บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2551

เรายังรอความเป็นธรรมจาก กกต.ชุดนี้ ได้อีกหรือ?

อย่าว่าแต่จะตอบคำถามประชาชนให้หายสงสัย คับข้องใจว่าเหตุใดการวินิจฉัยกรณีร้องเรียน ร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งของส.ส.แต่ละคน จึงแตกต่างกัน เป็นเพราะชื่อพรรคที่สังกัดหรือไม่

เพราะลำพังจะตอบคำถามตัวเองว่า กกต.ชุดนี้ เป็นกลาง เป็นธรรม และเที่ยงธรรม แค่ไหน ผมเชื่อว่ากกต.ทั้ง 5 ท่านก็ยังตอบตัวเองได้ลำบาก ว่าแต่ละกรณี แต่ละใบเหลือง แต่ละใบแดง ที่แจกออกไป มีใครรับงาน รับใบสั่งมาจากใครหรือไม่

คำแถลงข่าวของนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. ที่ปรากฎในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2551 หลังจากกกต.ลงมติให้ใบเหลืองนายชาญชัย อิสระเสนาสรักษ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ คือคำเฉลยว่า กกต.ชุดนี้ มีความเป็นธรรม เป็นกลาง และ เที่ยงธรรม จริงหรือไม่

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2551 เสนอข่าวดังนี้

"..นายสุทธิพล แถลงอีกครั้งว่า ที่ประชุมมีมติแจกใบเหลืองแก่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ว่าที่ ส.ส.นครนายก เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ข้อหาให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจ รวมถึงให้มีการดำเนินคดีอาญากับนายชาญชัย ด้วย พร้อมกับให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ยังไม่กำหนดวันเลือกตั้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การให้ดำเนินคดีอาญา แสดงว่ามีหลักฐานความผิดชัดเจน แต่ทำไมถึงโดนแค่ใบเหลือง นายสุทธิพล ตอบว่า เป็นมติ กกต.เสียงข้างมากเห็นว่ามีการกระทำผิดจริง แต่การให้ใบแดงต้องใช้มติ 4 ใน 5 ซึ่งกรณีนี้เมื่อเสียงไม่ถึง 4 ใน 5 จึงกลายเป็นแค่ใบเหลือง

อย่างไรก็ตาม เสียงข้างมากของ กกต.เห็นว่า ควรให้ดำเนินคดีอาญาด้วย จึงจำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดี แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการขัดคุณสมบัติลงเลือกตั้งของผู้สมัคร เพราะคดียังไม่สิ้นสุด"

เพราะมติแบบนี้ จึงไม่ต้องถามกันอีกว่า กกต.ชุดนี้มีความเป็นกลาง เป็นธรรม และเที่ยงธรรม แค่ไหน

คำแถลงและคำตอบของนายสุทธิพล ที่ให้กับนักข่าว คือการฟ้องประจานว่ากกต.ที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาสรรหามาให้ ชุดนี้ ยังจะเป็นความหวัง ทำให้ประชาชนเชื่อถือกกต.ได้หรือไม่

กกต.ชุดนี้ จะนำความสุข ความสงบกลับคืนมาให้แก่ประเทศไทย นำการเมืองไทยที่ตกอยู่ใต้อำนาจเผด็จการมาปีกว่าๆ กลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้จริงหรือ

พฤติกรรมของกกต.ชุดนี้ ผมไม่อาจจะตั้งข้อสงสัยเพียงแค่ กกต. 5 คนนี้เท่านั้น หากต้องการทวงถามความรับผิดชอบจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และผู้พิพากษาศาลฎีกาทุกคน ว่าท่านจะรับผิดชอบอย่างไรต่อพฤติกรรมของกกต.ที่ท่านเป็นผู้สรรหามาให้

กรณีของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ เป็นการแสดงตนอย่างเปิดเผยของกกต.ว่า การทำงานกกต.ชุดนี้ ไม่ได้พิจารณาลงมติตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนการสืบสวนสอบสวน พร้อมด้วยพยานหลักฐาน เป็นสำคัญ หากแต่ยึดถือการออกเสียงของกกต.แต่ละคนเป็นหลัก

