น่าสังเกตว่า “ปฏิกิริยา” ต่อข้อเสนอ 7 ข้อ เพื่อล้างรัฐประหารของนิติราษฎร์ แทนที่จะถกเถียงใน “ประเด็นหลัก” กลับไปถกเถียง “ประเด็นรอง” เช่น เรื่องเทคนิคทางกฎหมายว่าจะทำได้หรือไม่ จะเอื้อประโยชน์แก่ทักษิณหรือไม่ จะทำให้เกิดความแตกแยก เป็นชนวนให้เกิดรัฐประหารรอบใหม่หรือไม่ ระบอบทักษิณ และลัทธิรัฐประหารอะไรเลวกว่ากัน กระทั่งเสียดสีว่านิติราษฎร์ คือ “นิติเรด” ฯลฯ
ยิ่งกว่านั้นเหตุผลคัดค้านของบรรดาสื่อ นักการเมือง ทหาร  นักวิชาการ นักกฎหมาย ทนาย หรือบรรดาผู้อ้างว่ารักชาติ ศาสน์  กษัตริย์ทั้งหลาย ทำให้เรารู้สึกได้ชัดแจ้งว่า  สำหรับประเทศนี้การลบล้างรัฐประหารเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญกว่าการล้ม ประชาธิปไตยอย่างเทียบกันไม่ได้ 
 ประเด็นหลักที่นิติราษฎร์เสนอคือ “การล้างรัฐประหาร 19 กันยายน 2549”  เป็นการล้างรัฐประหารบนจุดยืนที่ว่า  รัฐประหารล้มระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ผิดในตัวของมันเอง  ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใดๆ ก็ตาม เช่น อย่างที่ สัก กอแสงเรือง อ้างว่า  รัฐประหาร 19 กันยาเป็นรัฐประหารขจัดการโกงชาติบ้านเมือง  ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ควรยอมรับ  เพราะหากมีการโกงชาติบ้านเมืองจริงก็ต้องขจัดการโกงนั้นตามกระบวนการ ยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่แก้ด้วยรัฐประหาร
 ถ้าจะโต้ข้ออ้างแบบสัก กอแสงเรือง โดยไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อนนัก  แค่เรามองตามข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา  ถ้าทักษิณโกงชาติบ้านเมืองจริงตามที่คณะรัฐประหารและฝ่ายสนับสนุนกล่าวหา  ถามว่าผลเสียหายจากการโกงของทักษิณ  กับผลเสียหายที่ตามมาหลังใช้วิธีรัฐประหารขจัดทักษิณ  อันไหนเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองมากกว่า 
 ความแตกแยกและความรุนแรงทางสังคมที่เกิดขึ้นกว่า 5 ปีที่ผ่านมา  เราจะโยนความผิดให้ทักษิณคนเดียวได้อย่างไร  ฝ่ายที่ใช้วิธีรัฐประหารขจัดทักษิณจะรับแต่ “ชอบ” ไม่ยอมรับ “ผิด” ใดๆ  เลยเช่นนั้นหรือ?
 ที่สำคัญในเชิงหลักการ  หากถือว่ารัฐประหารควรเป็นวิถีทางที่ถูกต้องในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน  ประเทศของเราจะไม่ต้องทำรัฐประหารเป็นรายปีงบประมาณกันเลยหรือ?
 แต่ประเด็นของนิติราษฎร์  ไม่ใช่การชวนถกเถียงว่ารัฐประหารกับทักษิณใครผิดกว่า มันเป็นข้อเสนอที่  “ฟันธง” ไปเลยว่า แม้ทักษิณจะผิดจริงตามข้อกล่าวหาของคณะรัฐประหาร  การกระทำรัฐประหารนั้นก็เป็นสิ่งที่ผิด และสมควรถูกลบล้างไป  โดยให้ถือเสมือนว่าการทำรัฐประหารและการเอาผิดทางการเมืองกับฝ่ายที่ถูกทำ รัฐประหารเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น  คือไม่มีสถานะและอำนาจที่ชอบธรรมทางกฎมายของรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร  หรือสภาพนิติรัฐ นิติธรรมภายใต้ระบบอำนาจที่มาจากรัฐประหารอยู่จริง 
 เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า คดีที่ดินรัชดา  คดียึดทรัพย์ทักษิณก็ไม่มีผลทางกฎหมาย  แต่ไม่ได้หมายความว่าทักษิณไม่ได้เคยทำผิดในทางความเป็นจริง ฉะนั้น  ข้อกล่าวหาในเรื่องดังกล่าวของทักษิณจึงสามารถนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ปกติในระบอบประชาธิปไตยได้  ทักษิณก็ไปสู้คดีภายใต้กระบวนการยุติธรรมที่มีความเป็นกลางต่อไป
 ฉะนั้น  ข้อเสนอของนิติราษฎร์จึงเป็นการชวนให้สังคมมาตั้งคำถามพื้นฐานที่สุดในทาง สังคมการเมือง คือคำถามที่ว่า  สังคมเราควรจะอยู่ร่วมกันภายใต้ระบบสังคมการเมืองแบบไหน  และภายใต้ระบบสังคมการเมืองแบบนั้น เราจะอยู่ร่วมกันด้วยกฎกติกาอะไร  จึงจะถือว่ายุติธรรมแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม 
 แน่นอนว่า ข้อเสนอให้ล้างรัฐประหาร หรือปฏิเสธรัฐประหารอย่างถาวร  ก็คือข้อเสนอที่ว่าเราต้องอยู่ร่วมกันภายใต้ระบบสังคมการเมืองที่เป็น ประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของราษฎรอย่างแท้จริง  และภายใต้ระบบสังคมการเมืองเช่นนี้ กฎหมายหรือกติกาใดๆ  ที่ถือเป็นข้อผูกพันที่สมาชิกของสังคมการเมืองทุกคนต้องปฏิบัติร่วมกัน  จะต้องเป็นกฎหมายหรือกติกาที่สร้างขึ้นบน “หลักความยุติธรรม” (the  principles of justice) ที่เป็นธรรมแก่ทุกคน  นั่นคือหลักเสรีภาพและหลักความเสมอภาค  อันเป็นหลักการพื้นฐานของระบบนิติรัฐประชาธิปไตย
 รัฐประหารคือการล้มนิติรัฐประชาธิปไตย กฎหมายหรือกติกาใดๆ  ที่คณะรัฐประหารกำหนดขึ้น และการดำเนินการใดๆ  ที่เป็นการเอาผิดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย  จึงไม่ได้ยึดโยงอยู่กับหลักความยุติธรรมอันเป็นพื้นฐานของนิติรัฐ ประชาธิปไตย ฉะนั้น  ถ้าเรายืนยันว่าสังคมของเราควรเป็นสังคมการเมืองแบบประชาธิปไตย  ก็หมายความว่าเรายืนยันหลักความยุติธรรมหรือนิติรัฐประชาธิปไตย  เมื่อยืนยันเช่นนี้ การล้างรัฐประหารจึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ
 ความจริงไม่ใช่แค่การล้างรัฐประหารเท่านั้นที่เป็นสิ่งจำเป็น ต้องทำ กฎหมายหรือกติกาใดๆ ที่ขัดแย้งกับหลักเสรีภาพ และหลักความเสมอภาค  เช่น ม.112 เป็นต้น ก็ต้องถูกยกเลิกหรือแก้ไขปรับปรุงด้วย
 ที่ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  ผบ.ทบ. บอกว่า “กฎหมายมาตรา 112 ไม่ผิด  แต่คนละเมิดกฎหมายดังกล่าวต่างหากที่ผิด” แสดงว่า  เขาไม่เข้าใจว่ากฎหมายดังกล่าวลิดรอนเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ บุคคลสาธารณะของประชาชน จึงเป็นกฎหมายที่ผิด  เพราะเป็นกฎหมายที่ขัดกับหลักความยุติธรรมคือหลักเสรีภาพ  และหลักความเสมอภาค ส่วนที่ว่าคนผิดนั้น  เพราะกฎหมายไปบัญญัติให้การกระทำที่ถูก  (ตามหลักเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ)  ของประชาชนกลายเป็นการกระทำที่ผิด ฉะนั้น กฎหมายที่ผิดเช่นนี้ (เป็นต้น)  จึงควรยกเลิก  หรือแก้ไขปรับปรุงไม่ให้ขัดต่อหลักความยุติธรรมแห่งนิติรัฐประชาธิปไตย
 ปรากฏการณ์ “คณะนิติราษฎร์” ไม่ว่าจะเรื่องรณรงค์ให้แก้ไข ม.112  หรือข้อเสนอ 7 ข้อ เพื่อล้างรัฐประหาร  ถึงที่สุดแล้วก็คือการตั้งคำถามกับสังคมนี้ว่า  เราจะอยู่ร่วมกันภายใต้ระบบสังคมการเมืองที่เป็นนิติรัฐประชาธิปไตยไหม  หากจะอยู่เราจำเป็นต้องปฏิเสธรัฐประหารให้เด็ดขาด  ซึ่งจำเป็นต้องล้างรัฐประหาร และให้มีกฎหมายเอาผิดผู้ที่กระทำรัฐประหารได้  เมื่อฝ่ายทำรัฐประหารนั้นๆ หมดอำนาจไป  หรือบ้านเมืองคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตย
 ข้อเสนอดังกล่าวนี้ จึงเป็นการบังคับอยู่ในตัวของมันเองว่า  ฝ่ายที่คัดค้านข้อเสนอจะกลายเป็นฝ่ายที่เอารัฐประหาร  หรือสนับสนุนรัฐประหารไปโดยปริยาย  และฝ่ายที่สนับสนุนข้อเสนอนี้คือฝ่ายที่เอาระบบสังคมการเมืองที่เป็นนิติรัฐ ประชาธิปไตยโดยปริยาย  มันจึงไม่ใช่คณะนิติราษฎร์จะไปกล่าวหาฝ่ายคัดค้านว่าสนับสนุนรัฐประหาร  แต่หลักการของข้อเสนอมันบังคับอยู่ในตัวของมันเองว่าต้องเป็นเช่นนั้น
 โดยข้อเสนอนี้ไม่เกี่ยวโดยตรงกับเรื่องเอา-ไม่เอาทักษิณอีกแล้ว  เพราะแม้คดีที่ดินรัชดาและคดียึดทรัพย์จะไม่มีผลทางกฎหมาย  แต่การกระทำของทักษิณที่ถ้าเป็นความผิดจริงก็ยังสามารถดำเนินการตามกระบวน การยุติธรรมปกติในระบอบประชาธิปไตยต่อไปได้ 
 ถามว่าทักษิณได้ประโยชน์ไหม  ก็ได้ประโยชน์ในแง่ว่าได้รับโอกาสที่จะต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมที่ เป็นกลางจริงๆ ซึ่งโอกาสดังกล่าวนี้ก็เป็นโอกาสที่ทุกคนพึงได้รับอยู่แล้ว  ภายใต้หลักความเสมอภาคตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตย  
 โดยสรุป หากสังคมเราไม่ใช่สังคมหลอกตัวเอง  หรือไม่ถูกทำให้ติดกับดักการหลอกตัวเอง แต่เป็นสังคมที่ชัดเจนแล้วว่า  เราจะอยู่ร่วมกันภายใต้ระบบสังคมการเมืองแบบนิติรัฐประชาธิปไตย  ก็ไม่มีใครสามารถมีเหตุผลเพียงพอที่จะปฏิเสธหรือคัดค้าน “ประเด็นหลัก”  ของข้อเสนอแห่งคณะนิติราษฎร์ได้ 
  
