บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุยกันทันประเด็นตอน มองผ่านตัวตน ทนายคู่บุญคนเสื้อแดง

ที่มา Asia Update TV

คุยกันทันประเด็นตอน มองผ่านตัวตน ทนายคู่บุญคนเสื้อแดง part 1




คุยกันทันประเด็นตอน มองผ่านตัวตน ทนายคู่บุญคนเสื้อแดง part 2

ได้กลับมาสู่เกมแล้ว

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_99003

ทักษิณ

ถ้าชนะ เผลอๆจะไม่มีเลือกตั้งใหญ่

โดยโจทย์ยากๆของพรรคเพื่อไทยในการลงสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 6 ที่ไม่ได้จบแค่แพ้หรือชนะในสนามเล็ก

แต่ยังต้องประคองกระแส ประคองจังหวะ

เผื่อข้ามช็อตไปถึงการทำศึกใหญ่

เพราะถ้ากรุงเทพมหานครฝ่ายกุมอำนาจประเทศไทย ยังต้านไม่อยู่ เมืองหลวงโดนแบ่ง ก็ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่โซนแดงในภาคอีสานกับภาคเหนือ

ยี่ห้อเพื่อไทยกรีธาทัพมาแบบถล่มทลายแน่

ฉะนั้น ตามไฟต์บังคับ ฝ่ายคุมเกมอำนาจประเทศไทยไม่มีทางปล่อยไฟเขียว

ประเมินกันตามเงื่อนไข เดิมพันเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 6 แค่พรรคเพื่อไทยได้คิวลงสนามเลี้ยงกระแสเสื้อแดง

ชิงจังหวะเล่นแต้มจนพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่าเป็นต่อหลายช่วงตัว ต้องหูตาตื่น เกณฑ์ไพร่พลคณะใหญ่

ไม่เว้นแม้แต่รุ่นเก๋ายี่ห้อ "ชวน หลีกภัย" ยังต้องถูกเรียกใช้บริการ ลงพื้นที่ หาเสียง ทุ่มกันแบบหมดหน้าตัก

ฟ้องอาการไม่ชัวร์

กลัวแม้กระทั่งคู่ต่อสู้ที่โดนคุมขังอยู่ในคุก

แค่นี้ก็เข้าเป้าแล้วสำหรับมวยรองบ่อนอย่างพรรคเพื่อไทย ที่กระแสต้นทุนน้อยกว่า

เอาเป็นว่า แม้ผลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.เขต 6 ที่ออกมา นายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้ สมัครจากพรรคเพื่อไทย จะพ่ายให้แก่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์

แต่ก็ถือว่าได้ลงสนามปลุกกระแสคนเสื้อแดงในพื้นที่ กทม. ให้กลับเข้าสู่เกมการต่อสู้แล้ว

หลังจากที่เพลี่ยงพล้ำกระแสมาพักใหญ่ โดนกดให้อยู่กับภาพผู้ร้ายเผาบ้านเผาเมืองในสถานการณ์สวนทางกับฝ่ายรัฐบาลกำลังตกที่นั่งลำบาก

เมื่อกระบองยักษ์เสื่อมอิทธิฤทธิ์ โดนกดดันให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่เหลือเครื่อง ทุ่นแรงกดหัวฝ่ายต่อต้าน

น้ำลด ตอผุดเป็นระลอก

ประเมินจากคิวของหัวหอกตัวรุกอย่างนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เดินหน้ารุกไล่ต่อจิ๊กซอว์ไอ้โม่งชุดดำกับขบวนการก่อการร้ายเสื้อแดง

แต่เจอรายการ "อมเพชรของกลาง" กับปม "คนใกล้ชิดเรียกรับผลประโยชน์เลี่ยงภาษี" สองดอกติดๆกัน

โดนหมัดสวนชักออกอาการเป๋

ตามจังหวะที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงตีฝ่าวงล้อมในประเทศ

ขณะที่อีกด้านรัฐบาลก็ต้องรับมือกับคิวตีโอบตามยุทธศาสตร์ ใช้เวทีโลกบีบล้อมประเทศไทย

ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินกับแฟนคลับเสื้อแดงจังหวัดราชบุรี ที่จัดทำบุญเนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 26 กรกฎาคม

"ขอให้ทุกคนใจเย็น กำลังรวบรวมเอกสารหลักฐานต่อสู้ กับรัฐบาลในเหตุสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง"

พร้อมๆกับคิวที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของ อดีตนายกฯทักษิณ เดินหน้าตีปี๊บสมุดปกขาว "การสังหารหมู่ที่ กรุงเทพฯ" ประกาศดังๆ

จะใช้วิธีทางการทูตเพื่อขอให้รัฐบาลไทยเพิกถอนคำสั่งห้ามเข้าประเทศไทย ที่ถือเป็นการทำลายสิทธิของตนเองที่จะแก้ต่างให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นลูกความ

ท้ากันเป็นเชิง ยินดีที่จะขึ้นเวทีอภิปรายเรื่องสมุดปกขาวกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลไทย ทุกที่ทุกเวลา บนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ

ไม่สนเกมปลุกชาตินิยมของพรรคประชาธิปัตย์ ด่าคนไทย จ้างฝรั่งทำลายเครดิตประเทศตัวเอง

เพราะเป้าหมาย "ทักษิณ" อยู่ที่เวทีโลก ที่ไม่โดน "กระชับ พื้นที่".


ทีมข่าวการเมือง รายงาน

'แม้ว'ทวิตวันเกิด ครบ61ปี ขอทุกฝ่ายรักกัน

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_99032

"ทักษิณ" ทวิตข้อความบนทวิตเตอร์ส่วนตัวเนื่องในวันครบรอบวันเกิด 61 ปี ขอทุกฝ่ายหันมารักกัน นำบ้านเมืองไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุข ขอให้ผู้ท่ีรักและปรารถนาดีต่อตนอดทนอดกลั้น อย่าใช้ความรุนแรง...

เมื่อวันที่ 26 ก.ค. เวลาประมาณ 09.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ส่วนตัว http://twitter.com/Thaksinlive ว่า "ขอขอบคุณผู้ที่มีน้ำใจต่อผม กรุณาอวยพรวันเกิดผม ผมขอวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายคุ้มครองท่านให้พ้นทุกข์พ้นโศกผ่านช่วงนี้ไปด้วยดีครับ วันนี้ผมก็ 61 แล้วครับ แก่แล้วครับ อยากจะเห็นสิ่งดีๆ ในบ้านเมืองและพร้อมให้ความร่วมมือทุกฝ่ายท่ีอยากจะนำบ้าน เมืองไปสู่ความรักกัน ร่มเย็นเป็นสุข"

อดีตนายกฯ ระบุอีกว่า "ผู้ท่ีรักผมและปรารถนาดีต่อผมต้องอดทนอดกลั้นต่อความไม่เป็นธรรม ความโหดเหี้ยมในช่วงนี้ โปรดอย่าหาทางออกด้วยความรุนแรงผมไม่ชอบไม่เห็นด้วยครับ ขอขอบคุณชาว twitter ทุกคนที่มาเป็น followers ครบ 1 ปีพอดีถึง 116,814 ท่านทั้งๆ ที่ ระยะหลังผม tweet น้อยลงเพราะไม่อยากเป็นประเด็นมากนัก ขอขอบคุณอีกครั้ง"

ผู้สืื่อข่าวรายงาน สำหรับการทวิตข้อความในวันนี้ ตรงกับวันเกิดครบรอบ 61 ปี ของอดีตนายกฯ พอดี.

ประเทศไทยบนแผนที่โลก

ที่มา ไทยรัฐ

วันนี้ตรงกับ วันอาสาฬหบูชา คนไทยได้โอกาสทำบุญไหว้ พระทำจิตใจให้สงบและวันนี้ยังเป็นวันครบรอบวันเกิด 61 ปีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่รัฐบาลเคยให้ข่าวไปก่อนหน้านี้ว่าจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายจากคนเสื้อแดง ซึ่งมีชาวบ้านส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อาจจะจัดงานระลึกถึงกันเป็นธรรมดา แต่ถึงขั้นจะก่อเหตุรุนแรง คงไม่เข้ากับสถานการณ์ นอกจากชาย

ชุดดำ หรือไอ้โม่ง อยากให้เกิดความวุ่นวายตามคำทำนายเท่านั้น

ต้องยอมรับความจริงว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่โกรธแค้นและไม่พอใจกับการกระทำของรัฐบาลที่ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ที่ผ่านมาและมีการเคลื่อนไหวลงใต้ดิน แต่ก็เป็นในลักษณะจับกลุ่มแสดงความคิดเห็นถึงแนวทางการเคลื่อนไหวในอนาคต แต่ถามว่าถึงขนาดจะออกมาเผาบ้านเผาเมืองหรือไม่

ไม่ถึงขนาดนั้น

ก็เลยเป็นที่มาของการพิจารณายกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่รัฐบาลชุดนี้ใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจทางการเมือง อย่างน้อยก็ต้องรอหลังวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ และถ้ารัฐบาลคิดได้แค่นี้จริงๆ เอาอนาคตหน้าตาของประเทศไปผูกไว้กับคนเพียงคนเดียว ควรจะรีบลาออกจากตำแหน่งหรือยุบสภาทันที

เรื่องของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กฎหมายติดหนวดฉบับนี้ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดต่อไปควรจะรีบยกเลิกโดยทันที ไม่เช่นนั้น จะเป็นเครื่องมือของเผด็จการ ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น

มีข้อที่น่าสังเกตดังนี้ จู่ๆคุณอานันท์ ปันยารชุน ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูป ก็เสนอให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว ในขณะที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังต่อรองขอดูสถานการณ์ก่อน

ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าคุณอานันท์เป็น อดีตนายกฯโกอินเตอร์ เป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และยังอยู่ในแวดวงของธุรกิจ ดังนั้น สิ่งที่คุณอานันท์ได้ยินมาก็คงไม่ใช่เรื่องธรรมดา

ก่อนหน้านี้ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของ พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ทำบันทึกสมุดปกขาวเผยแพร่ไปทั่วโลก ก่อนหน้านี้

มี คอลัมนิสต์ต่างประเทศ วิจารณ์สถานการณ์การเมืองไทยภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างตรงไปตรงมา มีการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของรัฐบาลและคนเสื้อแดง ทั้งสองฝ่าย ก่อนหน้านี้ โฆษก รมว.ต่างประเทศของญี่ปุ่น ไปนั่งแถลงนอกรอบในการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาค

เอเชีย-แปซิฟิก ที่ประเทศเวียดนาม ทวงถามความคืบหน้ากรณีนักข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิตจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้า

รัฐบาลจะทำหูทวนลมไม่ได้

เพราะประเทศไทยยังอยู่บนแผนที่โลก การสร้างภาพซื้อเวลาใช้ไม่ได้กับประเทศที่ ประชาธิปไตยเจริญแล้ว ชาวโลกแค่อยากรู้ว่าความจริงคืออะไร และมีความรับผิดชอบแค่ไหนเท่านั้น ไม่ชอบลีลา.