แต่ที่น่าประหลาดก็คือ ระบบการออกเสียงของกกต. ไม่ได้ยึดถือและปฏิบัติตามเสียงข้างมาก หาก แต่ยึดถือและปฏิบัติตามเสียงข้างน้อย

เหตุผลของการมีมติให้ใบเหลืองนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ เพราะมีกกต. 2 คนคัดค้าน ไม่เห็นด้วยที่จะให้ใบแดง ในขณะที่การให้ใบแดงต้องใช้ 4 ใน 5 เสียง แสดงให้เห็นชัดว่า มีกกต. 3 คน เห็นว่าควรให้ใบแดง แต่กกต. 2 คนค้าน และเห็นว่าใบเหลือง ก็น่าจะพอแก่เหตุ ย่อมจะหมายความว่า การลงมติของกกต.นั้น 2 เสียง ชนะ 3 เสียง

เกณฑ์การลงมติแบบนี้ ยากที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของกกต. ได้ และยากที่จะทำให้ประชาชน คลี่คลายความสงสัยที่มีต่อกกต. ว่าไม่ได้เข้าด้วยช่วยเหลือพรรคประชาธิ ปัตย์

เนื่องจาก หลังการลงมติแบบ 3 เสียง แพ้ 2 เสียง ต้องเปลี่ยนจากใบแดง มาเป็นใบ เหลือง แล้ว กกต.เสียงข้างมาก (ตามคำชี้แจงของนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต.) ซึ่งก็แปลว่า ควรจะมี 4 ใน 5 เสียง เห็นว่าต้องดำเนินคดีอาญากับนายชาญชัย ข้อหาแจกเงินซื้อเสียง เพราะมีพยานหลักฐานแน่นหนามากพอที่จะดำเนินคดีอาญาเพื่อเอาผิดและลง โทษกับนายชาญชัย ได้

แต่ทว่า การดำเนินคดีอาญาของกกต.ต่อนายชาญชัย จะไม่ทำให้คุณสมบัติการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งของนายชาญชัย หมดไป

นายชาญชัย ยังมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีก ทั้งๆ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาของกกต. แล้ว

เป็นอย่างไรครับ ผมไม่เข้าใจ มีหลักฐานแน่หนามากพอที่จะดำเนินคดีอาญาได้ แต่มีหลักฐานไม่พอที่จะให้ใบแดงเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้

กกต. 4 คน เป็นอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา อีก 1 คนเป็นอดีตรองอัยการสูงสุด อยู่กับสำนวนคดีมาทั้งชีวิต ไม่ต้องถามว่าดูสำนวนคดีเป็นหรือไม่ อยู่ที่ว่าจะใช้สำนวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อประโยชน์อย่างไรมากกว่า

ไม่น่าเชื่อว่า กกต.ชุดนี้ จะยอมให้ผู้ต้องหาของตัวเอง ที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งกกต.เป็นเจ้าพนักงานรักษากฎหมาย ยังมีสิทธิ มีคุณสมบัติ เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเลือกตั้งของกกต. ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้ง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

หากต่อมา ศาลพิพากษาว่านายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กระทำความผิดตามที่กกต.สั่งฟ้องดำเนินคดีอาญา ผลการเลือกตั้งนครนายก ก็ต้องเป็นโมฆะ ต้องเลือกตั้งใหม่กันอีก กกต.จะรับผิดชอบอย่างไร พร้อมจะจ่ายเงินชดใช้การเลือกตั้งใหม่ หรือไม่

กกต.ชุดนี้ คงเห็นประชาชนคนไทยทั้งประเทศ กินแกลบต่างข้าว ไปหมดแล้วกระมัง?

กกต.ชุดนี้ คงเห็นประชาชนคนไทยทั้งประเทศ อ่านกฎหมายไม่รู้ ดูกฎหมายไม่เป็น

กกต.ชุดนี้ คงเห็นประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ไม่ต่างจากวัว และ ควาย แล้วแต่จะจูงจมูกไปทางไหนก็ต้องไป

กกต.ชุดนี้ คงคิดว่าตัวเองยังนั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้พิพากษา และพิพาษาคดีภายใต้พระปร มาภิไธยพระมหากษัตริย์ เมื่อตัดสินออกมาแล้ว ประชาชนทุกคนต้องก้มหน้ายอมรับ ไม่ปริปาก ไม่วิพากษ์ ไม่วิจารณ์ โดยลืมไปว่าแม้แต่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นกกต. ยังไม่มีเลย

กกต.ชุดนี้ ควรจะต้องหัดส่องกระจกดูตัวเอง เปิดหูรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน เปิดตาดูปฏิกิริยาของประชาชน ที่กำลังก่อตัวเป็นคลื่นใต้น้ำ เพราะคำวินิจฉัยของกกต. แต่ละกรณี ที่เป็นเหมือนฟางแต่ละเส้นที่ตกลงบนศรัทธาที่มีต่อกกต.อย่างบอบบางยิ่งนัก

..วันหนึ่งเมื่อฟางเส้นสุดท้ายหล่นลงมา ศรัทธาอันบอบบางจะแปรเปลี่ยนเป็นวิกฤติศรัทธาอันยิ่งใหญ่ วันนั้นกกต.ทั้ง 5 ท่าน แม้แต่จะสำนึกเสียใจว่าได้กระทำอะไรลงไป ก็ยังช้าและสายเกินไปเสียแล้ว

กกต.ชุดนี้ เป็นผลผลิตชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของขบวนการตุลาการภิวัฒน์ ที่นำโดยนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ อดีตประธานศาลฎีกา ผู้รับใช้อำนาจเผด็จการ และคณะรัฐประหาร และ นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตเลขานุการศาลฎีกา ผู้แสดงตนเป็นมือไม้ และผู้ปฏิบัติงานตามใบสั่งของคณะรัฐประหาร ด้วยซ่อสัตย์อย่างเปิดเผย

กกต.ชุดนี้ ได้รับการสรรหามาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ในวันที่นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา และ นายจรัญ ภักดีธนากุล เป็นเลขาธิการศาลฎีกา

หลังจากเกิดการรัฐประหาร กกต.ชุดนี้ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกกต. ปฏิบัติหน้าที่ได้ทันที ตามคำสั่งของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร โดยไม่ต้องรอให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เหมือนกกต.ชุดก่อนๆ

เพราะมีที่มาอย่างนี้หรือไม่ จึงมีส่วนทำให้การทำงานของกกต. ปรากฎออกมาอย่างที่ทุกคนได้แลเห็น และตั้งคำถามด้วยไม่ไว้ใจดังขึ้นเรื่อยๆ

หากไม่ใช่เพราะได้รับใบสั่งจากใครมา ก็คงต้องปรักปรำว่ามีกกต.บางคน ที่หัวใจไม่เป็นกลาง และถูกใจตัวเองสั่งมาให้กระทำการเช่นนี้

กระทำการเช่นนี้ของผม ก็คือ กระทำการให้สอดคล้องกับเป้าหมายของคณะรัฐประหาร คือ กระทำการทุกอย่างให้รัฐบาลใหม่ ต้องไม่ใช่พรรคพลังประชาชน และ กระทำการทุกอย่าง เพื่อหาเหตุให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นต่อพรรคพลังประชาชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือ การยุบพรรคการเมืองพรรคนี้

นี่เป็นข้อกล่าวหาที่ผมปรักปรำกกต.บางคน ตามความเชื่อของผม หลังจากที่นั่งดูการทำงานของกกต.มานานเกือบ 1 ปี แต่ไม่มีพยานหลักฐานพอจะชี้ให้เห็น และเป็นข้อมูลสนับสนุนความเชื่อของตนเอง จนกระทั่งเกิดการลงมติกรณีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ขึ้นมา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

เพราะฉนั้นหากวันนี้ จะมีใครมาแก้ต่าง มาชี้แจง มายืนยันว่ากกต.ชุดนี้เป็นกลาง เป็นธรรม เที่ยงธรรม และสุจริต ผมคงรับฟังได้แต่ไม่เชื่ออีกแล้ว และคงไม่นั่งนิ่งๆ รอรับความเป็นธรรมจากกต. หากแต่จะต้องรุกและทวงถามความเป็นธรรม ที่ประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ควรจะได้รับจากกกต.

ความเป็นธรรมที่ผมควรจะได้รับก็คือ การเคารพผลการเลือกตั้งที่ประชาชนลงมติไปแล้ว ตัดสินใจไปแล้ว

ต้องไม่ลืมว่า กกต.นั่นล่ะที่มาเชิญชวนให้ผมออกไปลงคะแนนเลือกตั้ง

ต่อเมื่อผมลงคะแนนไปแล้ว กกต.กลับบอกว่าไม่ยอมรับคะแนนของผม และสั่งให้เลือกตั้งใหม่ เพราะกกต.ไม่เห็นด้วยกับผลการเลือกตั้งที่ออกมา ด้วยสารพัดข้อหา ข้ออ้างที่กกต.เลือกจะเชื่อข้อนี้ ไม่เชื่อข้อนั้น แล้วแต่ว่า คนร้องและคนนำเสนอพยานหลักฐาน ใส่เสื้อพรรคการเมืองใด มาร้อง มายื่นหลักฐาน

พิจารณาเพียงลำพังกรณีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ก็ยากที่จะทำให้เชื่อว่ากกต.เป็นกลาง เป็นธรรม และเที่ยงธรรม แล้วแต่หากนำไปพิจารณาเปรียบเทียบกับหลายกรณีที่กกต.ลมติต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคพลังประชาชน ก็จะยิ่งทำให้เชื่อใจกกต.ไม่ได้มากขึ้นไปอีก

กรณีใบแดง 3 ใบที่เขต 1 บุรีรัมย์ ซึ่งกกต.ลงมติ 4 ต่อ 0 เป็นเอกฉันท์ โดยที่ไม่ได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาเข้าให้ถ้อยคำ ไม่รับฟังคำชี้แจงจากผู้ถูกกล่าวหา แม้แต่ครั้งเดียว โดยที่กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน วอล์กเอาท์ไม่เข้าร่วมประชุมด้วย เพราะยังไม่ได้เสนอสำนวนเข้าสู่การพิจารณา แต่กกต.ทั้ง 4 คนยืนยันจะใช้สำนวนที่กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ ส่งมาให้ โดยไม่ผ่านฝ่ายสืบสวนสอบสวน ของกกต.กลาง

กกต.ทั้ง 4 คนที่ลงมติให้ใบแดงเขต 1 บุรีรัมย์ วินิจฉัยและลงมติด้วยเปิดรับข้อมูลด้านเดียวจากกต.จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีอคติต่อผู้สมัครของพรรคพลังประชาชน สูงมาก และพยาน หลักฐานในคดีนี้ ก็ไม่มีเงินของกลาง ไม่มีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดี ไม่มีการดำเนินคดีซื้อเสียงกับผู้สมัครทั้ง 3 คน เพราะไม่มีหลักฐาน มีเพียงคำร้องของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่เป็นคู่แข่งโดยตรง และคำให้การของพยานที่เป็นญาติของผู้สมัครพรรคเพื่อแผ่นดิน เท่านั้น แต่กกต.ลงมติให้ใบแดงแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคพลังประชาชน

กรณีใบแดง เขต 1 บุรีรัมย์ ที่ผู้สมัครพรรคพลังประชาชนได้รับไป เป็นกรณีแรกที่กกต.ลงมติโดยไม่ต้องฟังคำชี้แจงจากผู้ถูกกล่าวหา และเป็นกรณีที่ทำให้ประชาชนได้รับรู้ว่าเกิดความขัดแย้ง และความไม่ปกติภายในกกต. เนื่องจากมีการตั้งตำรวจสันติบาลมาทำหนาที่สืบสวนสอบสวนแทนเจ้าหน้าที่กกต. อย่างมีเงื่อนงำ และต้องถอนตัวออกไปในที่สุด

กรณีใบเหลือง เขต 1 เพชรบูรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมหัวคะแนนของนายสุทัศน์ จันทร์แสงสี ว่าที่ ส.ส.เพชรบูรณ์ เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ พร้อมเงิน 1,300,000 บาท และรายละเอียดหมู่บ้าน ที่จะเข้าแจกเงินซื้อเสียง หลักฐานจะๆ คาตา แบบนี้ กกต.ลงมติให้เหลือง เพราะมีปรากฎการณ์เดียวกันกับกรณีใบเหลือง นครนายก คือ มติ 3 ต่อ 2 ไม่สามารถให้ใบแดง ได้ ทั้งๆ ที่นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ซึ่งเป็นผู้ทำสำนวนเองกับมือ ยืนยันว่าสมควรให้ใบแดง เพราะมีหลักฐานมัดแน่น แต่ก็ออกใบแดง ไม่ได้ เพราะ มีกกต. 2 คน คัดค้าน

กรณีใบเหลือง และ ใบแดง เขต 3 อุดรธานี ที่ตกเป็นของนายประสพ บุษราคัม ผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคพลังประชาชน คนเดียวทั้ง 2 ใบ โดยห่างกันเพียง 3 วัน จากใบเหลือง เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มกราคม กลายเป็นใบแดงในวันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม ก็เป็นกรณีแรกเช่นกันที่กกต.ลงมติ ให้โทษผู้สมัครคนเดียว 2 ครั้ง โดยอ้างว่ามีข้อมูลใหม่ มีสำนวนใหม่ ที่ทำให้กกต.เชื่อว่า นายประสพ กระทำความผิด ด้วยการปราศรัยใส่ร้ายผู้อื่น แต่กกต.ก็ไม่ได้เรียกนายประสพ มาชี้แจงว่าปราศรัยจริงหรือไม่ กลับลงมติให้ใบแดงด้วยเหตุผลมีข้อมูลใหม่ ไปทันที

นายประสพ บุษราคัม จึงกลายเป็นนักการเมืองคนแรก และคาดว่าจะเป็นคนเดียว ที่มีปรากฎการณ์ใบเหลืองเปลี่ยนสีเป็นใบแดงได้ โดนสองเด้งหรือสองใบในการเลือกตั้งครั้งเดียว อาจจะเป็นเพราะกกต.กลัวว่านายประสพ บุษราคัม จะตาย(ทางการเมือง)ไม่สนิทกระมัง จึงมอบความเป็นธรรมให้แบบล้นเหลือ เช่นนี้

กรณียกคำร้องเขต 1 นครศรีธรรมราช ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่กกต.ให้เหตุผลว่าคำชี้แจงของนายมาโนชญ์ วิชัยกุล ผู้อำนวยการเลือกตั้ง นครศรีธรรมราช เขต 1 พรรคประชา ธิปัตย์ ปราศรัยใส่ร้ายนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสสรณ์ ผู้สมัครพรรคพลังประชาชน ว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นปฏิปักษ์ เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเพียงเรื่อง "ล้อเล่น" เท่านั้น เป็นคำชี้แจงที่น่าเชื่อถือ รับฟังได้ว่าเป็นเพียงการ "ล้อเล่น" นายมาโนชญ์ มิได้มีเจตนาที่จะใส่ร้ายนายสุรชัย ให้ประชาชนลงเชื่อและเข้าใจผิดในคะแนนนิยม ตามที่นายสุรชัย ยื่นคำร้อง ว่าได้รับความเสียหายจากคำปราศรัยใส่ร้ายด้วยความเท็จ ของนายมาโนชญ์

