ที่มา 
ประชาไท                                       Archiculture Cross Section
                       อีกครั้งที่ประเด็นทางการเมืองกลับสะท้อนอย่างอื่นออกมาให้แจ้งคาตา   แล้วบอกว่ามันอาจไม่ใช่ปัญหาการเมืองในความหมายที่พวกผู้ใหญ่เชยๆมักกล่าว เตือนในความสกปรกของมัน จนเด็กดีๆอย่างเราควรไปสนใจทำอย่างอื่นเสียดีกว่า  ซึ่งข้าพเจ้าก็เชื่อฟังมาจนทุกวันนี้  ยิ่งนานวันก็ยิ่งพบว่าสิ่งนั้นมิได้ทั้งสกปรกหรือสะอาด  ชะรอยว่ามันอาจมิใช่ปัญหาหรือปริศนาทางการเมืองเสียทีเดียวอีกตะหาก
 ข้อเสนอของนิติราษฎร์มิใช่การประกาศข้อโต้แย้งทางการเมืองของความคิดฟาก ฝั่งใด(ในความหมายที่ว่ามันมีอยู่แค่ 2 ฟากในแบบปัจจุบัน)  แต่มันเป็นผลงานการออกแบบโดยนักกฏหมาย  ที่productของมันคือกฏเกณฑ์ข้อตกลงทางสังคม
 ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่า  เหตุหนึ่งที่มันเขย่าการถกเถียงได้อย่างอึกทึก  ก็อาจเพราะตัววิธีการคิดแบบใช้ creativity นำหน้าเข้าไปทลายกฏเกณฑ์  และบางอย่างที่คล้ายกระบวนการออกแบบนั้นเอง  ที่อาจเป็นสิ่งใหม่สำหรับระเบียบวิธีก่อร่างสร้างกฏของวงการกฏหมายแบบไทยๆ  ที่คงจะยังมีpatternตามจารีตบางอย่างกำหนดไว้
 กฏหมายอีกนัยหนึ่งก็คือจารีตที่แข็งตัว ว่ากฏก็คือกฏ  จะเปลี่ยนอะไรต้องอยู่ในกรอบของกฏเดิมที่ใหญ่กว่า, ศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่กว่า  นิติศาสตร์ดูเป็นอาชีพที่น่าเบื่อ ที่เข้าไปเรียนท่องกฏหมาย  และไม่เคยมีหนังไทยเรื่องไหนมีบทสนทนามันส์ๆบนฉากการโต้กันระหว่าง ทนาย-อัยการ-ศาลเท่าหนังอเมริกันอย่าง JFK หรือ A few good men เป็นต้น
 ผู้เขียนจะลองไล่ทีละประเด็นโดยเปรียบเทียบวิธีคิดที่แสดงออกมาในข้อเสนอ ของนิติราษฎร์ กับกระบวนการออกแบบ  เท่าที่สมองมนุษย์เคยคิดค้นวิธีการหรือจดบันทึกกันเอาไว้  โดยละเนื้อหาของข้อเสนอไว้ในฐานที่เข้าใจว่าได้อ่านและฟังกันมาแล้ว  (และเข้าใจเท่าที่ประชาชนเข้าใจ ไม่ใช่อย่างนักเทคนิคทางกฏหมาย)
 หนึ่ง เมื่อสิ่งใดๆเริ่มใช้การได้ไม่ดี ไม่สะดวก  ไปจนถึงเป็นอันตราย มนุษย์ก็จะเริ่มออกแบบสิ่งนั้นๆใหม่  ไม่ว่าจะโดยผู้ออกแบบผู้มีชื่อเสียงหรือนิรนามก็ตาม
 อันนี้ท่านคงพอเข้าใจได้เอง ว่าการใช้การได้ของกฏหมาย  หรือกระบวนการยุติธรรมไทยในช่วง 5ปีที่ผ่านมานั้น  ไม่ได้ผลิตอะไรเพิ่มให้แก่สังคมนอกจากจำนวนมาตรฐานและคดีหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ  นั่นหมายความว่ามันมีสิ่งผิดปกติที่สมควรเปลี่ยนแปลงหรือได้รับการออกแบบ เสียใหม่ นักออกแบบอาจมองเห็นอะไรแบบนี้ในระดับการโค้งงอของแปรงสีฟันในปาก    แต่เหล่าท่านอ.นิติราษฎร์เห็นขี้ฟันที่ตกค้างอยู่ในซอกหนึ่งหรือหลายซอกของ กฏหมายรัฐธรรมนูญ เนื่องเพราะรูปร่างของแปรงสีฟันและยาสีฟันที่ใช้  หรือแม้กระทั่งท่าทีและนิสัยของตัวผู้ใช้ เป็นต้น
 ข้อนี้มีทั้งผู้ที่ตระหนักว่ารัฐประหารนั้นเป็นขี้ฟัน  ส่วนบางท่านยังคิดว่ามันเป็นทองที่เลี่ยมฟัน(ปกปิดฟันผุ  ฟันหลอ)จึงมิควรต้องทำการออกแบบใดๆ เลยไม่อ่านผลงานออกแบบให้เข้าใจ  เขวี้ยงแบบทิ้งแล้วปากไวด่าเลย (เสียหมาปลาหมอไปหลายท่าน)
 สอง ในกระบวนการออกแบบ หลังการค้นพบในข้อที่หนึ่ง  สิ่งที่ทำต่อไปคือการสร้างทางเลือกหรือทำ alternative design  เพราะเราอยู่ในยุคสมัยที่รู้ว่าพระเจ้าหรือกษัตริย์จะไม่ส่งนิมิตหรือคำตอบ จากสวรรค์เพียงคำตอบเดียวมาสู่ศิลปินอีกต่อไปแล้ว  เราก็จะร่างsketchรูปแบบทางเลือก  แล้วทำการวิเคราะห์แจกแจงข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกจนมันเหลือน้อยที่สุด  จนประกอบร่างใหม่เป็นแบบที่ต้องการนำเสนอที่คิดว่าเข้าท่าที่สุด
 อาจกล่าวได้ว่าเราทุกคนเหมือนติดกับดักกันอยู่ในข้อที่หนึ่ง  เราพูดถึงภาวะไม่น่าสบาย แล้วก็มีเพียงคำ”ปรองดอง”เป็นคำศักดิ์สิทธิ์  ราวกับว่าสวดคำนี้ออกมาบ่อยๆแล้วมันจะบรรเทาทุกสิ่ง  ทำให้ขี้ฟันหายไปฟันไม่ผุโดยไม่ต้องทำการแปรงฟัน  ยิ่งสวดก็ยิ่งเหม็นขี้ฟัน...แล้วคนที่คิดออกว่าจะเริ่มทำอะไรก็อาจเป็นเพราะ เลิกหมกมุ่นวิเคราะห์กับคำนี้ แต่สำรวจจ้องมองเรื่อง  “รัฐประหาร”และสิ่งที่รายรอบมัน
 ข้อเสนอนิติราษฎร์เป็นเหมือนการทำ alternative design sketch  ที่ยังมิได้ทำการผลิตออกมาเป็นproduct  (และก็เสนอกระบวนการเพื่อที่จะผลิตมันออกมาในขั้นต่อไป)  เขาออกมาเสนอแนวความคิดหลักแต่สังคมคุณพ่อรู้ดีก็รีบตอบรับความแหลมคมทาง ความคิดด้วยการทิ่มมันกลับไปหาคนคิด  หรือวิธีการเก่าๆที่ว่าแค่เพียงความคิดก็เป็นภัยต่อความมั่นคง(ทาง ใจ)บางอย่างไปต่างๆนานาเสียแล้ว เช่น เสนอมาแล้วสังคมจะแตกแยก,  ทักษิณกำลังจะคืนชีพ, อ. ฉลาดๆอย่างอ.วรเจตน์จะได้เป็น  สสร.(มันน่ากลัวตรงไหน(ฟระ)?)
 สาม การพบว่าโจทย์ในการออกแบบนั่นแหละคือปัญหา  และกฏที่มีอยู่ต่างหากที่เป็นอุปสรรค  แล้วนำไปสู่แนวความคิดหลักในการออกแบบหรือข้อเสนอของเขา
 อาการ panicดังกล่าวยืนยันว่าเรามีปัญหาในข้อที่หนึ่ง  ซึ่งมันคือตัวโจทย์เองกำลังบอกเราว่า...เรามีปัญหาใหญ่หลวงให้แก้  แต่ห้ามคิดหรือทำอะไรใหม่ๆ(ที่ไปแตะ 1 2 3 4....)  มาร่วมแก้โจทย์กันเถิด?....  หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการตั้งโจทย์ลักษณะนี้ขึ้นมานี่แหละที่ทำให้การแก้ ปัญหานั้นๆเป็นไปไม่ได้  และนั่นก็หมายความว่าต้องทลายโจทย์แบบนี้ทิ้งเสียก่อน! ...
 นิติราษฎร์เลือกเสนอalternativeที่ทลายกฏเดิม(ที่เป็นกฏหมายจริงๆ! )  หรือที่จริงแล้วมันลวง เพราะมันคือกฏหมายที่อุปโลกน์ตัวเอง  ประกาศว่าตัวฉันเองคือกฏหมายจริงนะ   เสนอลบทิ้งกฏหมายลวง(ประกาศนิรโทษกรรมตัวเองคณะปฏิวัติ)  ที่ล็อคกฏหมายตัวที่ลวงต่อๆกันมาทิ้งเสียก่อน  (บนการมีฐานคิดที่ว่ารัฐประหารเป็นตัวปัญหา ไม่ใช่แก้ปัญหาเสียก่อน  แล้วไล่ตรรกะเชื่อมโยงกันมา)
 มันทลายกฏเดิมและขยายจินตนาการความเป็นไปได้ออกไปได้อย่างไร?...อ่านราย ละเอียดแถลงการณ์ ในประเด็นเช่น ความไม่เป็นรัฐาธิปัตย์ของรัฐประหารนั้น  หลายคนไม่อาจทลายความคิดนี้ด้วยเหตุที่รู้ว่าใครสนับสนุนรัฐประหาร  ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อว่าอำนาจประชาชนนั้นสูงสุด  (เหตุผลแบบนี้อาจเป็นคุณสมบัติแปลกๆ  แต่ดำรงอยู่จริงและมีความงามอย่างไทย!), ประเด็นที่ว่าโดย  logicของข้อเสนอนี้เองควรปรับใช้กลับไปเยียวยาผลกระทบของรัฐประหารที่ผ่านมา ทุกครั้ง เช่น กรณี6ตุลา  ที่คนผู้ยังไม่เคยได้รับการเยียวยาพูดกันอยู่เงียบๆอย่างสิ้นหวังมาตลอด35ปี  ว่าคดีหมดอายุความ และได้รับ(แผลเป็น)นิรโทษกรรมกันไปหมดแล้ว เป็นต้น)
 สี่ แกเป็นใครจึงมาเสนอแบบร่างในการออกแบบ? ต้องมีผู้ว่าจ้างแกมาแน่ๆ
 ผู้เขียนไม่มีความรู้ทางกฏหมายแต่จับใจความได้ว่า  วงการนิติศาสตร์ไทยไม่ต้อนรับ”การคิดค้น“  หรือข้อเสนอแก้ไขกฏหมายใดๆที่ไม่ได้มาตามลำดับขั้นตอน เช่น  ความคิดสร้างสรรค์ทางกม.นั้นอาจจะควรไหลมาจากทิศทางมาตรฐาน  เช่นองค์กรสมาคมทนายความที่มีอยู่, รัฐสภา,  คณะทำงานที่รัฐบาลตั้งให้ศึกษาชงเรื่อง, ฯลฯ   ซึ่งก็อาจไม่มีอะไรที่น่าสนใจไหลออกมาอย่างเป็นเรื่องปกติกันไปเสียแล้ว  นอกจากนี้ผู้เขียนก็ยังประหลาดใจที่ว่า ถ้าไม่ใช่นักวิชาการทาง นิติศาสตร์ที่น่าจะเป็นคนที่เสนอนวัตกรรมทางกฏหมายเสียแล้ว  มันควรจะเป็นใคร? เราไม่ควรถามว่าเขาไปรับเงินใคร  แต่ควรถามว่าสังคมแบบไหนกัน ปล่อยให้เขาต้องทำงานเหล่านี้กันโดยไม่ได้เงิน  แถมโดนป้ายสีว่าอาจมีคุณสมบัติตามสูตรผู้ร้ายทั้งมวลอีกตะหาก?
 เมื่อตอนไอน์สไตน์คิดทฤษฎีสัมพันธภาพก็ไม่มีใครจ้างแกซักหน่อย  อย่าลืมว่าคนแบบนี้ยังมีอยู่ในโลก  และอยู่กันอย่างเป็นปกติทั้งที่ดังและไม่ดังเท่าไอน์สไตน์  แต่มนุษย์อย่างกลุ่มนิติราษฎร์กลับกลายเป็นของแปลกของวงการกฏหมายไทยที่ เสือกเกิดมามีและใช้ความสามารถสร้างสรรค์ในทางกฏหมายโดยไม่มีคนจ้าง
 หรือมันอาจมีลำดับชั้นบางอย่างในวงการนี้  ที่ความสร้างสรรค์ของนิติราษฎร์กระโดดข้ามหัวสังคมorganic  หรือผิดสิ่งที่มักอ้างกันว่ามันคือ กาละเทศะ
 ห้า ข้อเสนอของนิติราษฎร์ยังเป็นsketch design ไม่ใช่  Product บังคับซื้อบังคับใช้แบบที่ประกาศคณะปฏิวัติทำไว้กับเรา  หรือสร้างจารีตการบังคับใช้productที่เรียกว่ากฏหมายเอาไว้กับเรา  มันไม่ใช่ของแจกฟรีโดยพวกเราไม่ต้องออกแรงใดๆอีกต่อไป  มันจะใช้การได้หรือไม่(หรือจะได้ถูกเอามาใช้ไหม)”ควร”ขึ้นอยู่กับการตัดสิน ใจของผู้ใช้  และแน่นอนที่ว่ากฏหมายนั้นเครียด  ละเอียดอ่อนและแหลมคมกว่าขนแปรงสีฟัน  ที่หากแค่สวยก็มีsupplierอยากซื้อแบบไปผลิตได้ทันที  productใดๆมักผ่านการทำแบบร่างทางเลือกเป็นร้อยพันครั้ง  ไม่นับว่าบางตัวผลิตออกมาเป็นseriesดัดแปลงไปตามผลตอบรับผู้ใช้  หรือบ้างก็งอกออกมาเป็นหลายversionในหนึ่งรุ่น  เช่น  แค่จะขายของอย่างชุดเก้าอี้พลาสติกของphillippe  starkเขายังคิดกันหัวแตกเป็นปีๆ   แต่สำหรับข้อเสนอขนาดเรื่องของกฏหมายรัฐธรรมนูญขนาดนี้ สังคมไทยห้าวเป้ง  จ้องล้มschemeกันได้ตั้งกะยังไม่เข้าใจแบบกันเลยทีเดียว
 นิติราษฏร์เสนอผ่านสาธารณะว่าให้นำข้อเสนอนี้ไปให้เหล่า  สสร.ในอนาคตใคร่ครวญ ผลักดันมันออกมาเป็นการทำประชามติซะ  ว่าประชาชนต้องการมีproductนี้ไว้ใช้ในครัวเรือนกันอย่างสามัญชนหรือไม่  คือเอาความคิดไปทดสอบกับผู้ใช้โดยตรง(ซึ่งคือประชาชนมิใช่ผู้รู้  ผู้อาวุโสมากบารมีใดๆ) คล้ายกับทำmarket test
 และในระหว่างกระบวนการแบบสาธารณะนี้  หากมันจะทำให้เกิดไอเดียเป็นalternativeใหม่ๆที่แตกออกมาจากคนอื่นๆก็ยิ่งจะ ดีเข้าไปใหญ่เสียด้วยซ้ำ นิติราษฎร์เขาเสนอทางเลือกและประเด็น  ไม่ได้ประกาศกฏหมายหรืออุปโลกน์ตัวเองเป็นผู้ประกาศกฏหมาย
 การรับ-ไม่รับข้อเสนอนี้ในอนาคตก็ไม่ใช่เพื่อการพิสูจน์ฟาดฟันเอาชนะทาง ความคิดของฟากไหนทั้งสิ้น เสียงส่วนใหญ่อาจไม่รับ  แล้วถึงแม้ถ้าคนคิดเขาจะเอาแบบกลับไปปรับใหม่  มาเสนอใหม่ก็น่าจะดำเนินกันต่อไปได้มิใช่หรือ?  ทำไมความคิดสร้างสรรค์จึงจะกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจไม่สมควร  หรือคู่ควรแก่การรับรู้ของสาธารณะล่ะหรือ?   มีแต่วิถีแบบนี้เท่านั้นจึงจะเป็นสังคมที่เราเรียกว่าเปิดกว้างและเป็น ประชาธิปไตยไปพร้อมๆกับมีความปรองดองแบบที่ท่านโหยหากันมิใช่หรือ?
 หก และแน่นอนวันใดที่มันเสื่อมประโยชน์ใช้สอย  สินค้าใหม่  หรือกฏกติกาที่ทันสมัยกว่าย่อมสมควรถูกผลิตมาเสนอทดแทนวนเวียนไปจนกว่าโลกจะ แตก ผู้เขียนจึงไม่เข้าใจจริงๆว่าข้อตอบโต้ที่ไม่เป็นวิชาการ  แต่แตกตื่นกับความคิดของนิติราษฎร์จะตกใจอะไรกันนักหนา  เช่น  ถ้าเราจะมีสสร.ที่เป็นนักนิติศาสตร์ที่ฉลาดๆกันเสียที  ก็เป็นเรื่องน่ายินดีเป็นโชคแก่ประเทศชาติเสียยิ่งกว่าการได้นายกคนก่อน  หรือได้สสร.เกรียนๆในชุดก่อนอย่างสมคิดเสียด้วยซ้ำ
 แน่นอนที่สุดว่าสังคมไม่ได้ต้องการแค่ความคิดสร้างสรรค์จากนิติศาสตร์ เหาะลงมาช่วยเราปรองดอง....แต่แค่ต้องการเงื่อนไขที่ยอมให้ความคิดสร้าง สรรค์ไม่ว่าจะของศาสตร์ไหนๆเกิด...มีชีวิต...และแก่ตายไปจนกว่าจะมีอันใหม่ มาเกิด
 ไม่ใช่สังคมที่ทำแท้งมันเสียตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิเป็นแบบร่าง