หมัดเหล็ก

การ์ตูน เซีย 26/07/53

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_98950

การ์ตูน เซีย 26/07/53

พล.ร.7 กองพลพิชิตแดง

ที่มา บางกอกทูเดย์


ภารกิจเช็คบิลคนเสื้อแดงของ ศอฉ.ยังไม่จบแค่บนแยกราชประสงค์ ณ ปัจจุบันท่ามกลางพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ภารกิจนี้ยังคงดำเนินต่อไป จากเหตุที่ศอฉ.เชื่อว่ายังคงมีการเคลื่อนไหวใต้ดินในบางพื้นที่ จนเป็นเหตุให้ศอฉ.ยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิกไว้ แม้จะค้านสายตาจากหลายฝ่าย

นอกจากการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ต่อไปในอีก 16 จังหวัดแล้วในการประชุมศอฉ.เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมซึ่งมี “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ นั่งหัวโต๊ะ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเยือนประเทศจีน ได้เคาะโปรเจ็กต์ตั้งค่ายทหารเพิ่มเติมในพื้นที่ภาคเหนือ

โปรเจ็กต์นี้ว่ากันว่า “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เป็นเจ้าภาพในการวางโปรเจ็กต์ทั้งหมด ก่อนชงเข้าที่ประชุมศอฉ.

โดยพล.อ.อนุพงษ์ ได้เสนอแนวความคิดที่จะขยายกำลังทหารในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ด้วยการจัดตั้ง กองพลทหารราบที่ 7 ขึ้น ใช้พื้นที่กรมรบพิเศษที่ 2 เดิม เป็นกองบัญชาการกองพล จะมีหน่วยขึ้นตรง 2 กรม คือ กรมทหารราบที่ 7 (จ.เชียงใหม่) และกรมทหารราบที่ 17 (จ.พะเยา)

มีการบรรจุอัตรากำลังพลที่เกลี่ยมาจากหน่วยต่างๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสานจำนวนเกือบ 8,000 นาย ซึ่งจะมีการเสนอของบประมาณจำนวนเกือบ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ ครม.อนุมัติงบประมาณภายในเดือน ส.ค.นี้

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสะดวกต่อการบรรจุตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 7 ในการปรับย้ายนายทหารในครั้งนี้ด้วย
สำหรับในพื้นที่ภาคเหนือ มีเพียงกองพลทหารราบที่ 4 กองพลเดียว ดังนั้นกองพลทหารราบที่ 4 จำเป็นต้องตั้งกรมทหาราบที่ 14 (จ.ตาก) ขึ้นมาใหม่อีก 1 กรม เพื่อบรรจุให้ครบตามการบรรจุอัตรากำลังพล พร้อมกับกรมทหาราบที่ 4 (จ.นครสวรรค์) เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งต่อไปนี้ในพื้นที่ภาคเหนือ จะมีหน่วยทหารเป็น 2 กองพล คือ กองพลทหารราบที่ 4 และกองพลทหารราบที่ 7 ขึ้นตรงกับกองทัพภาคที่ 3

ส่วนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 (อีสาน) จะมีหน่วยทหารกำลังหลัก ประกอบด้วย กองพลทหารราบที่ 3 และกองพลทหารราบที่ 6 ส่วนของกองทัพภาคที่ 4 จะประกอบไปด้วย กองพลทหารราบที่ 5 และกองพลทหารราบที่ 15

หากมีการจัดตั้งกรมทหารราบที่ 7 สำเร็จก็มีความแนวโน้มจะประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ภาคเหนือได้ในเร็วๆ นี้เช่นกัน จึงไม่แปลกที่ในช่วงนี้ นายกฯ มาร์ค จะออกมาแย้มถึงแนวทางยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อยู่หลายวัน

ขณะเดียวกันโปรเจ็กต์นี้กำลังจะถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า ซึ่งต้องจับตาดูเสียงตอบรับจากทุกฝ่ายว่าจะเห็นด้วยหรือไม่

โดยเฉพาะคณะกรรมการสารพัดคณะ ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อร่ายมนต์ความปรองดองจะหนุนรัฐบาลและกองทัพหรือไม่

พนิชชนะซ่อมเขต6 ถ้าแพ้สิน่าแปลกใจ!

ที่มา บางกอกทูเดย์


น่าคิด...คนที่เคยมาใช้สิทธิ์หายไปไหน
ทันทีที่นายนราธิป ภัทรวิมล ผอ.เขตคลองสามวาในฐานะประธานกกต. เขต6 แถลงผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. เขต6 อย่างไม่เป็นทางการว่า ในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ มีผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งหมด 191,598 คนจากผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด 386,660 คนคิดเป็นร้อยละ 49.55 เป็นบัตรดี180,432 ใบ คิดเป็นร้อยละ 94.17 บัตรเสีย2,931 ใบคิดเป็นร้อยละ 1.53 บัตร บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 8,235 ใบคิดเป็นร้อยละ 4.3

ผลการลงคะแนนปรากฏว่า อันดับ 1 ได้แก่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนน 96,480 คะแนนอันดับ 2.นายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ได้ 81,776 คะแนนอันดับ 3.นายนพดล ไชยฤทธิเดช จากพรรคชาติสามัคคี ได้ 709 คะแนนอันดับ 4.นายอนุสรณ์ สมอ่อน จากพรรคความหวังใหม่ ได้ 684 คะแนน5.นายกิจณพัฒน์ สามสีลา จากพรรคประชาธรรม ได้ 405 คะแนนและ 6. นายชูชาติ พิมพ์กา จากพรรคแทนคุณแผ่นดิน ได้ 378 คะแนน

แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ และนายพนิช จะมีการดีใจในชัยชนะอย่างเห็นได้ชัด แต่อีกมุมหนึ่งของสัมคมไทย ก็เกิดคำถามตามมามากมาย กับการชนะแบบไม่ได้ชนะขาดลอยในครั้งนี้

ทั้งๆที่นายพนิชเป็นตัวแทนของรัฐบาล กุมอำนาจรัฐ กุมอำนาจ พรก.ฉุกเฉินอยู่ในมือ และได้รับแรงหนุนสารพัดจากขั้วอำนาจที่หนุนหลังอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงกระทั่งอำนาจทหารด้วย

ในขณะที่นายก่อแก้ว ถูกจองจำอยู่ในคุก เพราะไม่ได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวออกมาหาเสียงอย่งจริงจังแต่อย่างใด แต่สุดท้ายนายพนิชก็ยังไม่สามารถชนะขาดลอยได้

ที่สสำคัญก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ใช้กลยุทธ์หาเสียงเรียกร้องให้มีการออกมาแสดงพลังกันมากๆ โดยให้เหตุผลว่า ถ้าผู้มีสิทธิออกเสียงมาใช้สิทธิกันน้อย พรรคประชาธิปัตย์จะเสียเปรียบ อ้างว่าจะมีคะแนนจัดตั้ง

แต่ในความเป็นจริงการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ์ต่ำกว่าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 50 เป็นอย่างมาก เนื่องจากในครั้งดังกล่าวมีผู้มาใช้สิทธิ์ 262,829 คน คิดเป็นร้อยละ 72.77 แต่ครั้งนี้มาใช้สิทธิแค่ร้อยละ 49.55

ผู้ที่เคยมาใช้สิทธิกว่าร้อยละ 22 หายไปไหน เกิดอะไรขึ้น???

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมเขต6 พรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังรับทราบผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการว่า พรรคยอมรับมติประชาชน ขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนมอบให้ ไม่ว่าผลคะแนนออกมาเท่าใด ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชน และเหตุที่เราแพ้และได้นำมาวิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะรัฐบาลยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีบรรยากาศเหมือนการเลือกตั้งทั่วไป

เมื่อวันที่23-24 ก.ค. มีกลุ่มบุคคลแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ติดตามทีมงาน สก.และสข.รวมทั้งทีมผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และหลายคนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อวันที่25ก.ค. แต่กลับพบว่าได้ถูกใช้สิทธิล่วงหน้าไปแล้ว มีการทุจริตโดยแจกสิ่งของในเขตบึงกุ่ม

นายวิชา กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่ามีเจ้าหน้าที่แต่งกายเหมือนคอมมานโด ขึ้นไปเคาะประตูในแฟลตต่างๆ เช่น เคหะรามอินทรา ซึ่งเราได้ทำหนังสือแจ้งไปยังกกต.และบชน.ไปแล้ว และยังพบว่าในช่วงเวลานอกจากเวลาหาเสียงเมื่อเย็นวันที่24ก.ค.สถานีวิทยุคลื่น 103 ของกรมประชาสัมพันธ์ พูดเป็นภาษาอีสาน ประกาศว่าอย่าไปเลือกพวกเผาบ้านเมือง พวกก่อการร้าย

เช่นเดียวกับความพยายามของรัฐบาลที่ใช้สื่อรัฐเป็นเครืองมือ โดยใช้ทีวีช่อง 11 ได้หยิบยกนำกรณีผู้เสียชีวิตจากกรณียาเสพติด บอกว่าเป็นการกระทำสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งการใช้อำนาจรัฐ อำนาจท้องถิ่น ที่เรารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมมาโดยตลอด

ที่สำคัญการที่มีการบอกว่าหากเลือกนายก่อแก้ว ก็ไม่มีผลเพราะว่าเป็นผู้ต้องขังในข้อหาก่อการร้าย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ออกมารับใช้ประชาชน ซึ่งตรงนี้มีผลต่อการเลือกตั้งเป็นอย่างมาก

นายวิชาญ กล่าวอีกว่า การวิเคราะห์ในฐานคะแนนเรายังอยู่ในฐานที่ไม่เสียเปรียบออกมาอย่างน่าเกลียด ยังถือว่าเป็นความพอใจ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอพูดในสองสถานะคือเป็นหนึ่งในทีมงานที่ได้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งและในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมชีวิต อุดมการณ์กับนายก่อแก้ว พวกเราเป็นลูกผู้ชาย ไม่ว่าผลออกมาอย่างไร เรายอมรับผลเลือกตั้ง ทุกคะแนนที่ได้มอบถือให้เป็นความยิ่งใหญ่ แม้ว่าผู้สมัคร ไม่มีโอกาสเพียงนาทีที่จะมาพบกับประชาชน การใช้อำนาจรัฐต่างๆ ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องว่าไปตามกฎหมาย แต่ชี้ให้เห็น เราต้องยอมรับ

“บ้านที่มีรั้วสูงมีการใช้กลไกดีเอสไอ มาปั้นพยานเท็จ โยงมาถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ สิ่งที่ประชาชนที่ได้รับจึงเป็นเพียงมุมเดียวเท่านั้น เราจึงไม่มีโอกาสทำความจริงให้ปรากฏในส่วนนั้น ทำได้เพียงชี้แจงในที่ที่เราไปตั้งเวทีปราศรัย ทำให้ประชาชนได้เข้าใจข้อเท็จจริง ซึ่งตรงนี้ถือว่าสำคัญมาก แต่ก็ยังทำได้เพียงแค่มุมเดียว แต่อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณประชาชนเขตเลือกตั้งที่6 ในทุกคะแนนเสียง แม้ไม่มีผลถึงขั้นให้ได้รับชัยชนะ แต่จากความยิ่งใหญ่ครั้งนี้ จะนำไปบอก นายก่อแก้ว ว่าประชาชนมอบความยิ่งใหญ่ให้ ในชีวิตมนุษย์มีแพ้ชนะเป็นธรรมดา เป็นสัจธรรม แต่สำหรับการต่อสู้เพื่อไทยยังเดินหน้าต่อไป ผลเลือกตั้งเป็นบทเรียนที่มีคุณค่า จะได้รู้ว่าครั้งหน้าจะปรับขบวนอย่างไร เมื่อผลออกมาก็ต้องน้อมรับ แต่เตรียมการต่อสู้ครั้งใหม่ ชีวิตจะไม่หยุดนิ่งการต่อสู้จะมีอยู่ในครั้งต่อไป

ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์ว่า ในแง่ของพรรคเพื่อไทยถึงแม้ว่าจะแพ้ แต่แพ้ไม่มาก ทำให้มีกำลังใจมากขึ้นว่าคะแนนพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานครยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ก็เป็นกำลังใจที่จะให้ทำงานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป แสดงว่าการส่งนายก่อแก้ว พิกุลทอง และ วิธีการหาเสียงรณรงค์ประสบความสำเร็จ

ส่วนในมุมของพรรคประชาธิปัตย์ ถึงแม้ว่าจะชนะ แต่ชนะไม่มาก ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไปต้องทำงานหนักมากขึ้น ในฐานะรัฐบาลก็จะต้องทำให้เห็นผลงานที่ชัด เพื่อดึงคะแนนเสียงให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะไม่ปลอดภัยสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป

"ผลทางการเมืองปัจจุบันคงไม่มากเท่าไหร่ แต่จะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป ได้ใจมากกว่า เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ สองฝ่ายทุ่มทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อที่จะเอามาเป็นปัจจัยสำคัญ เป็นการปลอบขวัญกำลังใจสำหรับอนาคต คนเสื้อแดงอาจมีส่วนที่ดีใจ รวมพลรวมตัวก็มีความเป็นไปได้ ถือว่าในพื้นที่กรุงเทพฯพรรคเพื่อไทยหรือการเคลื่อนไหวที่ผ่านมายืนยืนยันได้ว่าแท้จริงแล้วประชาชนยังสนับสนุนอยู่ "

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ รองศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องอ้างชัยชนะทั้งคู่ รัฐบาลก็จะแสดงให้เห็นว่านโยบายได้รับการตอบรับ ในขณะที่เพื่อไทยก็จะอ้างว่านี่ขนาดถูกจำกัดอะไรหลายอย่างยังได้ขนาดนี้ เป็นการแสดงออกถึงการระดมคนเพื่อเป็นการต่อสู้ในระดับชาติให้เห็นถึงความชอบธรรมของแต่ละฝ่าย คงจะเป็นสัญญาณทั้งสองฝ่าย คือ เสื้อแดงเป็นการระดมพล สรรพกำลังการต่อสู้ ถือว่าเป็นยกใหม่ ส่วนรัฐบาลเองก็คิดว่าคงไม่นิ่งนอนใจ เพราะคนที่สนับสนุนคนเสื้อแดงยังมีอยู่จำนวนมาก แม้ว่าจะชนะ แต่ก็ชนะไม่มากนัก

อย่างไรก็ตามหลายๆฝ่ายยังเห็นว่า การที่คนกว่า 40% ไม่ออกมาใช้เสียง น่าจะเป็นการสะท้อนสถานการร์การเมืองในปัจจุบันได้ดีกว่าผลการเลือกตั้ เพราะจริงๆแล้วผลการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องถือว่าเป็นไปตามคาด เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์กับพื้นที่กรุงเทพ เป็นความได้เปรียบมาตลอด ซ้ำกลไกของรัฐและทหาร จะย้ำความเชื่อในประเด็นที่ว่า พรรคเพื่อไทยมีจุดยืนชัดเจนในการสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ซึ่ง นปช.ถูกตั้งคำถามในเรื่องความรุนแรง จึงกลายเป็นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทย

เพราะเรื่องของความรุนแรงนั้น ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญในทางการเมืองมาตลอด พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตผู้บัญชาการทหารบก แม้ขณะนั้นจะมีอำนาจสูงมาก จนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่สุดท้ายก็อยู่ในตำแหน่งไม่ได้ เมื่อมีความรุนแรง มีประชาชนเสียชีวิต

เช่นเดียวกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำม็อบพันธมิตร ที่ถูกข้อหาพาคนไปตายในช่วงพฤษภาทมิฬ ปี 2535 ก็ไม่สามารถจะเข้ามาบนถนนการเมืองได้อีก มามีโอกาสก็เมื่อเข้าไปเป็นแกนนำให้กลุ่มม็อบพันธมิตรเท่านั้น

ดังนั้นผลเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่ได้สะท้อนว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องได้รับเสียงข้างมากในสภาฯในอนาคต เพราะโอกาสที่พรรคเพื่อไทยแม้ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ก็น่าจะยังได้เสียงข้างมากในสภาอยู่ดี

ดังนั้นการที่นายพนิช ออกมากล่าวอ้างว่าชัยชนะที่เฉียดฉิวครั้งนี้ เป็นสิ่งบอกเหตุว่าคนไทยต้องการให้บ้านเมืองกลับสู่ปกติ

รวมทั้งการที่มีการจัดฉากให้นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โทรศัพท์เข้ามาแสดงความยินดีระหว่างที่อยู่กับสื่อมวลชนนั้น อาจจะไม่ได้เป็นภาพบวกอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์คิด

เพราะคำถามที่ว่า ชนะน่ะไม่แปลก เพราะได้เปรียบซะขนาดนี้... แต่มันน่าภาคภูมิใจจริงๆหรือ

นี่ต่างหากที่นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ควรจะต้องทบทวน ว่ามาถูกทางจริงๆหรือ???

เช่นเดียวกับนายพนิชก็ควรที่จะต้องรู้อยู่แก่ใจ ว่าลึกๆแล้วชนะเพราะอะไร!!!

ธรรมะกับการเมือง

ที่มา โลกวันนี้

บทบรรณาธิการ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2848 ประจำวัน จันทร์ ที่ 26 กรกฏาคม 2010
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน


สถานการณ์บ้านเมืองในวันอาสาฬหบูชาปี 2553 กับปี 2519 แม้ระยะเวลาจะผ่านมาถึง 34 ปี แต่บรรยากาศทางการเมืองไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพราะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” กับ “6 ตุลา” ประชาชนและนักศึกษาถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม

ท่านพุทธทาสภิกขุได้บรรยายธรรมในหัวข้อ “ธรรมะกับการเมือง” ที่สวนโมกขพลาราม ซึ่งเป็นการบรรยายทุกวันเสาร์และตรงกับช่วงวันอาสาฬหบูชาวันที่ 3 กรกฎาคม ถึง 25 กันยายน 2519 รวม 11 ครั้ง โดยเน้นว่าการเมืองเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะประชาชนทุกคนเป็นนักการเมือง และทุกคนเป็นนักการเมืองโดยความรู้สึก ดังนั้น การเมืองจึงไม่อาจแยกจากธรรมะ ไม่อาจแยกจากศีลธรรม

“ธรรมกับการเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไรการเมืองก็กลายเป็นการทำลายโลกขึ้นมาทันที”

ท่านพุทธทาสภิกขุยังใช้คำว่า “อิสรภาพในการใช้สติปัญญาแก้ปัญหา” หรือ “อิสรภาพในการตัดสินใจ” ไม่ใช่ปล่อยให้เกิด “ภาวะจำเป็นต้องทิ้งธรรมะ” ที่เป็น “การตกอยู่ในห้วงของความกลัว”

“นักปราชญ์การเมืองแต่โบราณขอร้องให้ทุกคนเป็นสัตว์การเมือง (Political animal) คือมีหน้าที่สนใจการเมือง ร่วมกันจัดสังคมให้อยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่คนสมัยนี้ทำได้มากเกินไป ขนาดที่เรียกว่าการเมืองขึ้นสมอง แล้วใช้การเมืองนั้นเองเป็นเครื่องมือกอบโกยหรือฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ดังนั้น แทนที่การเมืองจะตั้งอยู่ในฐานะเป็นเรื่องศีลธรรม ก็กลายเป็นเรื่องอุปัทวะจัญไรในโลกไปเสีย”

ท่านพุทธทาสภิกขุจึงเห็นว่า โดยปรัชญาทางศีลธรรมแล้วการเมืองก็คือหน้าที่ของมนุษย์ ที่จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอันเฉียบขาด เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกโดยไม่ต้องใช้อาชญา ถ้าไม่มีการคำนึงถึงศีลธรรม การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรกสำหรับหลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต จนกระทั่งโลกนี้กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวง

“มีแต่สัตว์การเมืองที่เป็นสัตว์เอาเสียจริงๆ กล่าวคือบูชาเรื่องกิน-กาม-เกียรติแทนสันติสุข”

การเมืองที่แท้จริงจึงต้องตั้งอยู่บนรากฐานทางศาสนาทุกศาสนา เพราะ “สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”

นักการเมืองที่มีธรรมสัจจะย่อมเป็นนักการเมืองของพระเจ้า ซึ่งการเคลื่อนไหวทุกกระเบียดนิ้วจะมีแต่บุญกุศล จนกระทั่งกลายเป็นปูชนียบุคคลไป

ไม่ใช่ถูกประณามว่าเป็นทรราชหรือเผด็จการ “มือเปื้อนเลือด”

บึ้มหน้าบิ๊กซีราชดำริบาดเจ็บ9คนประชาชนวิ่งหนีตายโกลาหล

ที่มา โลกวันนี้

เรื่องจากปก
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2848 ประจำวัน จันทร์ ที่ 26 กรกฏาคม 2010
โดย -

เกิดระเบิดที่ป้ายรถเมล์หน้าห้างบิ๊กซีราชดำริ แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากถึง 9 ราย เจ้าหน้าที่ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลอย่างโกลาหล ประชาชนแตกตื่นวิ่งหนีตายกันอลม่าน ตรวจรายชื่อผู้บาดเจ็บเป็นคนไทย 8 ราย ชาวพม่า 1 ราย ตำรวจคาดคนร้ายใช้ระเบิดแสวงเครื่อง และครั้งนี้มุ่งถึงเอาชีวิตไม่ได้ทำเพื่อข่มขู่เหมือนที่ผ่านมา

เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. วันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณป้ายรถเมล์หน้าห้างบิ๊กซีราชดำริ เบื้องต้นพบมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 9 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ประชาชนแตกตื่นวิ่งหนีตายกันอลม่าน ขณะที่หน่วยกู้ภัยได้เร่งนำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลจุฬาฯ และโรงพยาบาลหัวเฉียวเพื่อทำการรักษา

สำหรับรายชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บประกอบด้วย นายสมชาย เอี่ยมประชา, นายสมใจ พันทิมา, นางสาวชานุ สัญชาติพม่า, นายป่วน พรนิเทศ, นายวีรศักดิ์ แซ่แต้, นายธวัชชัย ทองมาก, นางสาวมุฒิตา เฉลิมประพาส, นายบุญเรือง แก้วสมบัติ และนายปวร พรนิเพท

พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (ผบก.น.5) ระบุว่า ตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลลุมพินีกำลังเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ยังไม่สามารถระบุได้ว่าระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นระเบิดชนิดใด

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่พบเศษตะปู เศษแก้ว และถุงขยะที่คาดว่าน่าจะเป็นถุงที่คนร้ายบรรจุระเบิดมาวางไว้ สันนิษฐานว่าระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นระเบิดแสวงเครื่อง ซึ่งมุ่งหมายทำร้ายถึงชีวิต ไม่ใช่การข่มขู่เหมือนระเบิดหลายครั้งที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของห้างบิ๊กซีราชดำริเป็นของภรรยานายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 6 กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้ง และการระเบิดครั้งนี้ยังเป็นการระเบิดในช่วงที่มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมากขึ้นเรื่อยๆ

‘อัมสเตอร์ดัม’ท้าดีเบตปกขาว

ที่มา โลกวันนี้

เรื่องจากปก
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2848 ประจำวัน จันทร์ ที่ 26 กรกฏาคม 2010
โดย -


“โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม” โวยรัฐบาลไทยห้ามเข้าประเทศเป็นการจำกัดสิทธิในการต่อสู้คดีของคนเสื้อแดง เตรียมเจรจาให้ยกเลิกคำสั่ง ซัดใช้กฎหมายและสื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของกระบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเนื้อหาในสมุดปกขาว ลั่นพร้อมดีเบตกับคนของรัฐบาลทุกคนแต่ต้องอยู่ใต้เงื่อนไขกฎหมายระหว่างประเทศ โฆษกประชาธิปัตย์โต้บิดเบือนเนื้อหา จี้แก้ไขข้อความในหน้า 20 ที่เข้าข่ายจาบจ้วงเบื้องสูง “เทพไท” ด่ากราดมีแต่พวกกินหญ้าเท่านั้นที่อ่านแล้วเชื่อ คนกินข้าวอ่านแล้วรู้ว่าจ้องดิสเครดิตรัฐบาล อัด “ทักษิณ” ขี้ขลาดตาขาวจ้างฝรั่งเคลื่อนไหวในต่างประเทศ เพื่อให้ประเทศที่อยู่ห่างไกลข้อมูลข่าวสารได้รับข้อมูลผิดๆ

นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ถึงผู้อ่านสมุดปกขาวเรื่อง “การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ” ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ http://robertamsterdam.com/thai/ ระบุว่า การที่รัฐบาลไทยสั่งห้ามตนและทีมงานที่เชี่ยวชาญเรื่องอาชญากรสงครามเดินทางเข้าประเทศถือเป็นการทำลายสิทธิที่จะแก้ต่างทางคดีความให้กับคนเสื้อแดงที่เป็นลูกความ จึงจะใช้ความพยายามในการเจรจาทางการทูตเพื่อให้รัฐบาลไทยสั่งห้ามการเดินทางเข้าประเทศ

ซัดไทยใช้กฎหมาย-สื่อเป็นเครื่องมือ

“รัฐบาลไทยกำลังพยายามใช้กฎหมายและสื่อเป็นเครื่องมือในการลดทอนความสำคัญของเนื้อหาในสมุดปกขาว ที่ถูกแปลเป็นหลายภาษาและเผยแพร่ไปทั่วโลก ผมพร้อมที่จะดีเบตเนื้อหาในสมุดปกขาวกับตัวแทนรัฐบาลไทยทุกคนบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ” นายอัมสเตอร์ดัมกล่าวและว่า นอกจากรัฐบาลไทยจะพยายามลดทอนความน่าเชื่อถือของเนื้อหาในสมุดปกขาวแล้ว ยังกระทำการเพื่อลดทอนความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงด้วย

สมุดปกขาวผู้เชี่ยวชาญช่วยกันเขียน

นายอัมสเตอร์ดัมระบุอีกว่า เนื้อหาสาระในสมุดปกขาวถูกร่างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญหลายคน ซึ่งรวมถึงผู้เชี่ยวชาญของไทยเองด้วย อย่างไรก็ตาม หากเนื้อหาถูกระบุว่ามีความผิดก็พร้อมที่จะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เนื่องจากประเทศไทยยังถูกปกครองด้วย พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค แถลงว่า ขอเรียกร้องให้นายอัมสเตอร์ดัมและพรรคเพื่อไทยไปดูเนื้อหาในสมุดปกขาวที่มีข้อความบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เพราะมีข้อความบางช่วงที่พาดพิงไปถึงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นการไม่บังควร

ปชป. จี้ถอด-แก้ข้อความหน้า 20

“พรรคประชาธิปัตย์ขอเรียกร้องให้ถอดเนื้อหาในหน้าที่ 20 ออกเพราะมีเนื้อหาพาดพิงสถาบันเบื้องสูง ที่มีการนำพระราชดำรัสเมื่อเดือน เม.ย. 2549 มาผูกโยงกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และเนื้อหายังระบุว่าพระองค์ท่านรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า หากพรรคเพื่อไทยและทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้ประเทศเกิดความปรองดองต้องช่วยกันปกป้องสถาบันเบื้องสูง เพราะหากไม่มีการถอดข้อความออกหรือไม่มีการแก้ไขจะทำให้สังคมโลกเข้าใจผิดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขได้

“เทพไท” จวกดิสเครดิตรัฐบาล

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตำหนิพรรคเพื่อไทยว่า ฉวยโอกาสดิสเครดิตรัฐบาลที่ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที โดยอ้างข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน

“นายกรัฐมนตรียืนยันชัดเจนว่าพร้อมตอบสนองข้อเสนอของ คปร. แต่การจะยกเลิกต้องอยู่บนพื้นฐานของความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย โดยเฉพาะความร่วมมือจากพรรคเพื่อไทยที่ยังให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงอยู่ตลอดเวลา วันนี้ได้แต่พูดกันว่าให้ยกเลิก พ.ร.ก. เพื่อสร้างความปรองดอง แล้วทำไมไม่ยุติการเคลื่อนไหวเสียก่อนที่จะยกเลิก พ.ร.ก.” นายเทพไทกล่าวและว่า พรรคเพื่อไทยกำลังตีสองหน้า ด้านหนึ่งออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกด้านหนึ่งก็สนับสนุนการเคลื่อนไหวนอกสภาโดยให้คนของพรรคไปเข้าร่วม หรืออย่างกรณีการจัดนิทรรศการ 7 วัน 7 ความเจ็บปวดก็มีเป้าหมายทางการเมืองทั้งสิ้น

ชี้ใช้เหตุการณ์ราชประสงค์ขยายผล

“ยังมีความพยายามนำเหตุการณ์ที่ราชประสงค์มาขยายผลทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดนิทรรศการและการตระเวนปราศรัยที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นการนำความเท็จไปปลุกระดมเพื่อให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาล เป็นการให้ข้อมูลเพียงด้านเดียวเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเองโดยไม่สนใจว่าจะเกิดความแตกแยกขึ้นภายในชาติ” นายเทพไทกล่าวพร้อมระบุว่า การจัดนิทรรศการและการเดินสายปราศรัยเป็นการแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้รักเงินของนายใหญ่มากกว่ารักประเทศ ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับที่คนเสื้อแดงหลายกลุ่มแย่งกันจัดงานวันคล้ายวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อเอาหน้าและแสดงความภักดี ส่วนการโฟนอินเข้ามาพูดคุยของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆ คือระบายอารมณ์ว่าถูกกลั่นแกล้งและให้ความหวังลมๆแล้งๆกับประชาชน ทั้งที่ปัญหาของตัวเองก็ยังแก้ไม่ได้ ยังเอาตัวไม่รอดเสียด้วยซ้ำ

ยันรัฐบาลพร้อมรับการตรวจสอบ

นายเทพไทยังระบุถึงสมุดปกขาวของทนาย พ.ต.ท.ทักษิณว่า รัฐบาลจำเป็นต้องชี้แจงความจริงกับประชาชน ไม่ใช่ตื่นตูมกลัวว่าความจริงจะถูกเปิดเผยอย่างที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหา รัฐบาลไม่เคยกลัวความจริง พร้อมรับการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา พ.ต.ท.ทักษิณต่างหากที่กลัวความจริง ขี้ขลาดตาขาว ว่าจ้างฝรั่งตาน้ำข้าวเคลื่อนไหวในต่างประเทศเพื่อให้ประเทศต่างๆที่อยู่ห่างไกลข้อมูลข่าวสารได้รับข้อมูลผิดๆ

มีแต่พวกกินหญ้าเชื่อสมุดปกขาว

“ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนที่กินข้าวได้อ่านหนังสือปกขาวฉบับดังกล่าวตั้งแต่ต้นจนจบก็จะมีความรู้สึกได้ทันทีว่านี่คือกระบวนการดิสเครดิตรัฐบาล ทำร้ายประเทศชาติ จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง เว้นแต่คนที่กินหญ้าบางกลุ่มเท่านั้นที่อ่านแล้วหลงเชื่อ” นายเทพไทกล่าว

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ว่ายังมีประชาชนและเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งเชื่อว่าสถานการณ์ในหลายพื้นที่ยังไม่น่าไว้วางใจ จึงยังไม่สามารถยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้งหมดได้ ส่วนที่ระบุว่าการใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปกระทบต่อสิทธิต่างๆก็เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะประชาชนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดแทบไม่ได้รับผลกระทบจากการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเลย

ยังจำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป

“ผมจะเร่งรัดทบทวนพื้นที่ต่างๆที่มีภาวะฉุกเฉินอยู่ทั้ง 16 จังหวัด และจะดำเนินการทยอยยกเลิกตามความเหมาะสมโดยเร็วต่อไป หลายคนอาจบอกว่ายกเลิกไปก่อน หากมีปัญหาค่อยประกาศใหม่ แต่การทำเช่นนั้นจะกระทบกระเทือนต่อความมั่นใจ หากเราสามารถบริหารจัดการไม่ให้เกิดเหตุได้จะดีที่สุด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค กล่าวว่า รัฐบาลยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 16 จังหวัดทั้งที่ไม่มีสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงอยู่น่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะว่าการยกเลิกบังคับใช้นั้นกฎหมายมีข้อกำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่ได้ให้เป็นดุลยพินิจของนายกรัฐมนตรี

ชี้นายกฯละเมิดกฎหมายฉุกเฉิน

“กฎหมายเขียนเอาไว้ชัดเจนว่าเมื่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงสิ้นสุดลงแล้วต้องประกาศยกเลิกทันที ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแล้วว่าสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงยุติมาร่วม 2 เดือนแล้ว หลัง 19 พ.ค. ก็ไม่ปรากฏเหตุร้ายแรงใดๆ นายอภิสิทธิ์ต้องประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่ามาอ้างว่ายังมีสถานการณ์ดังกล่าวอยู่ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองให้รัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกต่อไป เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายพิเศษ ต้องใช้อย่างจำกัดเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะละเมิดสิทธิของประชาชน การที่นายอภิสิทธิ์อ้างว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ละเมิดสิทธิของประชาชนเป็นการพูดแบบไม่ละอายใจ เหมือนกับเป็นผู้นำรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

ห่วงแต่ความมั่นคงของรัฐบาล

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า การที่ประชาชนและทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและนานาชาติ รวมถึงผู้ใหญ่อย่างนายอานันท์ ปันยารชุน เรียกร้องให้รัฐบาลเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่นายอภิสิทธิ์กลับเฉไฉ เบี่ยงเบนประเด็น ไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังเสพติดอำนาจ โดยคิดแต่ความมั่นคงของรัฐบาลมากกว่าที่จะคำนึงถึงความมั่นคงและสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ถูกละเมิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่อาศัยอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำประเทศควรรับฟังเสียงเรียกร้องของประชาชนและองค์กรต่างๆ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง โดยประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันทีในทุกพื้นที่ทั้ง 16 จังหวัดโดยไม่มีเงื่อนไข

แพ้จริงๆครับ ทั้งการเลือกตั้ง ทั้งสงครามสื่อ

ที่มา pantip.com

จากคุณ : ดาวเหิน

เมื่อวานมีโอกาสได้ไปงานสังสรรเพื่อนสมัยเรียน
ได้รับรู้ว่า การออกสื่อข้างเดียวของรัฐได้ผลอย่างยิ่ง
เพราะมันทำให้

ส่วนมากเชื่อว่า ทหารยิงไปร้อยศพ กับบาดเจ็บนับพัน เพื่อ ป้องกันตัว
(ทั้งๆที่ คนที่ตายคนเจ็บ ไม่มีอาวุธซักคน
ทหารเห็นพวกติดอาวุธ แต่ยิงพลาดหมดโดนแต่คนมือเปล่า?
หรือว่า ไม่มีพวกติดอาวุธ แต่ทหารยิงมันดะ?)

ส่วนมากเชื่อว่า คนที่ตาย ไม่ได้ถูกทหารยิง
(ทั้งๆที่ ทหารเกือบแสนยึดพื้นที่ไว้หมด
และทั้งๆที่ ทหารมีอาวุธครบมือ เบิกกระสุนมาเป็นล้านๆนัด
ไอ้ที่ตายเป็นร้อย เจ็บหลายพัน ไม่ใช่กระสุนทหารซักนัด?)

ไหนจะผลการเลือกตั้งอีก



แต่เชื่อไหมครับว่า อภิสิทธิ ที่ได้เปรียบมากมายขนาดนี้แล้ว
ก็ยังไม่กล้ายุบสภาเลือกตั้งใหม่
ทำไมใจมดขนาดนั้น ผมก็ไม่เข้าใจ

ดวงท่านทักษิณ ชินวัตร..ย่างเข้าปีที่ 62

ที่มา ประชาไท

by astute



Uploaded with ImageShack.us

เมื่อช่วงอายุย่าง ๖๑ ปีที่ผ่านมา
ของท่านทักษิณ ชินวัตร ได้เกิดความผิดพลาดในการออกคำพยากรณ์ของดิฉัน
เพราะเห็นว่าดาวพฤหัส(๕)เป็นมนตรีจร
และเป็นปัสวะเกณฑ์กับลัคน์ที่ราศีพฤษภ(ในช่วงที่พฤหัสอยู่ที่ราศีกุมภ์)
พฤหัสนั้นเป็นดาวมูละเดิมของเจ้าชะตา
มูละนั้นหมายถึง บ้าน ที่อยู่ที่อาศัย หลักฐานฐานะ อสังหาริมทรัพย์
เมื่อเป็นมนตรีจรจึงให้คุณแก่เจ้าชะตา มีหลักฐานฐานะ ได้ถิ่นที่อยู่ใหม่ ที่ดี,
ดิฉันจึงออกคำพยากรณ์ไปว่า
คุณทักษิณจะต้องได้กลับบ้านอย่างแน่นอน
โดยลืมพิจารณาดาวร้ายบาปเคราะห์
ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าดาวพฤหัสศุภเคราะห์ คือ ดาวราหู(๘)
ซึ่งเป็นกาลกิณีจรมาจากภพพันธุของตนุเศษ
อันภพพันธุนั้นย่อมหมายถึงญาติวงศ์พงษาและถิ่นกำเนิด
เมื่อเป็นกาลกิณีจร
นอกจากจะมีปัญหาอันเนื่องมาจากญาติพี่น้องแล้ว
จึงหมายถึงถิ่นกำเนิดด้วยนั่นเอง
เมื่อไม่ได้พิจารณาดวงจรตรงจุดนี้ให้ถี่ถ้วน
จึงเกิดข้อผิดพลาดในการพยากรณ์ขึ้น
ซึ่งดิฉันขอน้อมรับไว้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ
และจะได้จดจำไว้เป็นสถิติ เป็นบทเรียนในการพยากรณ์ครั้งต่อๆไป…..

หลังจากวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓
คุณทักษิณจะมีอายุครบ ๖๑ ปี ย่างเข้าปีที่ ๖๒
อายุตกภูมิอาทิตย์ (๑)
ดาวเดชเดิมคือดาวพุธ(๔)เป็นศรีจร
ดาวราหู(๘) บาปเคราะห์ใหญ่
ซึ่งเป็นกาลกิณีจรเมื่อช่วงที่ผ่านมา(ช่วงอายุย่าง ๖๑ ปี)
ก็จะกลายเป็นมนตรี
ราหูนี้เป็นดาวอุตสาหะเดิม หมายความว่าการกระทำ
หรือความพยายามใดๆที่ปีที่แล้วไม่เป็นผล
ปีนี้จะกลับกลายเป็นให้คุณแก่เจ้าชะตา
(หมายถึงหลังจากวันเกิด ๒๖ กรกฏาคม ๒๕๕๓)

นอกจากนี้ดาวราหู(๘)ยังมาจากภพพันธุของตนุเศษ หมายถึง
ญาติพี่น้อง, ความขัดแย้งหรือปัญหาใดๆที่มาจากญาติจึงคลี่คลายลงได้

ดาวพฤหัสจรก็ยังอยู่ที่ราศีมีนเป็นเกษตร ภพลาภะของลัคนา สัมพันธ์ดีกับตนุเศษ
รายได้ของที่มาจากทรัพย์ในดินจึงไหลมาเทมาอย่างมหาศาล
เพราะพฤหัสมาจากเรือนกดุมภะ(หมายถึงการเงิน)
และพฤหัสนั้นเป็นธาตุดิน และยังจรอยู่ที่ราศีมีนไปจนถึงต้นปี ๒๕๕๔
ในช่วงระยะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงระยะดังกล่าวจึงให้คุณเต็มที่
ถึงแม้ว่าดาวราหู(๘)ยังไม่ย้ายจากราศีธนูตรึงอยู่ในภพกดุมภะ(การเงิน)
ของตนุเศษก็ตามแต่ก็ไม่ได้มีสถานะที่เสียมากมายอะไรนัก
ยกเว้นความเป็นดาวบาปเคราะห์ที่ให้โทษ
ในลักษณะราหูค้นทรัพย์เท่านั้นเอง(อยู่ในภพที่ ๒ ภพการเงิน)
ไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับเมื่อช่วงอายุปีที่ผ่านมา
ซึ่งความเป็นกาลกิณีจรของดาวอุตสาหะเดิม
ทำให้ต้องเสียทรัพย์ก้อนโตอย่างที่ไม่ควรเสีย
นอกเหนือไปจากการถูกอายัดทรัพย์สินอย่างที่เป็นข่าวที่ผ่านมา

ว่าที่จริงแล้ว ถ้าจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา
ดวงของคุณทักษิณ ชินวัตร กับดวงเมืองกรุงเทพฯ
ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นดวงประเทศไทยนั้น ไม่ได้สัมพันธ์
หรือสมพงษ์กันเท่าใดนัก
เพราะดวงเมืองฯ ดาวพฤหัส(๕) (หมายถึงผู้ปกครองหรือผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศ)
ร่วมกับดาวกาลกิณีอยู่ หมายความว่า
ผู้ที่จะปกครองประเทศได้อย่างยาวนาน
ไม่ว่าจากอดีตหรือปัจจุบันล้วนมีวิธีการปกครองแบบครึ่งพระครึ่งโจรทั้งสิ้น
ผู้ปกครองคนดีๆจึงหาได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

ยิ่งเมื่อดวงเมืองเข้าวัยราหู
ซึ่งเป็นวัยบาปเคราะห์ร่วมกับดาวศุกร์
ซึ่งเป็นกาลกิณีแก่พื้นดวงเดิมด้วยแล้ว
ดวงประเทศที่ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ทำให้ผู้นำประเทศที่ดีๆมีอันต้องระเหเร่ร่อนไป

หากต้องการผู้ปกครองที่สามารถนำพาประเทศไปสู่ความศิวิไลซ์อย่างแท้จริง
ก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงชะตาเมืองอย่างขนานใหญ่
และมีความเป็นไปได้ในช่วงวัยราหู ( ๒๒๕ – ๒๓๓ ปี ๔ เดือน ) นี่แหละ
เพราะถือว่าดวงเมืองตกต่ำอย่างสุดขีดแล้ว
ช่วงที่รัฐประหาร ๑๙ กย. ๒๕๔๙ ก็เป็นช่วงที่ย่างเข้าปีที่ ๒๒๕ ของดวงเมือง
หลังจากนั้นรัฐบาลขุนทหารภายใต้การนำของอมาตยาก็ตีปีกกันได้อยู่เพียงระยะเดียว
หลังจากวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๐ ดวงเมืองก็เข้าสู่วัยราหูเต็มๆ จมดิ่งสู่ความหายนะ

สำหรับรายละเอียดต่อจากนี้ (ดวงเมืองครึ่งหลังปี 53)
ดิฉันขอยกเอาไปเขียนเป็นวันสุดท้าย ส่งท้ายวันอำลาประชาไทนะคะ

astute

สุขสันต์วันเกิดค่ะ ท่านทักษิณ ชินวัตร















Uploaded with ImageShack.us http://imageshack.us/

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดท่านผู้นำในดวงใจ
ขอให้มีแต่สิ่งดีๆกับทุกๆท่านนะคะ

เสื้อแดงเบิร์ธเดย์ทักษิณนอกเขตฉุกเฉินที่เยอรมัน

ที่มา Thai E-News


Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า

โดย Rojana Treiling รายงานจากเยอรมนี
26 กรกฎาคม 2553







เนื่องในวันครบรอบวันเกิด

62ปี ของนายกฯทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในดวงใจของประชาชน

ชาวบ้านคนไทยในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

แสดงกตเวที ด้วยการระลึกถึง

และทำบุญอุทิศส่วนกุศลร่วมกัน ณ แคว้น ไรน์แลนด์ฟาลซ์

โดยคุณ"แดงแจ๊ด"บริการเอื้อเฟื้อสถานที่

และเป็นศูนย์อำนวยการประกอบกิจกรรม

มีหลายกลุ่มจากแคว้นต่าง ๆ มาร่วมทำบุญ

บางคนทำเค้กผลไม้หน้าร้อนมาร่วมอวยพร

บางกลุ่มเดินทางไกลมาจากเมือง ฮัมบวร์ก ภาคเหนือสุด

บางคนเดินทางมาจากนครเบอร์ลินตั้งแต่วันเสาร์

ล้วนจุดหมายเดียวกัน มาร่วมกัน

ตั้งจิตอธิษฐานอวยพรวันเกิดแด่ท่าน นายกฯทักษิณ ชินวัตร

หลังจากนี้ทัวร์นกขมิ้นแดงแจ๊ด

นปช.สัญจร ก็ได้ฤกษ์ พบกันที่ (Marienplatz) ประเทศเยอรมนี

ในโอกาสนี้ขอเชิญชวนเสื้อแดงไทยในยุโรป

เรามีนัดวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม เวลา 16.00น.เป็นต้นไป

สอบถามรายละเอียดเข้าร่วมงานได้ที่ คุณแดงแจ๊ด 0151/51232320

"ชนบทไทย" ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ?

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ



เมื่อเร็ว ๆ นี้ "ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร"
อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นำเสนองานวิจัยศึกษา เรื่อง "จุดเปลี่ยนชนบทไทย"

ความน่าสนใจของงานวิจัยทีม ดร.ยุกติก็คือ การเปิดโฉมหน้าชนบทไทย ที่ทีมวิจัยเรียกว่า "ชนบทใหม่"

ดร.ยุกติเปิดภาพว่า "ชนบทใหม่" มีตัวแบบหลายตัวแบบ
แต่ตัวแบบที่ถูกพูดถึงมากในสังคมไทยก็คือ ตัวแบบชุมชนท้องถิ่น
ที่อาจจะมองว่าชนบทถูกทุนนิยมทำลาย หรือสูญเสียพลังท้องถิ่นดั้งเดิม

อีกแบบคือ ชุมชนท้องถิ่นอุปถัมภ์ ซึ่งจะพ่วงมาด้วยความคิดทางการเมือง เช่น
การเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้งผู้อุปถัมภ์ไม่ใช่การเลือกตั้งผู้แทนฯ
แล้วการเลือกตั้งไม่สะท้อนนโยบายแต่เป็นการเลือกบุคคล เลือกพรรคมากกว่า

แต่ปัจจุบัน หลังพฤษภาคม 2535 และหลังรัฐธรรมนูญ 2540 กระทั่งการนำมาสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่
หลังการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา ทีมวิจัยมองว่าเราไม่สามารถเข้าใจ ด้วยตัวแบบเก่า ต่อไป
เพราะตัวแบบชนชั้นกลางเดิมที่เราเข้าใจ ไม่สามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงในช่วงหลังได้อีกต่อไป

ฉะนั้น งานวิจัยสรุปว่าการเมืองไทยหลังพฤษภาคม 2535 เกิดชนชั้นกลางเก่า
ซึ่งเป็นฐานมวลชนของคนเสื้อเหลือง ส่วนชนชั้นกลางใหม่เป็นฐานมวลชนของคนเสื้อแดง

อาจารย์ยุกติชี้ว่า ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ชนบทใหม่มีลักษณะท้องถิ่นนิยมกับการเมืองไทยเกิดขึ้น

ฉะนั้น เราไม่สามารถมองข้ามได้ว่า
พรรคการเมืองหรือนโยบายของพรรค การเมือง ไม่มีผลกับชีวิตของผู้คน มีผล
แต่มีผลเป็นหย่อม ๆ (เท่านั้น) แต่ถามว่า ใครคือชนชั้นกลางที่ว่านี้
คำตอบก็คือ เป็นคน "ยอดหญ้า" ไม่ใช่รากหญ้า หรือไม่ใช่เป็นคนที่จน
แต่คนกลุ่มนี้มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ถูกกระทำ ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ซึ่งไม่ใช่เป็นประเด็นเศรษฐกิจ แต่เป็นประเด็นด้านการเมือง
ผมใช้คำว่า ประชดตนว่าเป็น "ไพร่" แต่หลายคนไม่ได้เป็นไพร่ในความหมายที่แท้จริง

ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการก็คือ ชนชั้นกลางใหม่
จริง ๆ แล้วเป็น "พลเมืองโลกในหมู่บ้าน" อย่างที่ ศ.ชาร์ลส์ คายส์ ให้ความหมายไว้ ซึ่งก็คือ
เขายังมีลักษณะเชิงท้องถิ่น มีความผูกพันกับท้องถิ่นอยู่
แต่เขามีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกมากขึ้น
และไม่ใช่โลกเฉพาะที่อยู่ในเมือง เท่านั้น แต่เป็นโลกที่ไกลออกไปด้วย

อาจารย์ยุกติสรุปว่า ฉะนั้น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนของ "ชนบทใหม่"
ขณะที่พลวัต ทางเศรษฐกิจและการเมืองท้องถิ่นได้เปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจการเมืองให้กับคนในชนบทมากขึ้น
และต้องการการเมืองของการเลือกตั้ง
โดยไม่แบ่งสีที่สำคัญ ชาวชนบทไม่สามารถกลับไสูดอากาศประชาธิปไตยน้ำเน่าได้อีกต่อไป หมายความว่า
การเมืองที่ผ่านมา อย่างน้อยในช่วงรัฐธรรมนูญ 2540 ได้ให้อากาศแบบใหม่กับคนในชนบท
เพราะการเมืองระบบเลือกตั้งได้สถาปนาตัวเอง เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ในท้องถิ่นไปแล้ว
ซึ่งอาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อ่านงานวิจัยของผมแล้วบอกว่า "ไม่เชื่อว่ามีชนบทไทยอีกต่อไปแล้ว"

บุญส่ง ชเลธร การกลับมาของปีกแดงในดงเหลือง "ผมไม่มีประสบการณ์เล่นเกมการเมือง"

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

สัมภาษณ์พิเศษ



การกลับมาของปีกแดง อดีต 1 ใน 13 กบฏเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 14 ตุลา 2516

ย่อมมีเพื่อนพ้องน้องพี่อยู่ในสังกัด 2 ขั้ว 2 ค่าย ทั้งสีแดง-สีเหลือง

ทั้งฝ่าย นปช.และฝ่ายพันธมิตร

บุญส่ง ชเลธร เพิ่งได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมทางการเมืองไทยได้ 3 สัปดาห์ หลังจากใช้ชีวิตในสวีเดน 30 ปี

ประสบการณ์ส่วนตัวในต่างแดน ทำให้ "บุญส่ง" รู้สึกคุ้นเคยกับเค้าโครงเศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการ

หลังจากตระเวนไปพบเพื่อน-ปีกแดง "วีระ มุสิกพงศ์" ที่เรือนจำ
และเข้าไปที่พรรคเพื่อไทยเพื่อสนทนากับ "สมาน เลิศวงศ์รัฐ" อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน

เขาเปิดใจกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ทั้งเรื่องเพื่อน-การเมือง และพันธะแห่งมิตร

- ในฐานะที่มีเพื่อนอยู่ 2 ขั้ว มองความหวังเรื่องแผนปรองดองของรัฐบาลอย่างไร

ในแง่ของความเป็นเพื่อน ก็แยกเป็นเรื่องหนึ่ง
เพราะผมมีเพื่อนทั้ง 2 ฝ่าย แต่ไม่อยากตัดสินเรื่องความถูกต้อง
เพราะมีการพูดมาเยอะแล้ว อยากให้สถานการณ์คลี่คลายเอง

แต่การปรองดอง หมายถึงทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมปรองดอง
สถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันการปรองดองอย่างเป็นนามธรรมแบบนี้คงไม่สำเร็จ

ต้องทำให้ความจริงปรากฏจะรู้ว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ถ้าเห็นความจริงแล้วก็มีโอกาสเกิดความปรองดอง

- แต่ความจริงการต่อสู้ของแต่ละฝ่ายอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน

ใช่...เป็นเรื่องนามธรรม ความจริงของทั้ง 2 ฝ่ายไม่เหมือนกัน
ความจริงของอีกคนหนึ่งอาจจะเป็นความเท็จของอีกคนหนึ่ง

แต่ผมและคนอีกจำนวนไม่น้อย
ก็ไม่ได้ไปมีส่วนร่วมในการกระพือให้เกิดความ ขัดแย้ง ให้มากไปกว่านี้
ในสังคมไทยมีคนต้องการความสงบสุขมากมายมหาศาล
คนเหล่านี้ต้องมาช่วยกันสร้างบรรยากาศใหม่ขึ้นมา

- เป็นความขัดแย้งรุนแรงเพราะผลประโยชน์ขัดกัน ไม่ใช่เพียงคิดต่างกัน

ผมคิดว่าต้องมีไม้บรรทัดวัด ต้องมีกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายมาเป็นตัวพิจารณา
แม้กฎหมายบางข้อ จะมีปัญหา แต่ถ้าเอาคนมาเถียงกัน
เรื่องอันไหนถูกอันไหนผิด ก็นั่งเถียงกันไม่จบ
ผมเชื่อในระบบกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม เพียงแต่ผู้รักษากฎหมายต้องรักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด

ส่วนที่ถูกมองว่า 2 มาตรฐานนั้นเป็นเพราะคนไม่รักษากฎหมายมากกว่า
ตอนนี้ทั้ง 2 ฝ่ายมีคำอธิบายหมดแล้ว
ถ้าผมโดดไปคลุกด้วยก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ในส่วนผมก้าวข้ามจุดนั้นแล้ว

ในต่างประเทศ เช่น สวีเดน เวลาเดินขบวนเขาไม่ได้กดดันเอาชนะรัฐบาล
เพราะอำนาจรัฐมาอย่างถูกต้อง มาจากการเลือกตั้งอยู่แล้วไม่มีการซื้อเสียงขายเสียง
เพราะฉะนั้นเขามั่นใจในอำนาจรัฐ
และเขาเชื่อมั่นว่าเขาเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้ในการเลือกตั้งสมัยต่อไป

- การชุมนุมในเมืองไทย ไม่ว่าฝ่ายไหนก็อ้างการสูญเสียชีวิตคนในการต่อสู้

คนไทยคิดเรื่องเกมแพ้-ชนะสูงมาก ทุกฝ่ายก็จะอ้างความสูญเสียนี้เพื่อมา ปลุกระดมต่อ

- เตรียมเข้าสู่ระบบการเมืองโดยการลงเลือกตั้งในฐานะสมาชิกพรรคการเมืองใหม่

ผมไม่มีประสบการณ์เรื่องเล่นเกมการเมือง...
ผมเห็นด้วยอย่างสูงมากกับคำวิจารณ์เรื่องการเมืองเก่าว่านักการเมืองไร้จริยธรรม น้ำเน่า ซื้อเสียง
เข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ดูถูก เหยียดหยามประชาชน
ผมเห็นด้วยว่า การเมืองต้องมีการปรับปรุงแก้ไข

- พรรคการเมืองใหม่ถูกมองว่าปกป้องโครงสร้างอนุรักษนิยมระบบเก่า

ปัญหาคือทุกพรรคก็โดนวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามเหมือนกันหมด
ไม่มีพรรคที่บริสุทธิ์ผุดผ่องโดยไม่มีคำวิจารณ์
แต่มันอยู่ที่ตัวเรามากกว่าว่าเรามีความ เชื่ออย่างไร สามารถผลักดันอะไรได้
และผมเชื่อว่าผมผลักดันอะไรได้พอ สมควร

- มองการเมืองไทยกำลังเดินมาถึงจุดไหน

จุดชุลมุน รออีกนิดหนึ่ง ผมไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฝุ่นตลบขนาดนี้
สมัยก่อนตอนหนุ่ม ๆ ก็พูดกันว่า
อำนาจรัฐมาจากปากกระบอกปืน แต่สมัยนี้ มาถึงวันนี้ มันไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องแล้ว

ในอดีตไม่ซับซ้อนเท่าสมัยนี้ ช่วงนั้น (ยุค 14 ตุลา) ประชาชนต่อสู้กับทหารชัดเจน
แต่ปัจจุบันมีเงื่อนไขอื่นสลับซับซ้อนมาก
แต่เสรีภาพในการแสดงออกก็มีสูงมาก พูดได้เกือบทุกเรื่อง

- เนื้อหานโยบายที่จะผลักดันในพรรค การเมืองใหม่

ตอนนี้ผมจับเรื่องรัฐสวัสดิการแต่จะประยุกต์ เรียกว่า "ชุมชนสวัสดิการ"
ทำให้องค์กรชุมชนเข้มแข็งหาเงินเอง ส่วนภาครัฐต้องให้การสนับสนุนบางส่วน

ในท้องถิ่นไม่ได้เน้นการเก็บภาษีแต่เน้นการช่วยเหลือตัวเอง มีธนาคารชุมชนโดยรัฐสนับสนุนส่วนหนึ่ง

ที่รัฐบาลทำตอนนี้ยังไม่เป็นรัฐสวัสดิการ
เพราะรัฐสวัสดิการที่ดีต้องเก็บภาษีสูง ส่วนตัวมองว่าเป็นการหาเสียงระยะสั้นเท่านั้น
เพราะสิ่งที่เขาเสนอขึ้นมาไม่ได้มาจากความเรียกร้องต้องการของประชาชน

นโยบายประชานิยมไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน
เพราะเปลี่ยนไปตามนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่เปลี่ยนแปลงไป
และทำให้ประชาชนรอรับความเมตตาปรานีที่รัฐจะลดแลกแจกแถม
แต่รัฐสวัสดิการจะมองถึงอนาคตของลูกหลาน ประชาชนจะรู้สึกว่า
สิ่งที่เขาได้รับเป็นสิทธิที่เขาพึงได้รับ ไม่ใช่การติดค้างหนี้บุญคุณ

คือถ้าเป็นพรรคการเมืองระบบเก่า จะมีความซับซ้อนของระบบอาวุโสในพรรคเยอะ
มีความอุ้ยอ้ายของคนเยอะ
ระบบอาวุโสคุณมาก่อนผมมาทีหลัง การที่จะแสดงความคิดเห็นไม่ใช่เรื่องง่าย นะครับ

- ภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองใหม่ เป็นพรรคแบบไหน

เป็นพรรคการเมืองที่ยากจนมากไม่มีเงิน แต่ข้อดีคือเป็นคนหนุ่มสาวทั้งนั้นมีพลัง อันนี้คือ
ที่ผมชอบ และเชื่อว่าโดยจิตใจที่มุ่งมั่นเขาจะสามารถพัฒนาตัวเองได้
เขาเสนอตัวจะลง ส.ก. ส.ข.สมัยหน้า เป็นการลงสนามการเมืองจริง ๆ ครั้งแรกด้วย หลังจากตั้งท่ามานาน

- คิดว่าพรรคนี้จะสามารถแย่งฐาน คะแนนเสียงพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่

พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะไม่งั้นก็ไม่ต้องมีพรรคการเมืองใหม่
ถ้ากลัวจะแย่ง คะแนนเสียงประชาธิปัตย์อยู่ตลอดเวลา
แต่ประชาชนต้องมีทางเลือก
เลือก ประชาธิปัตย์ก็ได้ เลือกเพื่อไทยก็ได้ เลือกชาติไทยพัฒนาก็ได้ เลือกพรรคการเมืองใหม่ก็ได้

ผมว่าประชาชนต้องมีสิทธิเลือก
ในเมื่อมีสิทธิเลือกก็ต้องเอาชนะกันด้วยนโยบายการทำงาน อยากให้เป็นการ แข่งขันกันตามกติกา
สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นขึ้นมาได้ การแข่งขันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องร้ายแรงหรืออัปลักษณ์

เราได้ทำดีที่สุด ถ้าเขาเลือกเราก็ทำหน้าที่
แต่ถ้าเขาไม่เลือกก็อาจเป็นเพราะ ยังไม่รู้จักเราดี ก็ไม่เป็นไรเพราะงาน การเมืองไม่ได้จบอยู่แค่นี้

ห้ามตะโกน-ห้ามชูป้าย

ที่มา ข่าวสด

ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน



มีคนอีกส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุนให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้อำนาจเด็ดขาดในการควบคุมสังคม เพื่อให้เกิดความสงบ

*เพราะเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของรัฐ ว่าม็อบแดงเป็นผู้ก่อการร้าย*

คนจำนวนนี้จึงเห็นดีเห็นงามกับการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกทั้งไม่เห็นว่าประชาชนทั่วไปจะถูกละเมิดสิทธิอะไร

ไม่ว่าจะรักหรือจะชังรัฐบาลนี้ก็ตาม

แต่ถ้ายึดในหลักประชาธิปไตย ต้องมองออกว่า พ.ร.ก.นี้เป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิ์ของคนที่คิดต่างกับรัฐบาลอย่างรุนแรง

คนคิดต่าง ที่ไม่ใช้แนวทางรุนแรง ไม่ได้ก่อม็อบยึดถนนด้วยซ้ำ!

แค่ร้องตะโกนที่ราชประสงค์

โดนหิ้วตัวราวเป็นโจรร้าย เอาไปปรับข้อหาส่งเสียงดัง

แค่นักเรียนนักศึกษาชูป้ายคัดค้านพ.ร.ก.ที่เชียงราย

*ตอนนี้มีการอาศัยอำนาจพ.ร.ก.เรียกมารายงานตัว ขู่เข็ญ กระทั่งเตรียมจะส่งเข้าสถานพินิจ*

ถ้ามีจิตใจประชาธิปไตยจริง มีจุดยืนในหลักสิทธิเสรีภาพจริง

ต่อให้รักมาร์คแค่ไหน ต้องไม่ยอมรับการใช้อำนาจล้นฟ้าอย่างบ้าระห่ำเช่นนี้!

พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงเป็นเครื่องมืออัปยศ ที่ทำลายจิตใจและสิทธิประชาชน
ประจานไปทั่วโลกถึงความเป็นบ้านเมืองป่าเถื่อนล้าหลัง
ภายใต้รัฐบาลที่เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ

กล่าวเฉพาะกรณีนักเรียนนักศึกษาที่เชียงราย

คล้ายกับว่ารัฐบาลนี้อยากให้เยาวชนหลงระเริงไร้สาระ
มากกว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวที่สนใจปัญหาบ้านเมือง


นายกฯ จะอ้างไม่รู้เห็นไม่ได้ เพราะแม้แต่กรรมการสิทธิฯ ก็ออกมาแถลงติติงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

แถมยังมีการเปิดโปงวิชามาร
เมื่อนายทหารในพื้นที่เกลี้ยกล่อมเด็กเหล่านี้ว่า
ถ้ายอมซัดแกนนำเสื้อแดงเป็นคนว่าจ้างจะปล่อยตัวพ้นข้อหา

เป้าหมายก็แค่นี้แหละ คือโยงแกนนำนปช. ยัดข้อหาก่อการร้าย


เหมือนกับที่ดีเอสไอไปไล่จับนายหรั่ง ไล่จับสิบตรีป๊อด เพื่อยัดว่าเป็นมือยิงเอ็ม 79

*ยิ่งมีพ.ร.ก. ยิ่งรัฐบาลใช้อำนาจมาก ยิ่งเพิ่มแนวร่วมต่อต้านรัฐบาลขยายไปเรื่อยๆ*

จากนปช. ชาวรากหญ้า บัดนี้ปัญญาชนเริ่มรับไม่ได้กับรัฐบาลนี้มากขึ้นๆ

อดีตนายกฯ อานันท์ที่เห็นอกเห็นใจกันเต็มที่ ยังต้องออกตัว!

ละเมิดสิทธิ์

ที่มา ข่าวสด

เหล็กใน



มีหลายคนออกมาแสดงความเห็นว่า
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ควรยกเลิกพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ องค์กรเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนทั้งในไทยและต่างประเทศ
ปลัดกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ
ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นกฎหมายที่คุกคามและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง !


หรือแม้แต่นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกฯและรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สมัยรัฐบาลขิงแก่แท้ๆ ก็เรียกร้องให้นายกฯมาร์คเลิกกฎหมายพิเศษนี้เสีย

ให้เหตุผลว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน !

จะมีก็แต่นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.)
ซึ่งเสนอแนะให้รัฐบาลเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเช่นกัน


แต่เหตุผลแตกต่างกับคนอื่นๆ บอกว่าอยากให้บรรยากาศทางการเมืองดีขึ้น

ไม่ใช่เรื่องผิดที่อยากให้บรรยากาศบ้านเมืองดีขึ้น

แต่แปลกใจทำไมไม่หยิบเหตุผลเรื่องการถูกละเมิดสิทธิ์ขึ้นมาด้วย !?

เพราะคณะกรรมการปฏิรูปชุดนี้ถูกวางไว้ให้เป็นผู้เขียนพิมพ์เขียวประเทศไทยในอนาคต
กลับมองข้ามเรื่องที่ประชาชนโดนละเมิดสิทธิ์ไปง่ายๆ


อยากให้คณะกรรมการชุดนี้ไปดูไปสัมผัสคนที่ได้รับผลกระทบจากพ.ร.ก.เผด็จการบ้าง

ทั้ง นายสมบัติ บุญงามอนงค์ โดนศอฉ.จับเพราะไปผูกริบบิ้นแดงที่ป้ายราชประสงค์

นายนที สรวารี ยืนตะโกนแสดงความในใจว่า "ที่นี่มีคนตาย" ก็โดนตำรวจล็อกไปจับปรับ

นายวสันต์ สายรัศมี หนุ่มกู้ภัยที่ออกมาทวงความยุติธรรมให้เพื่อน 4 ศพก็โดนหมายเรียกศอฉ.เช่นกัน

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ
5 น.ศ.ถือป้ายต้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย โดนดำเนินคดีรวด
ไม่เว้นแม้แต่นักเรียน ม.5 วัยแค่ 16 ปี ตำรวจจับส่งสถานพินิจ

ถามว่าการแสดงความเห็นของเด็กอายุแค่ 16 ปีที่ไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้กฎหมายเผด็จการ

มันร้ายแรงถึงขั้นต้องจับกุมเลยหรือ !?

แต่ไม่ว่าสังคมจะคัดค้านกันยังไง นายกฯมาร์คก็ไม่รับฟังอยู่ดี เพราะยังยืนกรานไม่ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

โดยให้สัมภาษณ์ราวกับว่าเรื่องละเมิดสิทธิ์เป็นแค่ข่าวโคมลอย เป็นข้ออ้างของฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

นายกฯลืมไปหรือเปล่าว่าความจริงการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น
ตั้งแต่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว
และละเมิดมาเรื่อยๆ จนถึงการใช้กำลังทหารปราบปรามม็อบเสื้อแดง !!


มีการเสียชีวิตจริงๆ 90 ศพ บาดเจ็บจริงๆ เกือบ 2 พันคน

เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากน้ำมือรัฐบาลชุดนี้

แต่นายกฯไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบตรงนี้เลย

แม้แต่คำว่า "ขอโทษ" ก็ไม่เคยเล็ดลอดจากปาก

อย่าเดินคด

ที่มา ข่าวสด

บทบรรณาธิการ


มีข้อสงสัยและคำถามถึงมาตรฐานในกระบวนการทำคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ในการทำคดีข้อหาก่อการร้ายกับนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือหรั่ง

ตั้งแต่การระบุว่าผู้ต้องหามีความเกี่ยวพันกับความผิดถึง 8 คดี
โดยที่ผู้ต้องหายังมิได้ให้การใดๆ หรือไม่รับสารภาพ

และยังมิได้มีการแสดงหลักฐานหรือข้อมูลใดๆ
ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาเกี่ยวพันกับความผิดที่ถูกระบุเอาไว้จริง

ล่าสุด ยังระบุว่าพร้อมจะกันตัวมารดาและภรรยาของผู้ต้องหาเอาไว้เป็นพยาน

แลกกับการที่จะให้ผู้ต้องหารับสารภาพตามข้อหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษระบุเอาไว้


ประเด็นที่จะต้องพิจารณามีอยู่ว่า
หากกรมสอบสวนคดีพิเศษระบุว่ามารดาและภรรยาของผู้ต้องหา มีความเกี่ยวข้องกับคดี อาทิ
เป็นผู้รับประโยชน์จากการซื้อขายอาวุธจริง

แม้พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจในการกันตัวผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นพยาน
เพื่อประโยชน์ของการดำเนินคดี

แต่ที่จะต้องพิจารณาเป็นเบื้องต้นก็คือ
ภรรยาและมารดาของนายสุรชัยมีส่วนร่วมในคดีที่ถูกระบุถึงจริงหรือไม่

และถึงหากทั้งสองตกเป็นผู้ต้องหาหรือผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย

ก็ยังมีคำถามว่าสมควรหรือไม่ที่จะใช้วิธีการ "ต่อรอง" กับผู้ต้องหาสำคัญ

แน่ใจหรือว่าข้อมูลที่ได้จากการต่อรองเช่นนี้คือข้อมูลที่แท้จริง


เพราะหากมั่นใจในข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่ ย่อมไม่มีความจำเป็นอย่างใดเลย
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะต้องใช้วิธีการนอกรูปแบบ
เพื่อ "รีด" เอาคำสารภาพจากผู้ต้องหาให้มามัดตัวเองหรือโยงไปสู่บุคคลอื่นๆ ที่ต้องการ

และเพราะวิธีการดำเนินคดีที่ "ล้ำเส้น" ของความเป็นพนักงานสอบสวนที่ดีนี่เอง
ที่ทำให้สังคมตั้งคำถามเอากับความเที่ยงตรงชอบธรรมของกรมสอบสวนคดีพิเศษเอง

ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ล่อแหลม
ในสถานการณ์ที่ความยุติธรรมความตรงไปตรงมาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหา
หรือสร้างความสมานฉันท์

การกระทำอื่นๆ นอกเหนือไปจากนี้มีแต่จะก่อปัญหายิ่งขึ้นกว่าเดิม

เก่งกู้ภัยเจออีก หมายดีเอสไอ

ที่มา ข่าวสด

แม่"เกด" มั่วหมาย

ดีเอสไอส่งหมายเรียก เก่ง "วสันต์ สายรัศมี" กู้ภัยคนดัง
เผยข่าวสดครั้งนี้เรียกมาเป็นพยานคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม
ลั่นเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อไหร่จะไปพบ หวั่นไปแล้วอาจไม่ได้ออกมาอีกเลย
วอน หยุดไล่ล่าประชาชนได้แล้ว
เปิดหมายเรียกอ้าง"แม่เกด"อ้างถึงเลยเชิญไปสอบ
ด้านแม่"กมนเกด อัคฮาด" อาสาพยาบาลที่ถูกยิงสวน ทันควันไม่เคยไปให้การ
และจะไม่ไปให้ การ อัดซ้ำอย่ามาออกหมายเรียกมั่วๆ อย่างนี้


เมื่อวันที่ 25 ก.ค.นายวสันต์ สายรัศมี เจ้าหน้าที่กู้ภัยและอาสาพยาบาลฯ
ที่เคยติดอยู่ภายในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา
และเคยถูกหมาย ศอฉ.เรียกให้ไปรายงานตัว ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับ "ข่าวสด"
กรณีมีหมายเรียกตัวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้มาพบ
เพื่อสอบปากคําในฐานะพยานคดี 6 ศพ ภายในวัดปทุมวนาราม

นายวสันต์เปิดเผยว่า หมายเรียกดังกล่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งมาที่บ้านยายของตน
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ให้ตนไปพบ
เพื่อสอบปากคําและให้เป็นพยานในคดี 6 ศพภายในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา
ซึ่งขณะนี้ได้หารือกับทางทนายความแล้วได้รับคำแนะนําว่ายังไม่ควรไปพบในช่วงนี้
ควรรอให้มีการยกเลิกพระราชกำหนดว่าด้วยการบริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉินเสียก่อนแล้วค่อยไป
ซึ่งตนก็เห็นด้วยตามนั้น

"การส่งหมายเรียกของดีเอสไอในครั้งนี้ผมตั้งข้อสังเกตว่า
ที่ผ่านมาตนถูกหมายเรียกตัวจาก ศอฉ.ให้ไปรายงานตัว
แต่ผมไม่ไป ศอฉ.จึงอาจเปลี่ยนวิธีโดยให้ดีเอสไอเชิญแทน เพื่อให้ตนออกมา
เพราะผมมีหลักฐานกรณียิง 6 ศพ ในวัดปทุมวนารามหลายอย่าง
และ ขณะนี้เป็นที่ต้องการของ ศอฉ.เป็นอย่างมาก
เพื่อต้องการนําข้อมูลเหล่านั้นไปทําลาย" นาย วสันต์กล่าว

นายวสันต์กล่าวต่อว่า หากว่าเดินทางไปพบดีเอสไอตามวันที่ระบุในหมาย
ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะไม่ได้ออกมาเลยก็ได้
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ต้องมีชีวิตแบบคนเร่ร่อน ไปอยู่ตามที่ต่างๆ ตามบ้านเพื่อนและญาติ
ซึ่งตนก็เกรงใจ และก็ไม่อยากให้เขาเดือดร้อนตามไปด้วย
จึงวิงวอนขอให้รัฐบาล หยุดตามล่าประชาชน หรือคนเสื้อแดงได้แล้ว เพราะไม่มีประโยชน์

นายวสันต์กล่าวถึงเนื้อหาในหมายเรียกของดีเอสไอ ระบุว่า
เรื่องเชิญพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
เรียนนายวสันต์ สายรัศมี ด้วยกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับมอบสำนวน สอบสวนคดีอาญาที่ 472/2553
กรณีมีผู้เสียชีวิต จำนวน 6 ศพ
เหตุเกิดที่วัดปทุมวนา ราม ถนนพระรามที่ 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2553 โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษรับไว้เป็นคดีพิเศษที่ 234/2553
และมอบหมายให้ชุดปฏิบัติการที่ 3 ดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อไป

"เนื่องจากปรากฏในสำนวนการสืบสวนว่า ขณะเกิดเหตุ
ท่านเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ ประกอบกับนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของนางสาวกมนเกด อัคฮาด
ผู้ตายอ้างท่านเป็นพยานด้วย เพื่อให้การสืบสวนสอบสวนได้ข้อมูลครบถ้วน
และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย จึงขอเชิญท่านไปพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
(พ.ต.ท.สราวุธ บุญศิริโยธิน พสพ.ชำนาญการพิเศษ กับพวก) ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ
ในวันที่ 6 สิงหาคม 2553 เวลา 10.00 น.
พร้อมนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยว ข้อง (ถ้ามี) ไปด้วย ขัดข้องประการใดกรุณา
แจ้งให้ทราบก่อนวันเวลาดังกล่าวด้วย
เพื่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ประสาน
พนักงานอัยการผู้ได้รับแต่งตั้งให้ร่วมสอบสวนมาร่วมสอบสวนด้วย
และขอขอบคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอแสดงความนับถือ
ลงชื่อ พันตำรวจโทวีรวัชร์ เดชบุญภา
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 3"
พร้อมแจ้งหมายเลขโทรศัพท์พ.ต.ท.สราวุธไว้ในท้ายหมายเรียกตัวด้วย

ด้านนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมน เกด อัคฮาด อาสาพยาบาลที่เสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม
ที่ถูกดีเอสไอระบุในหมายเรียก
เรียกตัวนายวสันต์ ว่าได้อ้างนายวสันต์เป็นพยาน กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า
อยาก ที่จะถามดีเอสไอ ว่าตนเป็นคนหนึ่งที่ออกมาเรียกร้องให้กับน.ส.กมนเกด
ลูกสาวที่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.นั้น มีความผิดด้วยหรือ
หากผิดผิดในข้อหาอะไร อย่ามาออกหมายเรียกแบบมั่วๆ แบบนี้
และช่วงที่มีการชุมนุมกันที่ราชประ สงค์ตนก็ไม่เคยเดินทางไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีแต่ลูกสาวที่ไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทําร้ายภายในวัดปทุมฯ
ซึ่งตนก็ยังไม่ได้ไปให้ปากคำอะไรกับดีเอสไอ และก็คงจะไม่ไปให้ปากคําเพราะไม่เกี่ยวกับตนเลย

ประมวลภาพ: เสื้อแดงร่วม 400 ออกกำลังกายในกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง

ที่มา ประชาไท



25 ก.ค.53 - ที่สวนลุมพินี ข้างหอนาฬิกา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 400 คนรวมตัว เพื่อออกกำลังกายในกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบคอยดูแลความสงบอยู่รอบนอก

โดยเวลา 17.00น. คนเสื้อแดงราว 40 คนนอนลงกับพื้นแสดงเป็นสัญลักษณ์ ขณะที่คนอื่นๆ ตะโกน "ที่นี่มีคนตาย" "เราเห็นคนตายที่นี่"

จากนั้นนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ซึ่งประกาศตัวเป็น "แกนนอน" และเป็นผู้เสนอการจัดกิจกรรม "วันอาทิตย์สีแดง" ได้ประกาศว่า เนื่องจากต่อไปจะเป็นการต่อสู้ระยะยาว ดังนั้นคนเสื้อแดงต้องมีสุขภาพที่เข้มแข็งจึงต้องรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย จากนั้นนายสมบัติได้นำออกกำลังกายร่วมกับ "อ.ออกัส" ประกอบเพลง "รักคนเสื้อแดง"

หลังเคารพธงชาติในเวลา 18.00น. กลุ่มคนเสื้อแดงได้ลงไปนอน ทำท่าคนตายอีกครั้ง ตามมาด้วยการแสดงละครใบ้ของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ชื่อ "ห้ามฉันพูด ต้องห้ามลมหายใจฉัน" เป็นกิจกรรมสุดท้าย

ทั้งนี้นายสมบัติได้ประกาศด้วยว่าในวันอาทิตย์ที่จะถึงจะมีการแสดงศิลปะจัดวางที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยในเวลา 18.00น. หลังเคารพธงชาติ คนเสื้อแดงจะนอนลงรอบฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อสื่อว่า ประชาธิปไตยไทยสร้างขึ้นด้วยชีวิตของประชาชน

กรณีเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่ห้างบิ๊กซีราชดำรินั้น นายสมบัติแสดงความเห็นว่า เป็นระเบิดสร้างสถานการณ์และรัฐบาลต้องตอบคำถามว่าทำไมเมื่อคนเสื้อแดงจะมีกิจกรรมจึงเกิดเหตุระเบิดแทรกซ้อน โดยยกตัวอย่างเหตุระเบิดที่พรรคภูมิใจไทย ซึ่งตรงกับวันฌาปนกิจศพ เสธ.แดง

เขากล่าวเสริมว่า ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลเป็นคนทำ เพียงแต่เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์กับคนเสื้อแดง ทั้งนี้ เขายืนยันจะจัดกิจกรรมต่อไป โดยเน้นรูปแบบสร้างสรรค์ สนุก ขบขันและสื่อความหมาย

นอกจากนี้ นายสมบัติกล่าวถึงกรณีตำรวจออกหมายเรียกนักเรียนนักศึกษาที่ทำกิจกรรมต้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่เชียงรายว่า หากมีการนำนักเรียน-นักศึกษาไปคุมตัวที่สถานพินิจ เขาจะขึ้นไปผูกผ้าแดงที่เชียงราย เพื่อเป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์

นายสมบัติระบุว่า ที่กรุงเทพฯ มีการทำกิจกรรมแบบเดียวกันและคนเยอะกว่าก็ยังทำได้ แต่ที่เชียงราย คนที่ออกมากิจกรรมกลับถูกเรียก จึงมองว่า ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ทั้งนี้ เขาบอกด้วยว่า นายกฯ ได้เคยเปิดทางให้กับการแสดงออกแบบนี้แล้ว ดังนั้นในกรณีนี้รัฐบาลควรต้องออกมาเบรค เพราะหากมีการจับนักศึกษาเหตุการณ์จะยิ่งลุกลามไปอีก

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker