”คนเสื้อแดง”  ทุกคนต่างก็มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันก็คือ  การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอันแท้จริงในประเทศนี้  ความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นกํบกลุ่มคนเสื้อแดงหลาย ๆ กลุ่มเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามรูปแบบที่เกิดจากการรวมตัวโดยไม่มีการจัดตั้ง....และวานนี้คุึณขวัญชัย  ไพรพนา  นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคนสำคัญของชาวอุดรได้ประกาศทั้งน้ำตาว่า  จะนำพลพรรคชาวเสื้อแดงไม่ต่ำกว่า 2,000  คนมาร่วมในการชุมนุมครั้งสำคัญที่สนามหลวงวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้   
ในยามยากนี้พวกเราชาวเสื้อแดงจำต้องหันหน้าเข้าหากัน   เป็นไปไม่ได้ที่ทุึก ๆ คนจะคิดเหมือนกัน  แต่เป็นความจริงที่ว่า  เราทุกคนสู้เพื่อให้ได้มาในสิ่งเดียวกัน  นี่คือจุดร่วมที่เราชาวเสื้อแดงทุกคนต้องยึดเอาไว้ให้มั่น  พวกเราไม่มีใครอีกแล้วที่จะอยู่ฝ่ายเรา   ไม่มีใครที่จะเห็นใจเรา  นอกจากพวกเรากันเองเท่านั้น....พวกเราชาวเสื้อแดงทุกคนต่างก็เหมือนกับอวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกายเดียวกัน  อวัยวะแต่ละส่วนล้วนแล้วแต่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และทุก ๆ อวัยวะต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  แม้อวัยวะบางส่วนจะดูเล็กน้่อยแต่ก็มีความสำคัญยิ่งสำหรับชีวิต   พวกเราคนเสื้อแดงก็ดุจเดียวกัน  
ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะมองข้่ามความขัดแย้งทั้งมวล.....  ยอมที่จะวางทิฐิมานะของตนเองลง....  วางความทะยานอยากของตัวเองเอาไว้....  ยอมงอไม่ยอมหัก.... กล้ำกลืนความไม่พอใจ...  แล้วร่วมจับมือกัน...เดินเคียงไปด้วยกัน...  เพราะยังมีความยากลำบากอีกมากมายนักที่จะต้องฟันฝ่าไปด้วยกัน  ไม่มีใครที่จะรักและเห็นใจคนเสื้อแดงมากไปกว่าคนเสื้อแดงด้วยกัน....
เพราะถ้าเมื่อใดพวกเราแตกแยกกัน  โดยคิดว่า “ข้าแน่...ข้าเก่ง...ข้าอยู่เองได้”  เมื่อนั้นเราจะตกลงไปสู่การทำลายของเผด็จการอย่างไม่สามารถกู้คืนได้อย่างแน่นอน..... เวลานี้เผด็จการกำลังครองอำนาจอยู่ในประเทศไทย  แต่อย่าให้เผด็จการเอาประชาธิปไตยไปจากใจประชาชนได้อีกเลย......
ปูนนก
 