กกต.ลงมติยกคำร้องของนายสุรชัย และรับรองผลการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้ง นครศรีธรรมราช เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 3 คน ซึ่งอยู่ในความดูแลของนายมาโนชญ์ ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้ง และเชิญนายมาโนชญ์ ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงให้ ในฐานะอดีตส.ส. เพราะเห็นว่า คำปราศรัยว่า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสสรณ์ ผู้สมัครพรรคพลังประชาชน ว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นปฏิปักษ์ เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มิใช่การปราศรัยใส่ร้าย แต่เป็นเพียงเรื่อง "ล้อเล่น" เท่านั้น

ไม่น่าเชื่อว่า กกต. 4 ใน 5 ที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษามาทั้งชีวิต ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ จะเห็นว่าการปราศรัยใส่ร้ายกันด้วยเรื่องของสถาบันพระมหา กษัตริย์ นำสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นเครื่องมือในการหาเสียง หาประโยชน์ทางการเมือง จะเป็นเรื่อง "ล้อเล่น"

หากวันหนึ่งข้างหน้า มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง ประพฤติปฏิบัตามตามนายมาโนชญ์ วิชัยกุล โดยอ้างอิงบรรทัดฐานของกกต.ชุดนี้ นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาหาประโยชน์ทางการเมือง กกต.ชุดนี้ จะกล้าพอที่จะแสดงตนรับผิดชอบหรือไม่ ในฐานะที่สร้างบรรทัดฐานในเรื่องนี้ไว้

กรณีสั่งเลือกตั้งใหม่อุดรธานี วันเดียว 3 เขตเลือกตั้ง จากผู้สมัคร 10 คน ที่พรรคพลังประชาชน ชนะเหมาทั้งจังหวัด แต่ต้องเลือกตั้งใหม่ 8 คน และต่อมาถูกใบแดง 1 คน เหลือเลือกตั้งใหม่ 7 คน พิจารณากันอย่างไร ก็ไม่อาจมองข้ามปัจจัยความผิดปกติจาก "มือที่มองไม่เห็น"ไปได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน 1 จังหวัด ส.ส. 10 คน พลังประชาชนโดนพรรคเดียว 8 คน

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะ 5 ใน 8 คนของที่โดนใบเหลือง เป็นผู้สมัครหน้าใหม่ จัดเป็น "นกแล" ก็ว่าได้ แต่ได้คะแนนนิยมของพรรค หอบเข้ามาชนะเลือกตั้ง หากให้เลือกตั้งใหม่ และกระแสพรรคแผ่ว โอกาสที่พรรคเพื่อแผ่นดิน และ รวมใจไทยชาติพัฒนา จะเข้ามาแทนที่ก็เป็นไปได้สูง

จากพฤติกรรมที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ ที่ล้วนเป็นการกระทำที่ผ่านพ้นไปแล้วของกกต. เป็นพยานหลักฐานที่แก้ไขไม่ได้แล้ว ทำใหม่ไม่ได้แล้วนี้เอง จึงทำให้ผมเลิกคิด เลิกหวังที่จะรอรับความเป็นธรรมจากกต.ชุดนี้แล้ว

พฤติกรรมของกกต.บางคน ทำให้ผมหมดหวังที่จะได้รับความเป็นธรรมจากกต.ชุดนี้แล้ว

เพราะในระบบที่เสียงข้างน้อยชนะเสียงข้างมาก

ในระบบที่พิจารณาวินิจฉัยโดยดูสีเสื้อพรรค และต้นสังกัด

ในระบบที่มือที่มองไม่เห็นยังแทรกแซงยุ่มย่ามทั่วไปในองค์กรกกต.

ผมจะไม่รอความเป็นธรรมจากกต. อีกแล้ว

หากแต่คิดใหม่ว่า ความเป็นธรรมที่ต้องการ นั้น เราจะนั่งรอ งอมืองอเท้าไม่ได้แล้ว ประชาชนต้องลุกขึ้น และรุกเข้าไปทวงถามหาเอาเอง เพราะหากปล่อยให้กกต.หยิบโยนให้ตามอำเภอใจ ความไม่เป็นธรรม จะเข้ามาแทนที่ความเป็นธรรม ในหลายกรณีที่เรากำลังเฝ้าเป็นห่วง

โดย ประดาบ จาก hi-thaksin

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker