บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)
"มี สนช.คนหนึ่งเป็นตัวการสำคัญ เป็นคนเอาแผนร้ายมาให้ โดยตอนแรกเขาฝาก คุณชัยยะ ให้ทำงานด้วย ผมเห็นว่าไม่เป็นอะไรที่เขาจะมาเรียนรู้งานด้านสืบสวนสอบสวนใน กกต. แต่ใกล้เลือกตั้ง เขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นรองผู้บัญชาการสันติบาล แล้วถึงรับงานใหญ่มาทำ แผนร้ายที่คิดนี่รั่วไหล จึงโยนขี้ให้ผม แล้วก็มี กกต.อื่น ไม่ขอเอ่ยชื่อไปรับแผนชั่วร้ายเนี่ยมา และทำให้เขาด้วย โดยการขจัดผมออกไป"
"สมชัย จึงประเสริฐ" กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย อายุ 59 ปี เป็น กกต.ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีความชื่นชอบพรรคไทยรักไทย กระทั่ง กกต.ด้วยกันเสนอให้เปลี่ยนงานด้านการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยที่อยู่ในความดูแลให้ กกต.ท่านอื่นดูแลแทน ซึ่งหนักสุดได้ถูกครหาว่าทำเอกสารลับสำนวนร้องเรียนกรณี "ยุทธ ตู้เย็น" ยงยุทธ ติยะไพรัช รั่วไหลหลุดไปถึงนักการเมืองบางฝ่ายด้วย ซึ่ง สมชัย ได้เปิดอกให้สัมภาษณ์ถึงที่มาของการถูกกล่าวโจมตีสำนวน "ยงยุทธ" รั่ว
๐ เหตุผลที่ไม่ยอมคืนสำนวน "ยงยุทธ" ให้ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธุ์กุล รอง ผบช.ส. เหมือนกับ กกต.อีก 4 คน
ผมไม่เข้าใจว่า สำนวนทุกเรื่องที่มาเสนอ หรือรายงาน (ย้ำ) ทั้งพนักงานสืบสวนสอบสวนของ กกต.เอง หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้กระทั่งสันติบาลก่อนหน้านั้น ทำมาเสนอ กกต.10 กว่าเรื่อง เขาไม่เคยเอาสำเนาเอกสารคืน เพื่อให้ กกต.แต่ละคนเก็บไว้ตรวจสอบ ไม่เช่นนั้นหากผู้ที่มารายงานเกิดเอาไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงในภายหลังได้ ซึ่งเป็นระเบียบปฏิบัติและเป็นอย่างนี้ทุกเรื่อง
ผมเองก็ยังแปลกใจว่า ทำไมทุกเรื่องเขาแจกให้ กกต.แล้วเราจะยึดเอาไว้ตรวจสอบ แต่กรณีคุณยงยุทธ กรรมการท่านอื่นจึงคืนให้ และ กกต.หญิงคนหนึ่งออกมาพูดว่า กกต.คนอื่นคืน แต่ทำไมผมไม่คืน ผมก็เกิดความรู้สึกดูแคลน กกต.ในตอนนั้น สำหรับผมเอะ! เห็นเขารายงานเพียงปากเปล่าสั้นๆ ทำไม กกต.ต้องคืนให้เขา ผมจึงไม่คืนให้และเอาไว้ดูอย่างที่เคยปฏิบัติมา ซึ่งผมต่อว่า กกต.ท่านนั้นก่อนจะออกจากห้องไป
เอกสารที่เอามาผมเก็บใส่ตู้อย่างดี ไม่ได้บอกใคร หรือเอาให้ใครดู ก็ยังสงสัยว่า พล.ต.ต.ชัยยะ หรือนายวีระ สมความคิด น่าจะมีส่วนรู้เห็นและต้องการให้เอกสารรั่ว เพราะหลังจากเอาเอกสารมารายงานเสนอต่อ กกต.แล้ว พล.ต.ต.ชัยยะ ก็เอาวีซีดีซึ่งถือเป็นวัตถุพยานในสำนวนสืบสวนสอบสวนไปเผยแพร่ทางเอเอสทีวี และการที่เขาเอาไปเผยแพร่นั่นแหละ คือ การทำให้สำนวนรั่วไหล ผมไม่ทราบว่าเขาเอาออกไปได้อย่างไร
ครั้งนั้น นายยงยุทธ จะ "วัวสันหลังหวะ" อยู่แล้วหรืออย่างไร ไม่ทราบจึงขอผลัดรับทราบแจ้งข้อกล่าวหา หรืออาจกำลังไปหาข้อมูลก็สุดแล้วแต่ ซึ่งระหว่างนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็โจมตี พล.ต.ต.ชัยยะ ผ่านสื่อว่า สนิทสนมกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จากนั้นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนทำหนังสือยื่น กกต.ให้ถอดถอน พล.ต.ต.ชัยยะ พ้นการสืบสวนสอบสวน ซึ่ง กกต. 4 คนลงมติถอดถอน โดยที่ผมไม่ได้อยู่ร่วมลงมติด้วย แต่เจ้าตัวไม่พอใจและแถลงข่าวว่ามี กกต.ท่านหนึ่งไม่คืนสำนวนและทำให้สำนวนรั่ว
แน่นอนที่สุด เรื่องนี้ผมเป็นเหยื่อ
มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนหนึ่งเป็นตัวการสำคัญ เป็นคนเอาแผนร้ายมาให้ โดยตอนแรกเขาฝากคุณชัยยะให้ทำงานด้วย ผมเห็นว่าไม่เป็นอะไรที่เขาจะมาเรียนรู้งานด้านสืบสวนสอบสวนใน กกต. แต่ใกล้เลือกตั้งเขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นรองผู้บัญชาการสันติบาล แล้วถึงรับงานใหญ่มาทำ แผนร้ายที่คิดนี่รั่วไหลจึงโยนขี้ให้ผม แล้วก็มี กกต.อื่น ไม่ขอเอ่ยชื่อ ไปรับแผนชั่วร้ายเนี่ยมา และทำให้เขาด้วย โดยการขจัดผมออกไป
นี่คือ แผนชั่วรั่วไหล ไม่ใช่สำนวนรั่วไหล ท้ายที่สุด กกต.จึงโอนเรียกสำนวนคืนจาก พล.ต.ต.ชัยยะ ให้นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธานอนุกรรมการของ กกต. ดำเนินการสอบแทน เพราะสันติบาลได้รับแต่งตั้งจาก กกต. เมื่อเดือนธันวาคม แต่หลักฐานได้ทำตั้งแต่เดือนตุลาคม แสดงว่าเตรียมการกลั่นแกล้งไว้ล่วงหน้า จึงทำให้ พล.ต.ต.ชัยยะ ต้องขอเอกสารคืน
๐ เรื่องเป็นอย่างนี้ กกต.ดำเนินการอย่างไร
ตอนหลัง กกต.คงรู้ว่าไม่ชอบมาพากล คงคิดได้ตอนตัวเองจะตรวจเอกสารต้องไปขอจากสันติบาล ซึ่งเขาอาจไม่ให้ หรือตัดต่อก็ได้ วันนี้ กกต.เขารู้แล้วจึงไม่พูด นั่นคือ เขาหาบันไดลง การที่เราอดทนไม่พูดทำให้ปัญหาของ กกต.คลี่คลาย และแผนฝ่ายนั้นไม่สำเร็จ
คิดดูที่ไหนเขาทำ ที่จริงสำนวนเอกสารของ กกต. เราต้องมีอยู่และเก็บไว้ตรวจสอบได้ แต่เมื่อนายยงยุทธขอตรวจสอบหลักฐานกล่าวหา ซึ่งมีแต่กากสำนวนที่อยู่กับผม แต่เขาไม่ถูกกับผมเสียแล้ว จึงต้องไปขอจากสันติบาล ถามว่า เป็น กกต.ทำอย่างนี้อายเขา ซึ่ง กกต.ก็กลัวเขาฟ้องว่าผิดอาญาตามมาตรา 157 เพราะสิ่งที่สันติบาลได้เอามาเสนอรายงานต่อ กกต. แต่แรกเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงลงมติใหม่และเรียกเอาสำนวนนั้นกลับมาพิจารณาใหม่เพื่อให้ชอบด้วยกฎหมาย
๐ เมื่อถึงวันนี้ กกต.ด้วยกันแสดงออกอย่างไร
ผมไม่เปิดโอกาสให้เขาขอโทษ เนื่องจากกลืนน้ำลายตัวเอง ทำไม่ได้หรอก และตอนนี้เขาไม่ได้ทำงานตามใบสั่งของใครอีก เพราะจากบทเรียนนี้ทำให้รู้ว่าโง่กว่าเขา ถูกเขาหลอกใช้ และด้วยท่าทีของ กกต.ต่อผมในวันนี้ก็เปลี่ยนไป ซึ่งลึกๆ แล้วเขาก็ขอบคุณและขอโทษผมด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ได้พูดออกมาและผมไม่ต้องการ เพียงแต่มิตรไมตรีที่เขาทำก็เพียงพอแล้ว
ที่ผ่านมา ผมไม่เคยพูดให้ใครฟัง และหากตอนนั้นเปิดเผยเรื่องสำนวนรั่วก็จะเกิดปัญหาวุ่นวาย เพราะถ้า กกต.ต้องลาออกก็จะกระทบต่อการประกาศรับรอง ส.ส. แล้วเปิดประชุมสภาไม่ได้ บ้านเมืองก็เดินต่อไปไม่ได้ ผมทนอดกลั้นทั้งๆ ที่ช้ำใจเพื่อให้ประเทศชาติมีการถ่ายอำนาจจากระบอบเผด็จการไปสู่ระบอบประชิปไตยได้ พยายามไม่หลงประเด็น ตรงนี้และบัดนี้ประชาธิปไตยเดินไปได้แล้ว ถือว่าภาระที่ยิ่งใหญ่หมดไปแล้ว
๐ มีแผนการเขียนสำนวนตุลาคมก่อนการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม
ผมไม่รู้เท็จจริงเป็นอย่างไร และไม่ได้ยืนยันว่าสิ่งที่เขาทำถูก ไม่ถูก เพียงแต่ว่า มันเกิดก่อนที่สันติบาลจะได้รับการแต่งตั้งจาก กกต.ให้เข้ามาทำหน้าที่ เขามายืมมือ กกต.จัดการเพื่อเป็นไปตามแผนนั้น ซึ่งท้ายที่สุด กกต.ก็เสียหายอยู่ไม่ได้ติดคุก
แต่ฝ่ายที่ใช้ กกต.เป็นเครื่องมือ พวกที่ร้องเรียนว่าเราทำผิดอาญามาตรา 157 ลอยลำอยู่ข้างหลัง ผมไม่ถือว่าการแจกใบเหลือง ใบแดง เป็นวาระสำคัญรีบร้อนต้องทำอย่างที่ฝ่ายนี้เขาเรียกร้องให้ต้องรีบทำให้ได้ 60 ใบ
๐ ดังนั้น กกต.จึงประกาศรับรองนายยงยุทธก่อน แล้วสอยทีหลัง
โดยหลักการในตอนร่างรัฐธรรมนูญ อำนาจที่จะวินิจฉัยใบเหลือง ใบแดงให้อยู่ที่ศาลวินิจฉัยชี้ และ กกต.ก็เห็นอย่างนั้น ซึ่งตอนนั้น กกต.มีผมคนเดียวที่เห็นว่าถ้ายักษ์ไม่มีกระบอง จัดการเลือกตั้งไม่ได้ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ต่างๆ ไปดิ้นรนหาอำนาจนี้กลับมา แต่เพื่อควบคุมผู้สมัคร ส.ส.ไม่แตกแถว และเมื่อจัดการเลือกตั้งได้เรียบร้อยแล้วอำนาจนี้เราก็ไม่ควรจะใช้
แต่สื่อและ กกต.ส่วนหนึ่งก็พุ่งมาเลยว่า ทำไมไม่ให้ใบเหลือง ใบแดง เขาร้องเรียนกันมาทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นพันๆ เรื่อง ทำไมมีเรื่องสืบสวนสอบสวนเพียงร้อยกว่าเรื่อง ขณะที่ต่างจังหวัดจริงๆ แล้วค่อนข้างเงียบ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ซื้อเสียง แต่มีคนพยามยามเรียกร้องต้องมีใบเหลือง ใบแดง 24 ใบทั้งที่ยังไม่ได้สืบสวนสอบสวนเลย หลังจากนั้นก็มาบี้ว่าฝ่ายสืบสวนสอบสวนไม่มีประสิทธิภาพ จากนั้นบอกว่าต้องรับผิดชอบร่วมกัน แล้วก็เอาสันติบาลมาใส่ตรงนี้
๐ การทำงานศาลกับ กกต.แตกต่างกันอย่างไร
การพิจารณาของศาลถ้ามีใครทำผิดกฎหมาย เราต้องดำเนินการจนสิ้นสุดกระบวนการ แต่การเลือกตั้งไม่ใช่ ซึ่งหากมองแล้วเห็นว่า คะแนนแตกต่างกันชัด ระหว่างคนแพ้ ชนะ ต่างกันเป็นหมื่นๆ เสียง แต่มีการกระทำผิดหน่วยเล็กๆ เพียง 200-300 เสียง กกต.อาจให้มีผลยุติไม่ต้องสืบสวน สอบสวนตามที่มีการร้องเรียน เพราะจัดเลือกตั้งใหม่ผลก็ไม่เปลี่ยนแปลง หากเราล้มฉันทามติประชาชนแล้วเขาได้รับเลือกตั้งกลับมาอีก สะท้อนว่าทำไม่ถูกต้อง การที่ กกต.ท่านอื่นบอกว่าไม่ได้ต้องบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมชี้เลยในสภาว่าเป็นไปไม่ได้
๐ จุดสมดุลระหว่างการกระทำผิดกฎหมายกับบทสรุปผลการเลือกตั้งอยู่ไหน
วางเป็นหลักตายตัวไม่ได้ ต้องดูเป็นกรณีๆ ไป เพราะกฎหมายใหม่ทำให้กลั่นแกล้ง สร้างพยานหลักฐานเท็จง่าย และนำไปสู่ผลการยุบพรรคก็ได้ ความเสียหายมาก ดังนั้น กกต.ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ที่สำคัญหลายสำนวนส่วนใหญ่ฝ่ายที่แพ้มักจะเอาคนไม่กี่คนมาร้องเรียน และหลังจากรู้ผลการเลือกตั้งว่าแพ้แล้ว ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งพยายามจะมาเป็นผู้กำหนดอนาคตของบ้านเมืองเสียเองในการกำหนดตัวแทนที่จะเข้ามาบริหารประเทศ โดยมุ่งหวังชัยชนะทุกวิถีทางเพื่อหวังให้ได้ประชาธิปไตย แต่ไม่ใช้วิธีตามแบบอย่างประชาธิปไตย
๐ พีเน็ตเห็นว่า วาระงาน กกต.ควรหมดไปพร้อมกับ ครม.สุรยุทธ์
มันเป็นไปไม่ได้ เพราะภารกิจทั้งเลือกตั้ง ส.ส. สว. โดยเฉพาะท้องถิ่นอีก 4 พันกว่าแห่ง หาก กกต.ไปแล้วใครจะมาทำแทน คุณสมชัย ศรีสุทธิยากร หรือ เขาทำงานได้ดีกว่า กกต.5 คนหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ควรมอบหมายให้ทำ
ขอขอบคุณ นสพ คมชัดลึก 26 มค. 2551
วิเคราะห์ข่าว
จาก กลุ่มสื่อประชาชน