บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

ลอกคราบวัฒนธรรมอำมาตย์ในหมู่ NGOs ไทย

ที่มา ประชาไท

วัฒนธรรมอำมาตย์ในที่นี้หมายถึง แบบแผนความคิดและการกระทำของหมู่คน ที่ถือตนว่าเป็นผู้ดีมีคุณธรรม เป็นผู้ผูกขาดปกป้องและชี้ทางสว่างแก่บ้านเมือง พวกเขา เท่านั้นที่เป็นผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริง และมีภารกิจที่จะต้องปกครองอาณาประชาราษฎรทั้งหลายที่ไม่ประสีประสาและมักหลงผิดคิดชั่วออกนอกแบบแผนดั้งเดิม ให้เป็นไปตามทำนองคลองธรรมตามที่ผู้กุมอำนาจกำหนด

วัฒนธรรมอำมาตย์ก็ควรคู่กับอำมาตย์ แต่เหตุไฉนมันกลับระบาดไปอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งในหมู่คนที่ประกาศตนว่าทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับราษฎร/ชาวบ้าน นั่นก็คือบรรดา NGOs ไทยใหญ่น้อยทั้งหลาย ดังที่เราเห็นได้จากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาที่พวกเขาออกมาเป็นคู่หางเครื่องสนับสนุนฝ่ายอำมาตย์ และได้กลายพันธุ์ไปเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเสื้อเหลืองอย่างภาคภูมิ

เราอาจเริ่มต้นที่วาทกรรมที่ถูกนำมาใช้อย่างพร่ำเพรื่อในหมู่ NGOs นั่นคือ “วัฒนธรรมชุมชน” ซึ่งโดยเนื้อแท้มีความต่างจาก “แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน” ที่ยังพอมีการศึกษาและโต้แย้งในแวดวงนักวิชาการอยู่บ้าง ในแวดวงวิชาการหลายสำนักค่อนข้างมีความเห็นร่วมกันว่า”วัฒนธรรมชุมชน”หมายถึงการต่อสู้ทางการเมืองในอีกมิติหนึ่ง ขยายความก็คือการมองว่า ชาวบ้านโดยปกติไม่อยู่ในความคุ้นเคยที่จะปกป้องผลประโยชน์ตนเองตามวิถีการเมืองอย่างเป็นทางการ แต่พวกเขาจะมีการเมืองอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น ติฉินนินทา การคว่ำบาตร การใช้พิธีกรรม ฯลฯ รวมความแล้ววัฒนธรรมก็คือการต่อสู้อย่างหนึ่ง ท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการต่อสู้

แต่ถ้าเราไปดูต้นแบบ วาทกรรม“วัฒนธรรมชุมชน” (จากงานเขียนของ ฉัตรทิพย์, บำรุง ,ประเวศ,นิพจน์ และอภิชาติ) เราก็จะพบกับวัฒนธรรมชุมชนที่สุดแสนโรแมนติค ที่ปลอดจากการต่อสู้ทางการเมือง วัฒนธรรมชุมชน-ตามแนวคิดสำนักวัฒนธรรมชุมชนนิยม-จึงกลายเป็น “คุณค่า/สิ่งจริงแท้” ที่ติดตัวชาวบ้านมาแต่กำเนิด มีอยู่แต่ดั้งเดิมในอดีตและสืบทอดมาถึงปัจจุบันอย่างไม่เสื่อมคลายไม่มีที่มาที่ไป ชุมชนชาวบ้านเต็มไปด้วย “น้ำใจ” ความสมานฉันท์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประหนึ่งว่า “ชาวบ้าน/ชุมชน” เป็นกลุ่มคนที่มีสายพันธุ์พิเศษที่สืบทอดทางสายเลือดมาแต่บุพกาล

เมื่อแนวคิดนี้ถูกนำไปปฏิบัติ – จากต้นฉบับที่ฟอกความเป็นการเมืองออกไปแล้ว- แน่นอนว่าก็ถูกตีความออกไปหลากหลาย ตามแต่คน/องค์กรที่นำไปปฏิบัติ แต่ผลอย่างหนึ่งที่มาจากต้นแบบวัฒนธรรมชุมชนแบบโรแมนติค ที่เราจะเห็นได้เหมือนกันๆในงานพัฒนาของพวกเขาก็คือ การทำให้การพัฒนาเป็นเรื่องที่ปลอดจากมิติทางการเมือง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การลดทอนความเป็นการเมืองจากการพัฒนา

ดังนั้น ชุมชนหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยกลุ่มก้อนที่แตกต่าง ความขัดแย้ง การต่อสู้แข่งขัน ทั้งภายในหมู่บ้านเองและกับภายนอก – ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และความจริงชุมชนก็มีกระบวนการของตนเองในการจัดการปัญหาเหล่านั้น ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นศักยภาพอีกด้านหนึ่ง- แต่กลับถูกพวก NGOs มองข้ามหรือกลบเกลื่อนด้วยการพยายามมองหาแต่ด้านความร่วมไม้ร่วมมือ ช่วยเหลือเกื้อกูล หรือวัฒนธรรมประเพณีเชิงรูปแบบที่สวยงามน่าประทับใจเพียงด้านเดียว

หรือแม้กระทั่งเราจะได้ยินพวกเขาพูดเรื่อง “สิทธิชุมชน”- ซึ่งประเด็นสิทธิ เป็นเรื่อง “ความสัมพันธ์ทางอำนาจ” ระหว่างรัฐกับชุมชน ที่เป็นประเด็นทางการเมืองอย่างยิ่ง – แต่ด้วยภาษาที่ปลอดจากการเมือง ทำให้เหลือเพียงแค่ขอให้รัฐเข้าอกเข้าใจ เห็นใจ และก็ยอมรับให้มีสิทธิชุมชนมากขึ้น หรือในกรณีที่ตลกยิ่งกว่าก็คือ ประเด็นอะไรก็ได้แต่ขอเรียกเป็นสิทธิชุมชนเอาไว้ก่อนตามสมัยนิยม

การลดทอนความเป็นการเมืองเมื่อตกทอดผ่านการทำงานจากรุ่นสู่รุ่น ได้เกิดอาการขยายตัวไปสู่อีกขั้นหนึ่งก็คือ การรังเกียจการเมือง เพราะพวกเขามองว่าสังคมชาวบ้านคือสังคมที่สะอาดบริสุทธิ์ สื่อใส ตรงไปตรงมา และสิ่งที่ทำให้สังคมชาวบ้านมีมลทินก็คือ “การเมือง” ซึ่งเป็นเรื่องของเล่ห์เหลี่ยมคดโกง เป็นเรื่องที่ชักนำชาวบ้านไปในทางเสียหาย เป็นเรื่องที่ชาวบ้านไม่ควรเข้าไปยุ่ง

การรังเกียจการเมือง ยังถูกแวดล้อมและกระพืดพัดด้วยวาทกรรม “การเมืองเรื่องสกปรก” ของเหล่าเสนาอำมาตย์ ซึ่งมีคำอธิบายว่าการเมืองเป็นอาณาบริเวณของความสกปรก เป็นเรื่องของนักการเมืองสันดานชั่ว ต่างจากอาณาบริเวณ”เหนือการเมือง”ที่มีบรรดาอำมาตย์เป็นผู้ปกปักรักษา และเชื่อว่าปัญหาต่างๆในบ้านเมืองเกิดจากราษฎรทั้งหลายหลงผิด หรือหย่อนยานศีลธรรม ดังนั้นชาวบ้านก็ควรจะต้องได้รับการกระตุ้นเตือนให้ตระหนักในคุณธรรมความดีที่มีพวกเขาเป็นแบบอย่าง

ผลลัพธ์ของการรังเกียจการเมือง บวกกับการเมืองเรื่องสกปรก ก็คือการเห็นว่าชาวบ้านเข้าที่ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองก็ผู้หลงผิด หลงลืมละทิ้งวัฒนธรรมชุมชนอันดีงาม เมื่อชาวบ้านหลงพลาดไป หน้าที่ของพวกเขาก็คือการดึงชาวบ้านกลับมาอยู่ในทำนองคลองธรรมอีกครั้ง พวกเขาต้องการการกระตุ้นเตือนให้คิดถึงศีลธรรมอันดีงามหรือสิ่งดีๆที่เคยมีอยู่แต่ดั้งเดิม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “แท้จริงแล้วพวกเขาไม่เคยเชื่อมั่นในสติปัญญาของชาวบ้านเลย ในกรอบการรับรู้อันคับแคบของพวกเขาก็คือ ชาวบ้านจะต้องถูกพัฒนา ถูกทำให้ฉลาดขึ้น รู้จักพึ่งตัวเอง รู้จักเลือกสิ่งที่ถูกที่ควร รู้จักพอเพียง ตามรอยพ่อ.....เท่านั้น!!!”

ณ จุดนี้เองที่ความรู้สึกนึกคิดคิดของ NGOs กับอำมาตย์มาซ้อนทับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน!!!

ความคิดเช่นนี้คือที่มาของปฏิกิริยาที่พวกเขามีต่อชาวบ้านรอบๆตัว สำหรับชาวบ้านเสื้อแดง พวกเขาจะมองว่าเป็นพวกที่หลงผิด ถูกซื้อ ลืมตน ในขณะที่เมื่อมองไปที่ไหนพวกเขาก็พบว่าชาวบ้านเหล่านี้ยิ่งมีมาก แต่เมื่อเป็นชาวบ้านที่ไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ชาวบ้านที่โง่งมเห็นแก่ได้ไร้ศักดิ์ศรีเหล่านี้จึงไม่ถูกนับรวมอยู่ในภาคประชาชนอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา

แต่อนิจจาการขุดคุ้ยค้นหาภาคประชาชนที่บริสุทธิ์เชื่องเชื่อน่าสงสารเพื่อนำมาบรรจุไว้ในโครงการขอเงินทุนของพวกเขาช่างเป็นสิ่งที่ยากเย็นขึ้นทุกวัน...

เหตุแห่งการสมสู่ของคู่รักต่างเผ่าพันธุ์นี้เป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่เกิดความตะขิดตะขวงใจด้วยธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งของบรรดาขาใหญ่ NGOs ที่มีสำนึกอยู่เสมอว่าพวกตนก็คือผู้รัก ห่วงใย และเข้าใจชาวบ้านมากที่สุด และเขาก็เป็นพี่ใหญ่ที่อุปถัมภ์พวกน้องๆ NGOs กันมาตลอด หรือพูดง่ายก็คือพวกเขาก็คืออำมาตย์ในแวดวง NGOsอยู่แล้ว ดังนั้นอำมาตย์ทั้งสองฝ่ายจึงสามารถร่วมหอลง”โลง”กันได้อย่างปรีด์เปรม

และในฐานะที่พวกเขาสามารถใกล้ชิดศูนย์อำนาจ ทำให้พวกเขามีความสามารถเข้าถึงงบประมาณรัฐได้ง่ายดายกว่ากลุ่มอื่นๆ จึงเกิดระบบพรรคพวกเส้นสายเอื้ออำนวยงบประมาณให้แก่พวกพ้องตัวเองจนเกิดกรณีอื้อฉาวมาแล้วทั้งทางภาคเหนือ และสดๆร้อนในภาคอีสาน หรือตัวอย่างของการอุปถัมภ์อุ้มชูผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหารองค์กรที่เป็นพวกพ้องโดยไม่แบ่งแยกผิดถูกดังกรณีการคุกคามทางเพศเจ้าหน้าที่สตรีในสำนักงานของผู้บริหารNGOsด้านสิทธิองค์กรหนึ่ง ก็ยังเป็นเรื่องที่เล่าขานกันอย่างไม่สร่างซา

ในท้ายสุดแล้วประเทศเราจึงมีนักพัฒนาที่กลายเป็นอำมาตย์ และอำมาตย์ที่กลายเป็นนักพัฒนาอยู่จนมากมายเกลื่อนกราด หากแต่ยิ่งทำงานพัฒนาพวกเขากลับยิ่งยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนมากยิ่งขึ้น ยิ่งพัฒนาก็ยิ่งเกิดกลุ่มก้อนผูกขาดผลประโยชน์ในแวดวงนักพัฒนามากยิ่งขึ้นและท้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นได้แค่เพียงลิ่วล้อของระบบอำมาตย์ที่คอยไต่เต้าสร้างสร้างฐานะและหากินกับภาษีของประชาชนไปวันๆ เท่านั้นเอง.

บุคคลในข่าวหน้า 4 ไทยรัฐ 31/01/53

ที่มา thaifreenews

โดย Porscdhe


หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับนี้ประจำวันอาทิตย์ ที่ 31 มกราคม 2553

การแสดงพลังของทหารหลากหลายกรมกอง เพื่อปกป้อง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
ที่โดน "เสธ.แดง" พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล โจมตีอย่างรุนแรง
แม้ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม จะอธิบายปรากฏการณ์แสดงพลังของทหารหน่วยรบเหล่านี้ว่า เป็นการกระทำ
เพื่อ รักษาระเบียบวินัยของกองทัพ ไม่ให้ทหารเพียงคนเดียวมาทำลาย
แต่สาธารณชนก็ยังข้องใจอยู่ดี ปรากฏการณ์ทหารทั้งกองทัพแสดงพลังเพียง
เพื่อต้องการปราม เสธ.แดง เพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่ คุ้มค่าแค่ไหน


โดยเฉพาะถ้าการแสดงพลังครั้งนี้ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ
ก็มีคำถามตามมาว่า ถ้า เสธ.แดง ไม่หยุดโจมตี พล.อ.อนุพงษ์
ก็ต้องมีการ แสดงพลัง กันเช่นนี้ต่อไปใช่หรือไม่ แสดงว่า เสธ.แดง เพียงคนเดียว สามารถทำให้คนทั้งกองทัพเต้นได้ถึงเพียงนี้ "เห่าไฟ"
ก็เลยต้องถามว่า
คุ้มค่าหรือไม่ที่คนทั้งกองทัพต้องออกมาทำอะไรเพียงเพราะต้องการตอบโต้ เสธ.แดง เพียงคนเดียวเช่นนี้


"เห่าไฟ" อยากเตือนสติกลุ่มคนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังสถานการณ์ร้อนแรงทางการเมืองในขณะนี้ว่า อย่าได้พยายามทำอะไรที่เป็นการตอกย้ำ อำนาจอำมาตย์ ให้คนในสังคมได้เห็นอย่างชัดเจนอีกเลย พอทีเถอะ เพราะถ้าหากทหารยังออกมาแสดงบทบาท ครอบงำการเมือง อยู่เช่นนี้
บ้านเมืองจะเป็น ประชาธิปไตย ได้อย่างไรกัน การข่มขู่คุกคามโดยใช้อำนาจนอกระบบนั้น ล้าสมัย และไม่สามารถหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของ ภาคประชาชน ได้อีกต่อไปแล้ว


วันนี้ ถ้าอยากแก้ปัญหาของบ้านเมืองให้ได้ผลกันจริงๆ ก็ต้องเลิกทำตัวเป็น นักเพ้อฝัน วันๆเอาแต่เพ้อเจ้อ
ถึงเรื่อง แนวคิดสวยหรู ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงในสังคมมนุษย์ หรือพูดง่ายๆก็คือ วาดวิมานบนอากาศ
โดยไม่พิจารณาจาก ข้อเท็จจริงตรงหน้า ยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ กรณีความขัดแย้งระหว่างคนสองฝ่ายในบ้านเมือง ต้นเหตุก็มาจากฝ่ายที่ต้องการโค่นล้มอำนาจของ รัฐบาลทักษิณ ประเมินผิด คิดว่า ทักษิณ คือ มนุษย์ผู้อยู่โดดเดี่ยวลำพังบนโลก แต่ที่ไหนได้ ทักษิณ ยังมีเพื่อนอีกนับสิบล้านคน ปัญหาก็เลยไม่จบมาจนทุกวันนี้


ประการต่อมา หากถามว่า คนที่เกลียด ทักษิณ มีอยู่มากหรือไม่ ก็ต้องตอบตรงไปตรงมาว่า มากอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มากเท่ากับคนที่ รักทักษิณ ถ้าว่ากันไปตาม
กฎกติกาสากลประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
เลือกตั้งกี่ครั้ง ไม่ว่าจะใช้เขตเล็ก หรือเขตใหญ่ ซื้อเสียงง่ายหรือซื้อเสียงยาก
ทักษิณ ก็จะชนะเลือกตั้งแบบ นอนมาอยู่ดี


และก็ด้วยเหตุนี้ ถึงได้เกิดปรากฏการณ์ ระบอบอำมาตย์ หรือเรียกว่า ประชาธิปไตยแบบครึ่งบกครึ่งน้ำ พรรคการเมืองที่มีเสียงอันดับ 1 จะไม่มีวันได้เป็น แกนนำจัดตั้งรัฐบาล
เพราะพรรคการเมืองอื่นๆจะพากัน เกรงกลัวบางสิ่งบางอย่าง ไม่กล้าไปจับมือด้วย
หรือต่อให้พรรคอันดับ 1 ได้เสียงถล่มทลายกลายเป็น พรรคเสียงข้างมาก ก็อยู่ไม่ยืด
เพราะจะมีการใช้ อำนาจทางทหาร เข้ามากดดันทำลายอยู่ตลอดเวลา


ขณะเดียวกัน หากถามว่า ฝ่ายอำมาตย์มีดีอะไร "เห่าไฟ" ก็ต้องตอบว่า มีดีอยู่เหมือนกัน เพราะอำมาตย์หยั่งรากลึกอยู่ในแผ่นดินไทยมาเนิ่นนาน สร้างคุณประโยชน์เอาไว้มากมาย
เพียงแต่ ยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ความนิยมศรัทธาของอำมาตย์จากเดิมที่เคยเป็น อำมาตย์ทั้งแผ่นดิน
ก็เหลือแค่ อำมาตย์เป็นบางส่วนของแผ่นดินเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจอยู่เต็มร้อยในระบบราชการไทย


และทั้งหมดนี้ก็คือ ความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
หากใครปฏิเสธ ก็จะ หลงทิศหลงทาง แก้ปัญหาไม่ถูกจุด ฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุด คือ
ยอมรับข้อเท็จจริง ของการเกิดปรากฏการณ์ของ ฝ่ายอำนาจประชาชนที่แท้จริง และ ยอมรับอำนาจที่มีอยู่เดิมของฝ่ายอำมาตย์ จากนั้น ก็มาช่วยกัน หาจุดกึ่งกลาง เพื่อจัดวางอำนาจทั้งสองส่วนให้คานกันได้อย่าง สมดุลลงตัว ไม่ให้ฝ่ายใดมากเกินไป
หรือฝ่ายใดน้อยเกินไป เอาแบบ พอประมาณ ทั้งสองฝ่าย
โดยคำนึงถึง ผลประโยชน์ ที่ประชาชนจะได้รับเป็นหลัก


และนี่ก็คือ เหตุผลที่ "เห่าไฟ" เสนอมาตลอดว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกติกาสูงสุดของประเทศ เพื่อจัดวางอำนาจของสองฝ่ายให้เหมาะสม แทนที่จะเอา หัวชนฝา โขกกำแพงโป๊กๆ ยืนกรานว่า ไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญไม่มีปัญหา ทั้งที่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญมีปัญหาหรือไม่ แต่อยู่ที่ประชาชนคนไทยจะใช้รัฐธรรมนูญเป็น เครื่องมือ ในการแก้ วิกฤติให้กับสังคมไทยได้อย่างไรต่างหากเล่า


หากวิธีแก้ไขปัญหาของ ผู้บริหารประเทศ คือ อยู่เฉยๆแล้วทุกอย่างจะดีเอง ทั้งที่ตัวเองมีหน้าที่ รับ ผิดชอบ แก้ไขวิกฤติของบ้านเมือง แต่กลับ ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่มีความกล้าพอที่จะใช้ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ในการแก้วิกฤติให้บ้านเมือง รัฐบาลที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ มีหรือไม่มี ก็ค่าเท่ากัน


เห่าไฟ


http://www.thairath.co.th/column/life/people/62002

เอกภาพทหาร ต้านศึก"ทักษิณ" แดงโหมตอกลิ่ม "ปฏิวัติ" กุมภาพันธ์อันตราย

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_62000

"หักดิบ" กันแบบเห็นๆ

เมื่อที่ประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มีมติด้วยคะแนน 82 ต่อ 48 เสียง ไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

สวนทางพรรคร่วมรัฐบาล 5 พรรค ประกอบด้วยพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคกิจสังคม ที่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ประเด็น คือ

มาตรา 94 เรื่องเขตเลือกตั้ง ที่ต้องการเปลี่ยนจากแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์ ไปเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว และมาตรา 190 เรื่องการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นชัดว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้จัดการใหญ่รัฐบาล

ไม่ใช่ผู้คุมเสียงเด็ดขาดในพรรค

ทั้งที่ตกปากรับคำกับพรรคร่วมฯในเรื่องการแก้ไขรัฐ-ธรรมนูญประเด็นเรื่องเขตเลือกตั้ง ที่เป็นเงื่อนไขข้อตกลงสำคัญในการเข้าร่วมรัฐบาล

สัญญาลูกผู้ชายโดนฉีกทิ้ง โดยมติที่ประชุม ส.ส.ประชาธิปัตย์

แม้งานนี้ นายสุเทพพยายามหว่านล้อมลูกพรรคก่อนลงมติขอให้คำนึงถึงเสถียรภาพของรัฐบาลและให้ความเป็นธรรมกับพรรคร่วมฯ รวมทั้งขอให้เห็นใจในฐานะที่เป็นคนไปเจรจาดึงพรรคร่วมฯให้มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลจนสำเร็จ

แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็แสดงความเห็นบลัฟกลับ ขอให้ ส.ส.ของพรรค รักษาจุดยืนของพรรคที่ผลักดันการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเรียง เบอร์มาตั้งแต่ต้น คำนึงถึงหลักการ และเป็นหลักให้บ้านเมือง

ขณะเดียวกัน ยังมีผู้อาวุโสของพรรค อย่างนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ออกแรงคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ทำให้พลังของผู้จัดการใหญ่รัฐบาลแผ่วลง

จน ส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ มีมติหักดิบ พรรคร่วมรัฐบาล

แน่นอน ในภาวการณ์เช่นนี้ พรรคร่วมรัฐบาลย่อมไม่พอใจอย่างแรงที่โดนพรรคแกนนำหักดิบขวางลำแก้ไขรัฐธรรมนูญ

สะท้อนชัดจากการที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา มือขวาของนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี

ตำหนิติเตียนนายกอภิสิทธิ์ "อย่าเขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า"

รวมทั้งวาทะร้อนๆจากนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน โวยใส่พรรคประชาธิปัตย์

พูดจาเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น

ดูหมิ่นดูแคลน 5 พรรคร่วมฯที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเหมือนโจรผู้ร้าย ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

ปฏิกิริยาอาการเหล่านี้ ทำให้บรรยากาศการเมืองในซีกรัฐบาลร้อนแรง บรรดาคอการเมืองพูดถึงกระแสยุบสภากันกระหึ่ม

แต่จากการที่ "ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ" เกาะติดสถานการณ์ความขัดแย้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ภายในรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เราขอชี้ว่า

สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก

5 พรรคร่วมรัฐบาลยังต้องทนกล้ำกลืนอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไป เพราะยังมีผลประโยชน์ของแต่ละพรรคในการร่วมรัฐบาลเป็นแรงดึงดูด

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความขัดแย้งในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในซีกรัฐบาล ก็ยังเป็นมุมสะท้อนว่า

พรรคร่วมรัฐบาล 5 พรรค ไม่ได้จับมือร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อบ้านเมืองเป็นหลัก

เพราะถ้า 5 พรรคร่วมรัฐบาล ต้องการทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่าง แท้จริง ก็คงไม่เอาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ประเด็น มาเร่งผลักดัน ให้เป็นปัญหาซ้อนขึ้นมาในห้วงที่รัฐบาลต้องเผชิญกับศึกใหญ่ทั้งในสภา และนอกสภา ต้องรับมือกับวิกฤติ "ทักษิณ"

จึงชัดเจนว่า การร่วมกันเป็นรัฐบาล แท้จริงแล้วก็เพื่อผลประโยชน์ของแต่ละพรรค และความสมประโยชน์ทางการเมือง เป้าหมายหนีไม่พ้นสะสมทุนและบวกกำไร

เหนืออื่นใด เมื่อพรรคแกนนำไม่เอาด้วยกับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาล แต่พรรคร่วมรัฐบาลยังยืนยันอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไป

ก็อาจมองไปได้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลยกปมการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นฉากหน้า เพื่อต่อรองผลประโยชน์ฉากหลัง

ประเภทที่ว่า พรรคแกนนำรัฐบาลอย่ามาเป็นก้างขวางคอพรรคร่วมฯ อย่าขัดอย่าขวางการใช้งบประมาณโครงการต่างๆในกระทรวงที่พรรคร่วมฯดูแล

ขณะที่พรรคแกนนำรัฐบาล ก็แสดงอาการแข็งขืนให้เห็น ไม่ยอมพรรคร่วมฯในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมีดาบยุบสภาอยู่ในมือ

เหมือนเป็นการส่งสัญญาณเตือนกันแรงๆ อย่ากดดันกันมาก อย่าเอาแต่ได้มากไป

เข้าตำรา ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่

แต่สุดท้ายทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคแกนนำรัฐบาลก็ยังอยู่ร่วมกันต่อไป แม้กล้ำกลืนก็ต้องทน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

ขณะเดียวกัน ในห้วงที่ซีกรัฐบาลเปิดศึกขัดแย้งกันเองเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฝ่ายตรงข้ามที่กำลังโหมโรงเปิดศึกถล่มรัฐบาลทั้งในสภาและนอกสภา

ก็เปิดเกมประโคมข่าวกระแสปฏิวัติรัฐประหาร กันแบบครึกโครม

ส.ส.ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ตีปี๊บเป็นระลอก บอกขุนทหารมีการเคลื่อนไหวประชุมวางแผนปฏิวัติที่ค่ายทหารในจังหวัดปราจีนบุรี

ขณะที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ไม่น้อยหน้า ออกมาโหมประโคมข่าว

นายทหารระดับบิ๊กของกองทัพบก นัดประชุมหารือวางแผนปฏิวัติร่วมกับนายทหารระดับบิ๊กของกองทัพอากาศในพื้นที่กองทัพอากาศ ดอนเมือง

จุดประเด็นเคลื่อนไหวนัดกลุ่มคนเสื้อแดงเดินสายชุมนุมเปิดเกมกดดันกองทัพ ยกขบวนไปชุมนุมปราศรัยหน้ากองบัญชาการกองทัพบก

จี้จุดไปที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. ในเชิงสอบถามว่าจะมีการเคลื่อนไหวก่อการปฏิวัติรัฐประหารหรือไม่

รวมถึงจะไปชุมนุมที่หน้ากองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง สอบถาม พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ว่ามีการวางแผนทำปฏิวัติหรือเปล่า

ซึ่งที่จริง ผบ.ทุกเหล่าทัพ ก็ออกมาประกาศอยู่ทุกวัน ทหารไม่มีการเคลื่อนไหวปฏิวัติ ปฏิเสธไม่มีการวางแผนรัฐประหาร

แต่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงก็ต้องเคลื่อนไหวกดดันไปตามเกม

เป้าหมายหลักก็คือ ต้องการสกัดไม่ให้มีการปฏิวัติ

สอดรับกับความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ประกาศผ่านวีดิโอลิงก์ในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เขาสอยดาว

ประกาศสู้ไม่ถอย ถ้ามีการปฏิวัติ จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่เมืองนอก และให้พี่น้องเสื้อแดงสู้ที่เมืองไทย

โหมกระแสปฏิวัติกันเต็มลูกสูบ

ยิ่งเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ เดือนอันตราย ก็ยิ่งต้องเปิดเกมรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะในห้วงก่อนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 76,000 บาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ

เพราะอย่างที่เห็นๆ แนวทางการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ที่เตรียมเดินเกมถล่มรัฐบาลในสภา

ด้วยการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและ ครม.

และการเคลื่อนไหวนอกสภาของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีการเดินสายชุมนุมในสถานที่ต่างๆ ไล่ตั้งแต่เขายายเที่ยง เขาสอยดาว

เพื่อกดดันไปที่ฝ่ายอำมาตย์ ขยายผลเรื่องสองมาตรฐาน รวมถึงการเปิดเกมประโคมกระแสข่าวปฏิวัติ ชุมนุมกดดันผู้นำเหล่าทัพ

ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวที่ประสานสอดรับแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการเดินไปสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ หลัก นั่นก็คือ

ช่วย "ทักษิณ" กลับเมืองไทยโดยไม่ต้องติดคุก และทวงคืนขุมทรัพย์ 76,000 ล้านบาท

เมื่อการตัดสินคดียึดทรัพย์ใกล้เข้ามา ก็เท่ากับสถานการณ์เข้าสู่โซนอันตราย

เพราะ "นายใหญ่" ต้องพยายามเร่งเกม ให้เดินไปสู่จุดแตกหัก ก่อนเข้าสู่ห้วงการตัดสินคดียึดทรัพย์

เหมือนอย่างที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ว่า

ขบวนการของลูกน้อง พ.ต.ท.ทักษิณ มีแผนการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เพื่อให้ทหารทนไม่ได้ จะได้เอาไปขยายผลเรียกร้องประชาชนให้ลุกฮือ

เพื่อให้เข้าแผนที่เขาเรียกว่าปฏิวัติประชาชน

ในขณะที่สถานการณ์กำลังเดินเข้าสู่โซนอันตราย หันมาทางรัฐบาลก็อย่างที่เห็น ยังจมอยู่ในความขัดแย้งจากปัญหาการหักดิบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขาดความเป็นเอกภาพ

ฉะนั้น ลำพังฝ่ายการเมืองคงรับมือไม่ไหว

หากสถานการณ์วุ่นวาย ลุกลามบานปลายเหมือนเหตุการณ์เดือนเมษายน 2552 คงหนีไม่พ้นฝ่ายความมั่นคง

กองทัพจะต้องเข้ามาร่วมคลี่คลายสถานการณ์

งานนี้ถ้ากองทัพมีเอกภาพ การรับมือกับสถานการณ์ ต่างๆที่เป็นภัยกับความมั่นคงของประเทศ คงไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ากองทัพไม่มีเอกภาพ เดือนกุมภาพันธ์จะเป็นเดือนที่น่ากลัวที่สุด

เพราะโรคแทรกซ้อนจะเต็มไปหมด.

"ทีมการเมือง"

แดงเผาโลงแช่ง ผบช.ภ.5 แม้วโฟนปลุกสู้

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_62105

เสื้อแดงเชียงใหม่ แห่โลงศพใส่ปลาร้า ผบช.ภ.5 เผาก่อนแม่น้ำปิง พร้อมตระโกนสาปแช่ง ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินปลุกระดมให้ต่อสู้ลบสองมาตรฐานต่อไป...

เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 30 ม.ค.2553 กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ซึ่งชุมนุมประท้วงอยู่ด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ถ.มหิดล ต.หนองหอย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน โดยนายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล และนางกัญญาภัค มณีจักร หรือ ดีเจอ้อม ได้ชุมนุมมีผู้มาร่วมประมาณร่วม 1,000 คน โดยยังคงมีการกล่าวโจมตี พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 และมีการนำคลิปเสียงของ พล.ต.ท.สมคิด ที่เคยพูดกับกลุ่มคนเสื้อแดงว่าหากทำไม่ดีก็พร้อมที่จะเดินออกไปจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5

นอกจากนี้ ทางกลุ่มคนเสื้อแดง ได้ทำการแห่โลงศพ ของ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ที่มีการตั้งไว้หน้าประตูทางเข้าตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งการใส่ปลาร้าลงไปจนมีกลิ่นเหม็นเน่า โดยได้ทำการแห่ไปที่กลางสะพานป่าแดดข้ามแม่น้ำปิง และได้มีการนิมนต์พระครูสุเทพสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง ที่อยู่ใกล้จุดชุมนุมมาทำพิธีเผาและเมื่อไฟลุกโชนแล้วจึงได้โยนโลงศพลงไปในแม่น้ำปิง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังก้องไปหมด

ต่อมาเมื่อเวลา 22.10 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินเข้ามาหากลุ่มคนเสื้อแดงที่หน้าตำรวจภูธรภาค 5 โดยให้กำลังใจในการต่อสู้พร้อมทั้งกล่าวโจมตีการใช้สองมาตรฐานในสังคมปัจจุบัน จึงขอให้มีการกดดันเพื่อให้สังคมเกิดความยุติธรรม และตนก็เชื่อว่าตำรวจส่วนใหญ่ เป็นคนเสื้อแดง และต้องการความเป็นธรรมเช่นกัน ซึ่งตนก็ขอฝากพี่น้องตำรวจที่มีความยุติธรรมส่วนใหญ่มาช่วยดูแลพี่น้องคนเสื้อแดง อย่าไปรับใช้ตำรวจที่ไม่ได้เรื่องบางคน จึงขอให้พี่น้องคนเสื้อแดงต่อสู้จนถึงที่สุด และรอการกลับมาของตนเพื่อมาพัฒนาบ้านเมืองอีกครั้ง ตนขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคน

ทั้งนี้ การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จะมีไปถึงเวลา 24.00 น.และในคืนวันที่ 31 ม.ค.2553 ก็จะเดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อไปชุมนุมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือถึงรักษาการ ผบ.ตร เพื่อให้ดำเนินการกับ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ต่อไป

เพิ่้งกลับจากงานเลี้ยง "แดงรถไฟที่บางซื่อ" แดงการบินไทย เมื่อไหร่จะจัด

ที่มา thaifreenews

โดย...ลูกชาวนาไทย


วันนี้ผมได้ไปร่วมงานเลี้ยงของ "คนเสื้อแดงการรถไฟที่บางซื่อ" มาครับ นับเป็นเขตแดงห้ามเข้าแห่งที่สอง ที่คนเสื้อแดงสามารถเข้าไปเหยียบจมูกได้ถึงถิ่น ที่คิดว่าจะมีแต่คนเสื้อเหลืองครับ

งานเลี้ยงโต๊ะจีนคนเสื้อแดงที่จัดโดย "พนักงานรถไฟเสื้อแดง" มีประมา๊ณ 70 โต๊ะครับ เสียคนละ 200 บาท มีคนเข้าร่วมประมาณ 1,000 คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานการรถไฟและครอบครัวตำรวจรถไฟที่แฟลตการรถไฟบางซื่อครับ จัดบริเวณศูนย์การแพทย์บางซื่อ ข้างแฟลตการรถไฟ คุณจตุพร คุณกอบแก้ว และหมอเหวงเข้าร่วมการปราศรัย

ผมถือ การรถไฟเป็น "เมืองลูกหลวง" ของคนเสื้อเหลืองเลยทีเดียว เคยคิดว่าพนักงานการรถไฟเป็นพวกเสื้อเหลืองทั้งหมด จากภาพของนายสมศักดิ์ เคาแพะ และการหยุัดเดินรถประท้วง แต่การจัดงานของ "คนเสื้อแดงการรถไฟ" ที่มีพนักงานเข้าร่วมพันกว่าคน นับว่าเป็นสัญญาณเสื่อมของพวกเสื้อเหลืองอย่างหนักเลยทีเดียว

หลังเราบุกภาคใต้เปิดโรงเรียน นปช. ที่พัทลุงสำเร็จ การรถไฟถือว่าสำคัญทางยุทธศาสตร์เลยทีเดียว ถัดจากภาคใต้

หาก "เสื้อแดงการบินไทย" จะจัดบ้างที่ดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ ผมถือเป็น ยุทธศาสตร์การรบที่ต่อเนื่อง ตีถิ่นห้ามเข้าของคนเสื้อแดงครั้งที่สาม

ผมรู้ว่าพนักงานการบินไทย มีเสื้อแดงเยอะ เป็นกลุ่มที่รวมตัวกันได้แล้วด้วย ผมเคยไปร่วมสัมมนา รู้ว่าการบินไทยมีเสื้อแดงที่ตาสว่างก่อน "การรถไฟ" เสียอีกครับ

หาก การไฟฟ้า มีงานเสื้อแดงอีก ยุทธการแดงทั้งแผ่นดินก็สมบูรณ์เลยทีเีดียว

...ยุทธ์ ยายเที่ยง VS แม้ว รัชดา...

ที่มา thaifreenews

โดย ปลายอ้อกอแขม

เมื่อสองสามวันก่อน ได้ยินข่าวสาวปักษ์ใต้นางหนึ่ง เข้าแจ้งความกับตำรวจกล่าวหาพระเอกลิเก “ไชยา มิตรชัย”ในข้อหา”ทำให้เธออับอายที่มีคนล้อกันว่าเป็นแฟนกับไชยา” ซึ่งเธอรับไม่ได้เด็ดขาด เธอจึงยื่นข้อเสนอเป็นทางออกให้พระเอกไชยา 2 ข้อ คือถ้ายอมรับ ก็ให้รีบมาสู่ขอแล้วแต่งงานกันเสียโดยเร็ว แต่ถ้าไม่ยอมรับ ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายมาเป็นเงินสองหมื่นบาท ซึ่งทำเอาไชยาถึงกับอึ้งกิมกี่ รีบแต่งชุดลิเกเต็มยศ ..ออกมารำลิเกเฉิบๆแถลงข่าว

ทำให้ผมได้ “ไอเดีย”ดีๆจากสาวรายนี้ ซึ่งคิดว่าเธอคงไม่สงวนสิทธิ์ เพราะตอนนี้ผมมีปัญหากับ น้องอั้ม พัชราภา และน้องแพนเค้ก แถมด้วยนุ่น วรนุชอีกคน เนื่องจาก 3 คนนี้ ทำให้จิตใจดวงน้อยๆอันแสนจะบอบบางของผม เกิดอาการสั่นสะท้านหวั่นไหว ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทุกครั้งที่เห็นเธอในจอทีวี พาลจะเป็นโรคหัวใจเอาง่าย ฉะนั้น ผมต้องไปแจ้งความบ้าง เพื่อให้เธอๆต้องรีบรับผิดชอบกับหัวใจของผม ..อย่าปฏิเสธ !

สำหรับท่าน พล.อ.สุรยุทธ์ ในความรู้สึกของผมแล้วเฉยๆ ไม่ได้คิดชิงชังรังเกียจอะไรกับท่านมากนัก บางครั้งกลับรู้สึกดีกับท่านเสียอีก เพราะท่านเป็นคนพูดจาสุภาพ ลักษณะอ่อนน้อม ถ่อมตน นิสัยดี ..แถมรูปหล่ออีกตะหาก

คนไทยก็อย่างนี้แหละ ก่อนเจอหน้า ก็ตั้งท่าจะฟาดฟันตั้งแต่อยู่ในมุ้ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดจะถล่มเสียให้จมดิน ด่าเสียเป็นวรรคเป็นเวรขรมถมเถ พอได้เจอหน้าเข้า เขาอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาดี มีมารยาทเข้าหน่อย เอาน้ำเย็นเข้าลูบ เอาความหล่อเข้าแลก ก็อ่อนปวกเปียกเป็นมะเขือเผา..เอ๊ย..เป็นขี้ผึ้งลนไฟ สุดท้ายได้แต่บอกอย่างเฉียบขาดว่า ..คราวหลังอย่าทำอย่างนี้ผิดอีกนะ ตะเอง!

กรณีเขายายเที่ยง นับว่าเป็นผลงานของคนเสื้อแดงชัดเจน ที่สร้างกระแสให้เกิดขึ้นในสังคม จนได้เห็น “ระบบสองมาตรฐาน”ของไทยที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในระบบชนชั้น แถมยังชี้ให้เห็นถึงอคติของคนไทยบางกลุ่ม ประเภทที่ว่า “ถ้ารักใคร ทำอะไร ก็ไม่ผิด เพราะจะหาทางแก้ต่างให้ แต่ถ้าเกลียดใคร เอ็งแค่คิดก็เอาผิดแล้ว แล้วก็จะยัดข้อหาต่างๆให้อย่างพอเพียง” ..จริงไหมเอ่ย ?

เหมือนกับภาษิตของชาวเขาเผ่าแม้ว ที่อพยพโยกย้ายไปอยู่ต่างถิ่น และมักจะพูดให้ได้ยินเสมอจนชินรูหูว่า “พวกสู ทำอะไรก็ไม่ผิด พวกตู ทำอะไรก็ผิดหมด ” .. ถือเป็นอมตะวาจา

เมื่อยุทธ์ ยายเที่ยง สรวมสิทธิ์ครอบครองป่าสงวนโดยไม่มีสิทธิ์ ปลูกบ้านปลูกช่องแบบพอเพียงเอาไว้พักผ่อนนอนดูดาว จนโดนพวกพันธมิตรและแนวร่วมด่ามาตั้งหลายปี แต่ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ จนเมื่อเสื้อแดงยกขบวนไปเยี่ยมเยียนถึงรั้วบ้าน พร้อมสร้างบ้านชื่อ “สองมาตรฐาน”ปลูกไว้เคียงคู่ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายพากันร้อนตัว ช่วยกันออกมาอธิบายแก้ต่างให้ท่านสุรยุทธ์ว่า “สุรยุทธ์เค้าไม่มีเจตนานะตัวเอง เค้าไม่รู้ เค้าไม่ได้ตั้งใจ เค้าไม่ผิด ” ..อ้าว พ่อคุณ !

ซ้ำท่านอัยการก็สั่งไม่ฟ้องบอกว่าเพราะไม่มีเจตนา กรมป่าไม้ก็ได้แต่ทำตาปริบไม่ได้ว่าอะไร กระทรวงทรัพย์ฯของนายสุวิทย์ คุณกิตติก็เฉยๆ แหมก็คนรูปหล่อ ..ทำอะไรก็ย่อมไม่ผิด

เหตุการณ์ก็น่าจะผ่านไปด้วยดี แต่ดันมาเจอท่านนายกฯอภิสิทธิ์บอกว่า “งานนี้ผู้เกี่ยวข้องต้องจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว ไยต้องรอ 30 วัน 60 วัน เพื่อหาตะหวักตะบวยอะไรเล่า” เท่านั้น สุรยุทธ์ก็เริ่มจะผิดซะแล้ว..อะฮ้า เพราะอภิสิทธิ์หล่อและสดกว่า คำพูดจึงมีน้ำหนัก อิอิอิ!

แต่ถึงจะผิดยังไง ก็ยังเป็นคนที่เคยรักกัน วัวเคยขา ม้าเคยขี่ “ตัดบัวยังเหลือไย” จากหนักก็กลายเป็นเบา ก็แค่ให้คืนที่ดินไปซะ เท่านี้ก็จบแล้ว..เสียแค่ที่ดิน แต่ไม่ต้องติดคุก !

ผิดกับเฮียแม้วของผมชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ดูมันจะไม่เข้าหูเข้าตากรรมการเอาเสียเลย ผิดไปหมด ผิดได้ผิดดี ผิดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เพราะรูปไม่หล่อ..แถมหน้าเหลี่ยม !

คดีที่ดินรัชดา ที่ “ศรีภรรยา”อุตส่าห์ไปประมูลมาอย่างถูกต้อง เฮียแม้วของผมในฐานะ “ศรีสามี” ก็เซ็นชื่อให้ศรีภรรยาไปทำนิติกรรมตามมาตรฐาน “กฎหมายไทย” อ้าว เจอคุก 2 ปี ..นี่แค่เซ็นชื่อนะเนี่ยะ !

ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ เมื่อรู้ว่าคนซื้อก็ไม่ผิด เจ้าคนที่ขายก็ไม่ผิด แต่ไอ้คนเซ็นชื่อดันผิดอยู่คนเดียว ..แล้วชาวบ้านอย่างผมจะคิดยังไง !

ลองสมมติเหตุการณ์ว่า วันนั้นถ้าคุณหญิงพจมานไปประมูลที่ดินแล้วได้มา โดยไม่มีลายเซ็นของอดีตนายกฯทักษิณในฐานะสามี ..คุณว่าทักษิณจะมีความผิดมั๊ย ?

ผมตอบได้เลยว่า ผิดอีกนั่นแหละ โทษติดคุก 2 ปีเหมียนเดิม ด้วยข้อหาว่า “เป็นสามี แต่ไม่ยินยอมเซ็นชื่อให้ภรรยาไปประมูลที่ดินตามกฎหมาย” ..ฉะนั้น เซ็นก็ผิด ไม่เซ็นก็ผิด ติดคุกเหมือนกัน !

สุรยุทธ์ ยึดเขายายเที่ยง พวกผู้ดีต่างเรียงหน้ากันสลอนออกมาอธิบายว่า ก็เขาไม่รู้นี่ตัวเอง ก็เลยไม่ผิด ..คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด ว่างั้น !

ผมถามว่า กรณีที่ดินรัชดา ถ้าทักษิณรู้ว่าเซ็นชื่อแล้วต้องติดคุก ทักษิณจะเซ็นมั๊ยล่ะ ? ตอบแทนทักษิณได้เลยว่าไม่เซ็นหรอกโว้ย ที่เซ็นก็เพราะไม่รู้ว่ามันผิดนี่หว่า ..ไอ้เบื๊อก !

สุรยุทธ์ยึดเขายายเที่ยง บอกว่าเขาไม่รู้ แค่คืนที่ดินไป เรื่องก็จบ ..ง่ายดีนะ

แต่ทักษิณ พอบอกไม่รู้ว่าผิด เจ้าพวกผู้ดีเหล่านี้ก็ช่วยกันบอกว่า เป็นคนไทยจะบอกว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ แถมยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า ถ้าคนไปจี้ปล้นเขา พอถูกจับได้จะมาบอกว่าไม่รู้กฎหมายไม่ด๊าย เป็นคนไทยต้องรู้กฎหมาย ..ฉะนั้นไซร้ ทักษิณต้องติดคุกซะดีๆ !

จะให้คิดยังไงครับ คนไทยเหมือนกัน อยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน คนหนึ่งเป็นอดีตองคมนตรี อดีตนายกฯปัจจุบันกลับไปเป็นองคมนตรีเหมือนเดิมอีก กับอีกคนเป็นอดีตนายก มีคดีที่ดินเหมือนกัน ผลปรากฏว่าคนแรกดันทะลึ่งไม่ผิด ..คนหลังผิด แถมคุกให้ 2 ปีเป็นโบนัสแบบสุดคุ้มจริงๆ !

สำหรับความเห็นผมนะ โดยสามัญวินิจแบบชาวบ้านๆ ทักษิณน่ะ ยังแค่สีเทาๆ ยังไม่รู้ว่าผิดหรือเปล่า เพราะยังไม่มีตัวอย่างคดีที่เคยถูกตัดสินจากศาลไหนๆ หรือแม้แต่ศาลพระภูมิ แต่สุรยุทธ์น่ะ ผิดเห็นๆ ผิดจะจะจั๋งๆ เพราะมีตัวอย่างคดีที่ชาวบ้านสรวมสิทธิ์เหมือนสุรยุทธ์เปี๊ยบ และศาลตัดสินว่าผิด ..ติดคุกให้เห็นแล้วด้วย !

แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้เรียกเมืองไทยใช้ระบบสองมาตรฐานได้ยังไงละพ่อคุณ ..พ่อทูนหัวของเรียม !

สมมติกลับกัน ถ้าเป็น แม้ว ทะลึ่งไปยึดเขายายเที่ยงเหมือนพล.อ.สุรยุทธ์นี่แหละ จนกลายเป็น “แม้ว ยายเที่ยง” ส่วนสุรยุทธ์ ให้เมียไปประมูลซื้อที่ดินที่รัชดา จนกลายเป็น “ยุทธ์ รัชดา” คุณว่าตามมาตรฐานกฎหมายไทยที่จะก้าวไกลสู่กฎหมายดลกนั้น สองคนเนี่ยใครจะผิด ..ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก !

คิดว่าคำตอบคงมีอยู่ในใจคุณแล้ว แต่ลองถามตัวคุณเองต่อไปอีกนิดว่า ทำไม ? คุณถึงคิดอย่างนั้น ..เพราะอะไร ?

ฉะนั้น พวกที่แก้ต่างแทนท่านสุรยุทธ์ ไม่ต้องมาหลอกกันให้เสียเวลา หรือคิดหาเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมให้ผมยอมเชื่อตามหรอกครับ เพราะผมมองเห็นข้าวก็ยังเป็นว่าเป็นข้าว มองหญ้าก็ยังเห็นว่าเป็นหญ้า ..ไม่เห็นเป็นอย่างอื่น

พวกคุณใช้อำนาจทำลายล้างคนที่พวกคุณเกลียดชังอย่างไม่คำนึงคุณความเป็นมนุษย์ เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับพวกคุณ หาทางกำจัดเขาทุกวิธีทางอย่างปราศจากความละอายใจและความเกรงกลัวต่อบาป ใช้เท้ากระทืบเขาเหย็งๆ แต่ปากบอกพร่ำพูดแต่คุณธรรม เสียดายน้ำลาย ..ถ้าจะถุย

อดีตนายกฯทักษิณ ได้อำนาจมาจากประชาชนอย่างล้นหลาม ก็อยู่ไม่ได้เพราะความชิงชังของคนบางคน อดีตนายกฯสมัครได้อำนาจจากประชาชนให้มาทำงาน ก็อยู่ไม่ได้ถูกถอดถอนด้วยเรื่องปัญญาอ่อนชนิดคิดไม่ถึง อดีตนายกฯสมชาย ถูกเด้งกลางอากาศสังเวยการก่อการร้ายยึดสนามบินของพวกพันธมิตร ..พวกคุณทำกันทั้งนั้น !

แล้วพวกคุณล่ะ คิดว่าจะกันอยู่ได้กระนั้นหรือ พวกคุณไม่มีฐานรองรับใดๆเลยจากประชาชน เป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย คิดหรือว่าอำนาจทหารจะคุ้มครองป้องกันพวกคุณไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ..คิดอย่างนั้นหรือ

นึกภาพไม่ออก เมื่อถึงวันนั้น วันที่ประชาชนลุกฮือขึ้น พวกคุณจะอยู่กันยังไง ..เตรียมหาแผ่นดินซุกหัวกันหรือยัง !!!

เสื้อแดงคนไทยUKเปิดโปง นักวิชาการเหลืองที่ลอนดอน

ที่มา Thai E-News



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
31 มกราคม 2553

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2553 สถานทูตไทยในอังกฤษได้จัดงานที่อยากบอกว่าเป็นการ “แก้ตัวแทนอำมาตย์สร้างภาพความบริสุทธิ์” เพื่อหลอกลวงนักศึกษาไทยและนักวิชาการต่างประเทศ โดยเชิญ สุจิต บุญบงการ และบวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาเป่าหูประชาชน ที่ SOAS มหาวิทยาลัยลอนดอน

โดยที่ก่อนเข้าห้องสัมมนาสถานทูตมีการแจก(เซ็นเซอร์)เรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” และบทความของ บวรศักดิ์ ที่สร้างความชอบธรรมให้กับกฎหมายหมิ่นเดชานุภาพ

อย่างไรก็ตามชาวไทยที่รักประชาธิปไตยในอังกฤษได้รวมตัวกันเพื่อเปิดโปงสองโฆษกของอำมาตย์ มีการแจกใบปลิว และมีการตั้งคำถามคมๆจากผู้เข้าฟังหลายคน (แต่ขอไม่แจ้งนามเพื่อปกป้องความปลอดภัย) ในช่วงแรกเจ้าหน้าที่สถานทูตพยายามใช้ยามของมหาวิทยาลัยเพื่อห้ามไม่ให้มีการแจกใบปลิว และเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ ใจ อึ๊งภากรณ์ เข้าไปในที่ประชุมแต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ทูตไทยประจำอังกฤษเปิดการประชุมโดยสร้างภาพลวงตาว่าขบวนการเสื้อแดง ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ และพูดต่อไปว่ากษัตริย์ไทยอยู่เหนือการเมืองมาตลอด

สุจิต บุญบงการ นำการอภิปรายโดยอ้างเช่นเดียวกับทูตว่าคนเสื้อแดงเป็นตัวแทนของคนส่วนน้อยในสังคม ในขณะที่คนส่วนใหญ่เป็น “พลังเงียบ” การวาดภาพสังคมการเมืองไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันของ สุจิต มีลักษณะ “ประหยัดในความจริง” เพราะไม่กล่าวถึงรายละเอียดการยุบพรรค การมีสองมาตรฐานทางกฎหมาย หรือ บรรยากาศการเซ็นเซอร์สื่อ นอกจากนี้ สุจิต ดูเหมือนความจำเสื่อมเพราะเสนอว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่เคยมีในสังคมไทยก่อนหน้านี้ เขาคงลืม ๒๔๗๕ หรือ ยุค ๒๕๑๖-๒๕๒๓

เมื่อถูกตั้งคำถามว่าเห็นด้วยกับกฎหมายหมิ่นฯและกระบวนการของศาลหรือไม่? สุจิต ตอบว่า กระบวนการยุติธรรมในกรณีกฎหมายหมิ่นฯ ดีอยู่แล้ว “เป็นธรรมและจำเป็นต้องปิดศาลในการพิจารณาคดี” (ซึ่งเรามองว่าเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานความโปร่งใสสากล)

มีการพูดถึงคณะกรรมการใหม่ที่อภิสิทธิ์ตั้งขึ้นเพื่อทบทวนการใช้กฎหมายหมิ่นฯ เหมือนกับว่าจะสร้างความยุติธรรม แต่นักสิทธิมนุษยชนหลายคนสงสัยว่าวัตถุประสงค์จริงคือการทำให้กฎหมายหมิ่นฯ มีประสิทธิภาพสูงขึ้นต่างหาก สุจิต พูดอีกว่าคนที่ถูกลงโทษในคดีหมิ่นฯสามารถร้องเรียนไปถึงกษัตริย์ได้

แต่ลืมบอกว่าในกรณี สุวิชา ท่าค้อ ยังไม่มีคำตอบมาทั้งๆที่ติดคุกมาหนึ่งปีแล้ว และในกรณีที่ผู้ถูกคุมขังยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิดจะไปขอขมาทำไม สุจิต จบลงด้วยการเสนอว่าในประเทศไทยเรามีเสรีภาพในการแสดงออกไม่ได้ เพราะเรามีวัฒนธรรมในการรักกษัตริย์

อย่างไรก็ตามคนไทยผู้รักประชาธิปไตยขอมองต่างมุม วัฒนธรรมไทยมีหลายประเภท วัฒนธรรมไทยของสุจิต คือวัฒนธรรมทาสแต่วัฒนธรรมไทยของเราคือวัฒนธรรมของเสรีชน

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ผู้เปลี่ยนเจ้านายตามกระแสลมเพื่อเอาตัวรอดอย่างสม่ำเสมอ พยายามอ้างว่าปัญหาของสังคมมาจากความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนซึ่งต้องเร่งแก้ไข แต่เมื่อถูกถามว่าเขาจะคัดค้านเศรษฐกิจ(เซ็นเซอร์)หรือไม่ เพราะเป็นลัทธิที่ไม่เห็นด้วยกับการกระจายรายได้ และเป็นลัทธิของคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย บวรศักดิ์ ไม่มีคำตอบ ได้แต่โกหกว่าตนเองสนับสนุนให้ไทยเป็นรัฐสวัสดิการ แต่ในประโยคเดียวกันเจ้าพ่อแห่งความเจ้าเล่ห์คนนี้ ได้โจมตีนโยบายสวัสดิการที่เป็นประโยชน์สำหรับคนจนของไทยรักไทย ว่าเป็นการสร้าง “ประเพณีการพึ่งพาในระบบอุปถัมภ์”

ในประเด็นระบบอุปถัมภ์นี้มีนักวิชาการชาวอังกฤษคนหนึ่งเถียงว่านโยบายของไทยรักไทยไม่ถือว่าสร้างระบบอุปถัมภ์ เมื่อ บวรศักดิ์ ถูกตั้งคำถามว่าทำไมในประเทศไทยถึงมีการใช้สองมาตรฐานทางกฎหมาย เขาตอบว่า “ไม่จริง” และถ้ามีปัญหานี้ก็เป็นเพราะตำรวจไม่ทำตามหน้าที่ บวรศักดิ์ ชื่นชมระบบผู้พิพากษาและศาลจนน้ำลายหยด

เมื่อ บวรศักดิ์ ถูกตั้งคำถามในเรื่องคดีหมิ่นฯ และเสรีภาพในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง(เซ็นเซอร์)กับกองทัพ โดยที ใจ อึ๊งภากรณ์ เสนอความเห็นส่วนตัวว่าxxxอ่อนแอ ไม่มีคุณสมบัติที่จะนำการทำรัฐประหารได้ ในขณะที่ไม่เคยปกป้องประชาธิปไตยเลย แต่ถูกทหารอ้างถึงเพื่ออาศัยความชอบธรรมจากxxxในการทำรัฐประหาร บวรศักดิ์ เริ่มแสดงออกอาการฉุนเฉียวพร้อมกล่าวหาเท็จว่า ใจ อึ๊งภากรณ์ เขียนและพูดว่าxxxเป็นผู้สั่งให้มีรัฐประหาร

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการพิสูจน์ว่าคำพูดของ บวรศักดิ์ เป็นคำพูดเท็จ และมีการตั้งข้อสงสัยในเรื่องความสามารถทางภาษาของเขา เขาฟิวส์ขาดในทันทีและท้าให้ ใจ มาดีเบทกับเขาเป็นภาษาไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ ยินดีรับคำท้านี้ และคนไทยรักประชาธิปไตยในอังกฤษพร้อมจะจัดเวที ให้มีการถกเถียงดังกล่าวกับ บวรศักดิ์ ขอให้เขาเพียงแต่แจ้งมาว่าเขาพร้อมจะร่วมเวทีนี้ที่อังกฤษเมื่อไหร่

ในหนังสือ “ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ของบวรศักดิ์ ที่แจกให้คนเข้าฟัง บวรศักดิ์ พยายามสร้างภาพเท็จว่าประเทศอื่นมีกฎหมายคล้ายๆกัน แต่ผู้แทนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนของนักเขียน (PEN) ชี้แจงก่อนหน้านี้ว่ากฎหมายนี้ถูกยกเลิกไปแล้วในอังกฤษโดยที่ ราชินีอังกฤษเช็นยกเลิกเอง บวรศักดิ์ พยายามอ้างว่าประเทศไทยมี “วัฒนธรรมพิเศษ” ที่ทำให้ไทยเป็นทาสและหมอบคลานต่อ “พระพุทธเจ้าหลวง” หรือ “พ่อที่ปกครองลูก” และยังมีการพูดถึงธรรมราชาซึ่งหมายถึง(เซ็นเซอร์)ที่ปกครองด้วยธรรมะ (การปกครองด้วยธรรมะ คงหมายถึงการเซ็นรับรองการทำรัฐประหาร?)

ในงานเสวนาครั้งนี้ มีวิทยากรที่เป็นนักวิชาการอังกฤษสองคนมาร่วมเสนอ และทั้งสองคนมองว่ากฎหมายหมิ่นฯ มีปัญหา คนที่น่าสนใจที่สุดคือ Duncan McCargo ซึ่งอธิบายว่าปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้ เป็นปัญหาของการรวมศูนย์การปกครองโดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรมและประเพณีที่หลากหลาย ประเด็นที่น่าคิดคือหลายๆฝ่ายในประเทศไทยรวมทั้งทหารและนักการเมือง ยอมรับว่านี่คือปัญหาจริง แต่ไม่มีใครกล้าเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นรูปธรรม และDuncan ยังพูดถึงบรรยากาศโดยทั่วไปในไทยว่าประชาชนตกอยู่ในความกลัวและไม่มีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น

ในใบปลิว ของ ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่แจกไปในงานเสวนาครั้งนี้ มีการเรียกร้องให้มีการปล่อยนักโทษการเมืองในประเทศไทย และอธิบายว่า ปัจจุบันนี้การเรียกร้องประชาธิปไตยและการพูดความจริงกลายเป็นอาชญากรรม มีการใช้กฎหมายหมิ่นฯกระจายไปทั่วและการพยายามเซ็นเซอร์สื่ออย่างเบ็ดเสร็จ นอกจากนี้มีการพูดถึงระบบสองมาตรฐานในศาลที่ยุบพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด มีการร่างรัฐธรรมนูญของทหารที่ให้ความชอบธรรมกับรัฐประหารและระบุว่าจะต้องมีการเพิ่มงบประมาณทหารในการขณะที่ต้องจำกัดงบประมาณทางสังคม

ใบปลิวนี้เสนอว่าพวกที่สนับสนุนรัฐประหาร ๑๙ กันยา ดูถูกปัญญาของคนจนและต้องการหมุนนาฬิกากลับไปสู่ยุคอดีตที่มีแต่การซื้อขายเสียงของพรรคการเมือง โดยไม่สนใจประชาชน ทางออกที่จะแก้ปัญหาสำหรับสังคมไทยคือ เราต้องเอาประชาธิปไตยกลับมา เราต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯและกฎหมายคอมพิวเตอร์ ต้องตัดกำลังกองทัพ และนำผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมาลงโทษ ประเทศไทยควรจะเป็นรัฐสวัสดิการและ(เซ็นเซอร์)ประชาธิปไตย

--
ติดตามผลงานใจ อึ๊งภากรณ์
http://siamrd.blog.co.uk/
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53

สังคมข่าวชาวเสื้อแดง(31ม.ค.):กังหันแดง

ที่มา Thai E-News


แดงกังหันลม-แดงเนเธอร์แลนด์ เป็นเสื้อแดงอินเตอร์ประเทศล่าสุดที่เปิดตัวจัดกิจกรรมสามัคคีพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยชาวไทย และคนไทยทั่วโลกในการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริืงให้มาตุภูมิ โดยจะจัดกิจกรรมในวันที่20ก.พ.นี้ เชิญพี่น้องไทยในเนเธอร์แลนด์และประเทศยุโรปใกล้เคียงเข้าร่วมงาน


***สังคมข่าวชาวเสื้อแดงประจำวันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2553 สถานการณ์ข้นคลั้กเช่นเคย ส่งข่าวคราวกิจกรรม หรือรูปภาพกิจกรรมมาได้ที่ thaienews99@googlegroups.com ลงข่าวให้ฟรีไม่เสีัยตังค์***

***ข่่าวจากเรดอินฮอลแลนด์ พร้อมแล้วที่จะแสดงพลังร่วมกับพี่น้องเสื้อแดงคนรักประชาธิปไตยจากทั่วทุกมุมโลก เรายินดีและปรารถนาที่จะร่วมงาน ประสานงาน กับพี่น้องชาวเสื้อแดงทุกกลุ่ม เพื่อจะได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงกลับคืนมาสู่ประเทศไทย

พร้อมกันนี้เราได้จัดงานจิบน้ำชา พร้อมเสวนา ทางวิชาการ ในหัวข้อ"ประชาธิปไตย แบบไหน บ้านเมืองจึงเจริญ" ในวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ นี้ ที่ร้านอาหาร Top Thai ถนน HERENSTRAAT เลขที่ 28 กรุงอัมสเตอรดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในเวลา 11.00 นาฬิกา ด้วยบรรยากาศอบอุ่นแบบพี่ๆ น้อง ของคนรักประชาธิปไตย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ท่านที่เดินทางมาจากประเทศใกล้เคียง เรามีที่พักรับรอง

ท่านที่ประสงค์จะมาร่วมงานกรุณาแจ้งความจำนงมาได้ที่ คุณ พอกันธี อำมาตยา ผู้ประสานงานกลุ่มเรดอินฮอลแลนด์ +31 624 15 4693 หรือ email: rednederland@gmail.com***


***คุณแป๊ะ บางสนาน แห่งโครงการ2ขาเพื่อประชาธิปไตยแจ้งข่าวมาว่า ได้รับการประสานงานจากคุณอิสรีย์ ฯ ฝากเสนอข่าวว่าขณะนี้ RED ITALY (MILAN)เกิดแล้ว นี่คือสัญญาณบ่งบอกถึงคนที่รักความยุติธรรม, รักประชาธิปไตย และยังศรัทธาท่านนายก ฯ ทักษิณ ฯ นั้น มีอยู่ทั่วโลกจริง ๆ

แต่ก็ยังไม่วายโดนข้อหาโครมใหญ่จากพี่น้องที่ยังไม่เข้าใจคำว่ายุติธรรมคืออะไร เมื่อประเทศไทยได้ประชาธิปไตยแล้ว พี่น้องรากหญ้าจะได้ลืมตาอ้าปากจากโอกาสที่จะได้รับจากนโยบายที่ดี ๆ นั้นเป็นอย่างไร

ข้อหาที่โยนให้ก็คือข้อหาเดิม ๆ ที่ใช้ในเมืองไทย แต่เที่ยวนี้โกอินเตอร์ไปใช้ที่อิตาลี คือพี่น้องเสื้อแดงที่มาร่วมพลังกัน ได้เงินจากพี่อิสรีย์ ฯ ตัวตั้งตัวตี RED ITALY คนละ 50 ยูโร เป็นต้น (ดีนะไม่บอกว่าทักษิณจ้างมาเป็นรายหัว 5555)

กรรมแท้ ๆ อุตส่าห์มีวาสนาไปอยู่ประเทศที่เจริญแล้ว ยังไม่สามารถคิดเองได้ก็กรรมใครกรรมมันนะพี่น้องนะ


และไม่มีคำว่าท้อสำหรับสาวเสื้อแดงที่ชื่ออิสรีย์ ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย สายเลือดที่ไหลเวียนยังมีความยุติธรรมเต็มเปี่ยมในหัวใจ ประกาศเดินหน้าสู้ต่อ กาลเวลาเท่านั้นพิสูจน์ความจริงได้ พี่น้องเสื้อแดงในเมืองไทย และพี่น้องเสื้อแดงทั่วโลกเอาใจช่วยนะครับ

และฝากข่าวถึงพี่น้องที่อยู่เวนิส ว่าเร็ว ๆ นี้เจอกันนนนนนน***

***วันนี้เวบนปช.ยูเอสเอมีรายการน่าสนใจถ่ายทอดสดวิทยุผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลกในตอน"ผู้หญิงเสื้อแดงประชาธิปไตย"โดยเชิญหลายสาวเสื้อแดงจากหลายมุมโลกร่วมรายการ เช่น คุณทีน่า,คุณดอกหญ้า จากRED USA คุณอำแดง สาวฮ็อตแห่งห้องราชดำเนิน เวบพันทิป ในเวลาราวเที่ยงวันของเมืองไทย หรือเวลาสวามทุ่มคืนวันเสาร์มในอเมริกา อย่าลืมคลิ้กไปฟังที่http://norporchorusa.com/***

***ฮัดเช้ย!นักรบหรือนั่น ออกมาฮึ่มฮั่มๆบอกเสธ.แดงหมิ่นสถาบันทหาร ยอมไม่ได้ ต้องตบเท้าแสดงพลัง..แล้วตอนสนธิลิ้มทั้งถ่มทั้งถุยใส่อนุพงษ์มาสารพัด พวกเอ็งไปนั่งสวมกระโปรงซุกอยู่รูไหนวะ?...อย่ากระนั้นเลยปล่อยให้พวกนายพันนายพลนักกอล์ฟเล่นลิเกกันไป ฝ่ายประชาธิปไตยอย่าไปให้ราคานัก และขอเรียนเชิญไปให้เกียรติแก่เสธ.แดงที่จะเดินทางไปปราศัยกับพี่น้องเสื้อแดง ในวันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2553 เวลา 13.00 -18.00 น. ณ โรงแรม ซิตี้บีช อยู่ติด สภ.อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ สนใจติดต่อ คุณโต..089-1594953 และ คุณชมเมือง 089-4097577 เขตประชนไม่ห้ามใครเข้า ***

***ท่านใดที่สนใจเรื่อง"สื่อใหม่"ที่จะมาแทนสื่อเก่า สื่อน้ำเน่ารับใช้เผด็จการ เชิญฟังการบรรยายทางวิชาการในวันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม ช่วงเช้า 9.00 น.-12.00 ห้องบรรยายชั้น 5 อาคารหอสมุดเดิม วิทยาลัยนวัตกรรม ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่รับจำนวนจำกัด บรรยายโดยนักวิชาการสายประชาธิปไตย อาจารย์วิภา ดาวมณี หนนี้ว่าด้วย ศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง คือทฤษฎีการบริหารสื่อ และอุตสาหกรรมการผลิตสื่อสมัยใหม่- และการบริหารความเปลี่ยนแปลงแนวคิด IMC (Strategy and Corporate Culture in High-Tech Firms)สำรองที่นั่งสอบถามที่อีเมล์ octnet72@yahoo.com ***


เสร็จแล้วไปต่อกันที่งานจรรยาบรรณเ(สื่อ)ม-งานเสวนาวงเล็ก Mirror Talk 3.5 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม บ่ายโมง ที่ลานเสรีภาพ อิมพิเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 5 พบกับวิทยากร จอม เพชรประดับ สมยศ พฤกษาเกษมสุข รศ. สุดสงวน สุธีสร โทร. 084-0910707 (ไม่มีค่าเก็บบัตรผ่านเข้างาน)



***แดงออสเตรเลียขอเชิญพี่น้องผู้มีหัวใจรักประชาธิปไตยร่วมงาน"สังสรรค์ประสานใจThai RED AUSTRALIA กิน ฟ้อน ร้อง รำ"ในงานพบกับโฟนอินจากนายกฯทักษิณ 7 กุมภาพันธ์นี้ที่Petersham tawnhall(ใกล้สถานีรถไฟPetersham)17.00-22.30น. ติดต่อซื้อบัตรโทร0403 979 889 บัตรราคา$15(ไม่รวมเครื่องดื่ม)***

***คิวกิจกรรมของทีมนปช.แดงทั้งแผ่นดิน วันนี้-สิ้นเดือนมกราคม 2553

อาทิตย์ 31 มกราคม 18.00-24.00 อำเภอเมือง ขอนแก่น ปราศรัยใหญ่ถ่ายทอดสดพีเพิลแชนัล นำทีมโดยวีระ,จตุพร,ณัฐวุฒิ,อริสมันต์,พายัพ,วิสา,ไพจิตร,นิสิต,แรมโบ้,เจ๋ง ดอกจิก


***กำหนดการสัมมนา เรื่อง “ การก้าวเดินของพรรคแนวร่วมสังคมประชาธิปไตย” วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ 2553 เวลา 10.00 น. – 16.30. น.ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์


สืบเนื่องจากคณะบุคลกลุ่มหนึ่งที่พยายามฟื้นฟูการจัดตั้งพรรคสังคมนิยมเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับ ประชาชนในยามวิกฤตและสับสนต่อความเป็นประชาธิปไตย ความพยายามของกลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการเลือกตั้งที่จะให้ใช้ชื่อ พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยจึงได้มีความพยายามปรับเปลี่ยนให้ตรงกับระเบียบของคณะกรรมการเลือกตั้งเพื่อความสมบูรณ์ของการเป็นพรรคการเมืองไทยโดยใช้ชื่อ “แนวร่วมสังคมประชาธิปไตย” โดยมีนาย ประชา อุดมธรรมมานุภาพ เป็นหัวหน้าพรรค และกำหนดจัดสัมมนาขึ้น มีกำหนดการดังนี้

10.00 น. – 10.30 น. ลงทะเบียน
10.30 น. - 10.45 น. หัวหน้าพรรคแนวร่วมสังคมประชาธิปไตย กล่าวเปิดตัว พรรค และแสดงวิสัยทัศน์
10.45 น. – 11.00 น. ปาฐกถา “สังคมนิยมไทยไม่มีวันตาย” โดย พ.อ สมคิด ศรีสังคม
11.00 น. – 12.00 น. กระบวนการต่อสู้ของประชาชน โดย สุรชัย ด่านวัฒนานุสรน์
12.00 น. – 13.00 น. แสดงความยินดีในการฟื้นฟู อุดมการณ์สังคมนิยมกับพรรคการเมือง โดย คำสิงห์ ศรีนอก
13.30 น. – 15.30 น. สัมมนา เรื่อง รัฐสวัสดิการ และแนวคิดสังคมนิยมในยุโรป ดำเนินรายการโดย อ.วิภา ดาวมณี
15.30 น. – 16.30 น. ความเป็นมาของสังคมนิยมไทยในอดีต โดย ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
17.00 น. ปิดการสัมมนา


ติดต่อสอบถาม โทรศัพท์ 080 0369301 , 081 8601129***


***ปิดท้ายสาวเสื้อแดงวันนี้ สมกับเป็นวันอาทิตย์สบายๆ เธอชื่อมิเชล วี สาวนักกอล์ฟระดับโลกที่หนุ่มๆค่อนโลกละเมอหา***

ตูนGAG LASVEGAS:คนดีNEVER DIE คนให้ร้าย..ใกล้ถึงเวลา

ที่มา Thai E-News

NGOsที่รักภาคพิสดาร(7):แหล่งทุนหน้าโง่ กับ องค์กรประชาชนอีสาน

ที่มา Thai E-News


event-อีเวร!-งานมหกรรมประชาชนภาคอีสานที่ขอนแก่นเมื่อ27ม.ค.ซึ่งมีNGOsอีสานเป็นออแกไนเซอร์ เนื้อหางานสอดคล้องกับแนวคิดของผู้นำเอ็นจีโอที่ปฏิเสธระบบเศรษฐกิจการตลาด และเน้นแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนแนวโรม้านซ์พาฝัน ข่าวว่าใช้งบจัดงานไปทั้งสิ้น2.7ล้านบาท(อ่านรายละเอียด)

โดย คุณรักเอ็นโตดี ห่วงประชาชน
30 มกราคม 2553



ซีรีส์ชุดนี้ก็ปาเข้าไปหกตอนแล้ว...ไม่เห็นวี่แววว่า บรรดา “เอ็นโตดี” ทั้งหลายทั้งปวง...แมร่งออกมาโวยวายแก้ข่าวเลยอะนะ...ก็มันจะกล้าออกมาได้งายสาดดด...ก็เรื่องแมร่งจริงทั้งน้าน...นะ... น้านะ...ว่าม่ะ!!!

ก็ไม่ว่าจะเป็นเพือก “NGOs โลก” ...หรือ เพือก “แหล่งทุนหน้าโง่” (ไม่ว่าไทยหรือเทศอะนะ...)...หรือ เพือก “องค์กรประชาชน” (กรูเรียกรวม ๆ ว่า “องค์กรประชาชน” ซึ่งความจริงสิ่งที่จะเรียกว่า “องค์กรประชาชน” ได้นั้นมันมีที่มา, องค์ประกอบเยอะอะนะ...อย่างน้อยก็ควรจะมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เรียกว่า “กลุ่ม” / “องค์กรชาวบ้าน” / “องค์กรชุมชน” / “เครือข่าย” อะไรเทือก ๆ นี้แหละนะ...ในที่นี้ไม่ใช่ประเด็นของกรู...ขอยกการถกเถียงไปให้ อุเชนทร์ กะ โฉด...เค้าดีกว่า!!! เพราะเพือกนี้เค้าเถียงกัลล์มันส์ดีว่ะ..)

ทั้งหลายทั้งปวงดังข้างต้น มันล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัลล์...หรือเรียกว่า “พันกัลล์ลุ่มอุ้ม” ครือแมร่งมั่วไปหมดอะนะ...มั่วยังงัยก็อย่างที่กรูว่าไปแล้วนั่นแหละ...แคร่กรู “ปล่อยของ” ไปไม่กี่แหล่งทุน เช่น SIF / พอช. / สสส. เนี่ยะนะ ก็สุดจะฮือฮากัลล์แว๊ววว...ต่อไปนี้จะเป็น “หนังชีวิตเรื่องยาว” ประเภท “ตำนานรักดอกเหมย” อะนะ...

..และต่อจากนี้ไปขอสาธุชนที่รักทั้งหลาย จงได้สดับรับฟังอย่างมี “สติ”...แต่ไม่จำเป็นต้องเก็บ “สตังค์” อะนะ...ไอ้เหี้ยม NGOs หน้าหมานทั้งหลาย ควักกระตังค์จ่าย “ค่าเหล้า ค่าเบียร์” บ้างซิโว้ยย์...แมร่งหาแดกฟรียันเต...ไอ้ส้นตีง...สาดดดด !!!

เอ้า...กรูขอเริ่มที่นี่เลยอะนะ...หลังปี 2523 เกิดวิกฤติศรัทธา “ป่าแตก” ของ พคท. บางส่วนก็หันหลัง 180 องศา บอกเลิกศาลากะ “มาร์กซิสต์” อะนะ...บางส่วนก็หันไปนิยมชมชื่นทฤษฎีใหม่ ๆ เช่น เคออส (ดู ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์), ระบบโลก(ดู เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ), โพสต์โมเดิร์น (ดู ไชยันต์ ไชยพร), นิวโซเชียลมู๊พเม้นต์ (ดู ไชรัตน์ เจริญศิลป์โอฬาร), ประชาสังคม (ดู ประเวศ วะสี) อะไรเทือกเนี๊ยะแหละ...บางส่วนก็หันไปปลูกต้นไม้ ดูแลใบหญ้า อยู่กลางป่ากลางเขา...เอ๊ะ ๆ หน้าคุ้น ๆ เหมียลล์ เสี่ยวีระศักดิ์ ระบำยอดหญ้าอะไรเทือกนี้แหละ...

บางส่วนยังต้องการทำงานเพื่อสังคมก็เข้าไปแสวงหาแนวทางการพัฒนาสังคมแบบใหม่ เช่น ไปเป็น “อาสาสมัคร” ของ “มอส.” ที่พูดถึงไปแล้ว...แน่ละ, บางส่วนก็เข้าไปทำงานสังกัด NGOs ก่อรูปองค์กรใหญ่โตกันหลายคน เช่น หมอพรหมมินทร์ เลิศสุริยเดช ก่อนจะลาออกจากหมอมาทำธุรกิจกับทักษิณ ก็ทำงานร่วมกับ NGOs โลก อยู่แถว ๆ เมืองพล จ.ขอนแก่นอะนะ, หมอพลเดช ปิ่นประทีป-กรูเคยว่าไปแว๊ววว!!!, เสี่ยภูมิธรรม เวชยชัย กรูก็สาธยายไปบ้างแว๊ววว!!!

แล้วก็ ทวีเกรียติ ประเสริฐเจริญสุข เอ้อ ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “เธียรธรรม เธียรสิริไชย” ทำมาหารับประทานอยู่ที่ม.รังสิต หมอนี่มีชื่อเป็น “นักวิชาการ” ประจำ “โครงการ 126 ล้านบาท” ที่เอ็นจีโอสายพันธมิตรฯเสนอ สสส. นั่นงัยสาดดด, ส.ประวัติ-สมภพ บุนนาค แมร่งช่วงหลังขอเปลี่ยนชื่อแล้วโว้ย...เค้าชื่อ “นายประวัติ บุนนาค” (เอาชื่อ “จัดตั้ง” มาเป็นชื่อใหม่ กลัวคนไม่รู้หรืองัยว่า เคยเป็นอดีต “สโหย” สาดดด...

พวกเมริงดูใน “โครงการ 126 ล้านบาท” ที่เอ็นจีโอสายพันธมิตรเสนอขอทุน สสส. ละกัลล์ ก็มีเค้านี่แหละเป็น “ผู้ประสานงานนักวิจัยภาคสนาม” ในคณะทำงาน “เครือข่ายผู้ตื่นตัวทางการเมือง” -ตื่นตัวพ่อตื่นตัวแมร่งเมริงนะซิ ขี้เหลืองอ๋อยทั้งน้านนน...เฮ้อ !!!), เสี่ยสุวิทย์ วัดหนู แห่ง “มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย” (มพศ.)-นี่ก็รับหมากกะตังค์จากหลายแหล่งทุน เช่น แตเดซอม / NOVIB ฯลฯ, เสี่ยโป๊ะ-วัชพันธ์ จันทร์ขจร นี่ก็อยู่แหล่งทุนเมืองนอกอะนะ “แตเดซอม”

เสี่ยอี๊ด YT.-ทรรศิน สุขโต เนี๊ยะก็ของจริงผู้ก่อตั้ง “โครงการฝึกอบรมเยาวชนเพื่อการพัฒนา” (YT.) สานุศิษย์รุ่นแรก ๆ ส่วนใหญ่ก็พวกที่มีส่วนร่วมการก่อตั้ง “สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย”(สนนท.) อะนะ เช่น “บ้า” อภิชาติ ขำเดช, “ไท” อุทัย อัตถาพร, “กร” นิกร จันพรม, “น้อย” ประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี, “หมู” ชูศักดิ์ , ส่วนรุ่นหลัง ๆ ก็เช่น “ไผ่” นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์, “อ้วน YT.” , “หมี” สุริยันต์ ทองหนูเอียด เป็นอาทิ...

กระนั้นก็ดี...ยังมีอีกบางส่วนที่ยังมีความเชื่อมั่นและศรัทธากะ “ศาสดาเคราดก” คนนั้นอยู่...แต่เมื่อ “บ้านใหญ่” แพแตกเสียแล้ว...ไม่มีหลังคาบ้านคอยคุ้มกะลาหัวอีกแล้ว...อย่ากระนั้นเลย...อย่ามัวฟูมฟายอยู่เลยสโหย เอ้ย สหายเอ๋ย...เพือกเรามาร่วมกัลล์สร้าง “บ้านใหม่” ให้ใหญ่กว่าเดิมกัลล์ดีกว่า ว่าแล้วบรรดา “ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” บางส่วนก็รวมตัวกันเข้า...ก่อรูป “องค์กร” ขึ้นมาใหม่...นัยว่า งานนี้เพื่อแบกรับภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่ยังค้างคาให้บรรลุเป้าหมาย “ฟ้าสีทองผ่องอำไพ” กัลล์ให้ได้ในชาตินี้อะนะ...
...ว้าว ๆ ๆ

มันจึงเป็นที่มาของ “โครงการพัฒนาการศึกษาเพื่อชุมชน” (พ.ศ.ช.)ยังงัยหละสาดดด...อ้าว ๆ ๆ...แมร่งทำหน้า “งง ๆ”...จะไม่ให้เพือกเมริง “งง” กัลล์ได้งายยยย...ก็เรื่องมันนานมาตั้งแต่ปีมะโว้แว๊ววว...แต่กรูขอบอกกะเพือกเมริงว่า โปรดติดตามมาอย่างกระชั้นชิดและอย่ากระพริบตา ก็ไอ้ตัวละครแต่ละตัวใน “พ.ศ.ช.” เนี๊ยะอะนะ...ก่อตั้งราว ๆ เดือนกันยายน พ.ศ. 2525 ก็หลังป่าแตกอะนะ เป็นความพยายามร่วมของบุคคลหลายฝ่าย เช่น ครู นักวิชาการ นักการศึกษา NGOs และผู้นำชาวบ้าน...ซึ่งแต่ละคนนั้น ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน “อ่างชูวิทย์” เอ้ยไม่ใช่ใน “อ่างทองคำ” ของขบวนองค์กรประชาชนอยู่

ทุกวันนี้...ยังไม่มีใครล้างมือในอ่างทองคำเลยซักคนอะนะ...และที่สำมะคัญ...แมร่งแต่ละคนก็ล้วนเกี่ยวข้องกะอภิมหากาพย์รามายณะสยาม ตอน “เหลือง-แดง” ในปัจจุบันทั้งน้าน...ที่นี้เริ่มจะ “เก็ต” กัลล์หรือยังหละสาดดด... “เก็ต” OK!!!

“ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” ใน พ.ศ.ช. อย่างที่กรูว่าไปน้านนน...โดยส่วนใหญ่เป็นเพือก “ครูบาอาจารย์” ทั้งหลายอะนะ...อาทิ ส.เพิก ชุมแพ (ครูสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์), ส.วา (ครูสน รูปสูง), ครูเกิด ขันทอง, ครูวีระ รูปคม, ครูคณิต ธัญญะภูมิ, ครูประเสริฐ กิติรัตน์ตระการ (เนี๊ยะก็จบดอกเตอร์คนแรกของคณะคุรุศาสตร์จุฬาฯอะนะ และมีชื่อเป็น “ผู้จัดการบริหารงานฝ่ายสังคม” ของอภิมหาโปรเจค “โครงการ 126 ล้านบาท” ที่พันธมิตรเอ็นจีโอเสนอขอทุน สสส. อันสุดแสนจะฮือฮาอะนะ...ก็อยู่ใน “แก๊งค์รังสิต” ของเสี่ยปากแดงนั่นแหละ)

ครูอำนวย พลหล้า, เสี่ยพนัส สวัสดิ์สกุลพงษ์ เป็นอาทิ...(ส่วนในภูมิภาคอื่น ๆ ก็มี นี่เลย...ภาคกลาง เช่น ครูสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์, ภาคเหนือ เช่น เสี่ยจักร พัชรพัฒนชัย-อดีตประธาน กป.อพช.ภาคเหนือ...) กลุ่มนี้ได้รับเงินจาก “แหล่งทุนหน้าโง่” เมืองนอกหลายประเทศ...เช่น กองทุนพัฒนาท้องถิ่นไทย-แคนาดา-LDAP (แคนนาดา), CCA (ออสเตรเลีย), FREUNDESKRIES (เยอรมันตะวันตก) TERE DE’S HOMMES (เนเธอแลนด์) ...โหย แมร่ง ฝรั่งสุด ๆ สาดดดด....กลุ่มนี้ดำเนินงานมาสัก 6-7 ปี ก็เลิกรากัลล์ไป แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคนยังลึกซึ้ง อ้าวก็เป็นเพื่อน สโหย เอ้ย สหาย กัลล์มายาวนานงัยสาดด...อย่างงงมากนัก...เดี๋ยวมรึงโดง ๆ...เดี๋ยวปั๊ดเนี๋ยวว์เยยย์ย์...(อันนี้ของส.อ่าง ฟ้าใสใจชื่นบาน!!! ฮา ๆ ๆ)…

ในช่วงปลาย ๆ โครงการ พ.ศ.ช. มี “ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” หรือ “ครู” บางส่วนก็แยกตัวมาทำโครงการต่างหาก โดยได้เงินสนับสนุนจากแหล่งทุนเมืองนอกคือ NOVIB (เนเธอแลนด์) ในนามโครงการที่เรียกกันภายในว่า “ธิดา” เช่น ครูคณิต ธัญญะภูมิ, ครูสน รูปสูง และครูพนัส สวัสดิ์สกุลพงษ์ ก่อนจะเลิกราโครงการไปกัลล์แบบเงียบ ๆ....กระนั้นก็ดี มีงานรูปธรรมด้าน “เศรษฐกิจ” ที่ประสบผลสำเร็จ และยังคงเหลือให้ศึกษาเป็น “บทเรียน” ก็คือ “โรงงานแป้งขนมจีน” ของ “เสี่ยพนัส” ที่จังหวัดศรีสะเกษ ว่ากัลล์ว่า ปัจจุบันนี้มีราคาเป็นพันล้านบาทอะนะ และได้เข้าสู่ตลาดหุ้นแว๊ววว์ เอาเป็นว่ารวยเละตุ้มเป๊ะอะนะ...และที่บ้านโนนแดง ตำบลโนนแดง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ของลูกศิษย์ครูคณิต ธัญญะภูมิ “ไอ้เสี่ยเบย์” เนี๊ยะก็ไม่เบาโรงงานแป้งขนมจีน สนนราคาก็เป็นร้อยล้านบาทอะนะ บลา บลา บลา !!!

และในช่วงใกล้เคียงกัลล์นั้น ราว ๆ ปี 2531-32 ทาง “มูลนิธิดวงประทีป” ของ ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ก็ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก “แหล่งทุนหน้าโง่” คือ MDM จาก ประเทศฝรั่งเศส มาดำเนิน “โครงการทุนการศึกษานอกพื้นที่” (นอกสลัมคลองเตย) ประมาณปีละ 18 ล้านบาท โครงการนี้แหละเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวอันคึกคักในภาคอีสาน จนก่อ “ตำนาน” ของ “สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน” (สกย.อ.) อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรในยุคสมัยหนึ่งของประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชาวนาชาวไร่ภาคอีสาน เนื่องเพราะโครงการ MDM ดังกล่าวนั้น ก็มีนี่เลย...ส.ใหม่ (ครูนคร ศรีวิพัฒน์) เป็นหัวหน้าโครงการฯ ยังงัยหละสาดดด...เพือกเมริงใกล้จะเข้าใจกัลล์หรือยังสาดดด!!!


เมื่อ ครูนคร ศรีวิพัฒน์ มีงบประมาณอยู่ในมือ ก็เปรียบเสมือน “พยัคฆ์ติดปีก” อะนะ...ที่นี้แหละเมริง “ราชสีห์” ก็ราชสีห์เหอะ เจอเสือติดปีกยั่งกรูรับรองกลายเป็น “แมวเหมียว” เรียบโร้ยโรงเรียนเจ๊ตุ๊ก...เอ้ย...โรงเรียนจีนแหง๋แซะ...ว่าแล้วครูนครที่คนในแวดวงนักเคลื่อนไหวทั้งบนดิน ทั้งใต้ดิน ทั้งในรู ต่างนิยมเรียกว่า “เฒ่าขี้ดื้อ” ก็เร่งระดมขุนพลทั่วสารทิศมาช่วยกัลล์ทำงาน...ว่ากัลล์ว่า งานนี้กะ “พลิกฟ้าค่ำแผ่นดิน” กัลล์อีกสักคราว่างั้นเหอะ...

อ้าวมีใครบ้างหว่า มองเห็นแว๊ป ๆ ก็นี่เลย “ดีหนึ่งประเภทหนึ่ง” เจ้าของ “สมญานาม” ที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยอย่างแน่นอนมันส์ครือ “บ้า” อภิชาติ ขำเดช และมิตรสหาย “แอ๊คติวิสต์” จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น“พฤกษ์” พฤกษ์ เถาถวิล, “ทัก” พิทักษ์ เกิดหอม, “โป๊ะ” เจษฎา โชติกิจภิวาทย์, “ติ๋ง” อภิชาติ ศิริสุนทร, “ปุ๋ย” นันทโชติ ชัยรัตน์(เสียชีวิตแล้ว), “จืด จางนิรันด์” สถิต ยอดอาจ, “เล็ก” สุภาวดี บุญเจือ โดยมีมือขับรถตีนผีแต่ใจเสาะแห่งเมืองหลวงคอมมิวนิสต์อีสานใต้ “แพงพวย” ในนาม “ส.สองคม พ่อประชา”(อันนี้ไม่ได้ดูหมิ่นประชาชนนะกร๊าบ แต่แมร่งหมายความถึง-ประชา ธรรมดา อะนะ..ฮา ๆ ๆ)เป็นอาทิ...โดยใช้ “สลัมคลองเตย” เป็นเสมือนศูนย์บัญชาการ

มีทีมงานใน “เมือง” เช่น “นก” พิษณุ ไชยมงคล, “นู” ธนู จำปาทอง, “ต้อยคอตก” วิรัตน์ โรจน์วิชัย, “เบิ้ม” พิชิต พิทักษ์, “ติ” สันติ ยำสัน(เสียชีวิตแล้ว),“หน่อย” รัชนี นิลจันทร์, “กุ้ย” ศรายุธ ตั้งประเสริฐ, “ยอด” วรดุลย์ ตุลารักษ์, “อึ่ง” วิรัตน์ บุญชาย เป็นหน่วยสนับสนุนทั้งที่พัก “วังอสูร” และเสบียงกรังเพรียบพร้อม...เมื่อจัดทัพปรับขบวนแถวกัลล์เรียบโร้ย...ก็กดไฟเขียว...แมร่งลุยโลดดด!!!

ว่าแล้ว “ขบวนแถวดวงประทีป” ก็สยายปีกสู่แผ่นดินที่ราบสูง พลัน!!! แน่หละ...การทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ “แหล่งทุนหน้าโง่” จากเมืองนอกเมืองนา แมร่งก็ต้องมีลูกล่อลูกชนหน่อยซิมรึง!!! อย่ากระนั้นเลย...เพือกเราต้องใช้เงิน “ทุนการศึกษา” เป็นเครื่องมือ พรรคเพือกเป็น “ครู” เยอะแยะ ต้องไปงัดออกมาช่วยกัลล์ทำมาหากิน เอ้ย ช่วยกัลล์ทำงานอะนะ...เพือกเราต้องให้เค้าจัดตั้ง “กลุ่มครู” ขึ้นมาในพื้นที่ แล้วก็ให้เงินเป็นทุนการศึกษาเด็ก ๆ ที่นี้เพือกเราก็ได้ทั้งงานจัดตั้ง “กลุ่มองค์กรชาวบ้าน” และจัดตั้ง “กลุ่มเยาวชน” ไปพร้อม ๆ กัลล์เลย...ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว วูปี้ ๆ ๆ ...ว่าแล้ว “เฒ่าขี้ดื้อ” ก็ยก “ชามยาดอก” สาดลงลำคอ โฮ๊ก ๆ เอื๊อก ๆ พร้อมแหงนหน้าหัวเราะเหมียลล์จะเย้ยฟ้าท้าดิน ฮา ๆ ๆ....

จะว่าไปแล้วงาน “กลุ่มครู” ก็ไปได้แบบสวยหรูอะนะ...กลุ่มผู้นำครู/ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่าในภาคอีสาน นับตั้งแต่จบสิ้นโครงการ พศช. ก็พากัลล์พาเหรดเข้าร่วมขบวนแถวอย่างยาวเหยียด!!!...นับตั้งแต่สระบุรีเลี้ยวขวาเป็นต้นไป...เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ประสพพบพระพักตร์ นี่เลย...ส.เพิก ชุมแพ-ครูสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, ครูสุชาติ ชอบพิมาย...เลยไปบุรีรัมย์ ก็เจอกับ ครูจ่อย-สุรศักดิ์ ชัยรัมย์, ครูพิง-ทนง บุญอิ้ง...เข้าถึงสุรินทร์ก็เห็น ครูสังคม เจริญทรัพย์ แว๊ป ๆ ...ที่ศรีสะเกษก็ใครเสียอีกหละ ครูอรุณศักดิ์ โอชารส, ครูอุดม บัวเกษ...อ้าวมาถึงอุบลราชธานี ก็นี่เลย ครูเกิด ขันทอง, ครูวีระ รูปคม, ครูสำเริง รูปสวย...บุกขึ้นไปถึงอำนาจเจริญเจอ ครูพิทักษ์ สุขกุล...แวะขึ้นภูสะดอกบัวเข้ามุกดาหารนี่งัย ครูพินิจศักดิ์ คำวัน, ครูรัฐสภา นามเหลา...เลาะลงมาแถวยโสธรพบกับ ครูปรีชา ศรีอุบล, ครูสานิตย์ มาสขาว...

หลบลงเขตขาวเก่าเมืองร้อยเอ็ดอ้าวเจอพี่เค้าเลย ครูนิรมิต สุจารี...ใส่เกียร์หมา ดับไฟหน้า แล้วแซงซ้ายแมร่งเลย ทะลุมหาสารคาม อ้าว ไอ้เหี้ยมยังอยู่สบายดีนี่หว่า นี่เลย ครูควยชัย เอ้ย อวยชัย วะทา, ครูสุพจน์ อัครพรหมณ์, ครูเรืองยศ จันทรสามารถ...

แวะมาเมืองหลวงภาคอีสานดินแดนดอกคูณเสียงแคนขอนแก่นเค้ายืนรออยู่แว๊ววว จะใครเสียอีกหละ ครูเสียว ลูบต่ำ เอ้ย ครูสน รูปสูง-ขาใหญ่ของเราเนี๊ยะถ่างขารอนานแว๊ววว และนี่งายยย “กลุ่มครุภูเวียง” เช่น ครูอำนวย พลหล้า, ครูพิทยพันธ์ แวะศรีภา, ครูวรวิทย์ สุดตาสอน, ครูกุศล ขันขวา...

แวะไปชัยภูมิกัลล์หน่อยอ้าวยังอยู่ครบทั้ง ครูคณิต ธัญญะภูมิ, ครูองอาจ นาเพีย...ลุยขึ้นอีสานเหนือโลดก็ยังเห็นหน้าเสมอสำหรับ ครูประเวียน บุญหนัก(เสียชีวิตแล้ว), ครูไพฑูรณ์ ป้องนารา...

ช่วงหลัง ๆ ยังขยายงานกลุ่มครูไปทางหนองคายเห็น ครูหงส์สุนีย์ ที่เอาการเอางานสม่ำเสมออะนะ....(ขอให้เพือกเมริงจดจำไอ้ชื่อ “ปัญญาชน” เหล่านี้ให้ดี ๆ ...เพราะ มันมี “นัย” ที่เกี่ยวข้องกับ “องค์กรประชาชนภาคอีสาน-จากอดีต ถึง ปัจจุบัน” และขบวนการ “ขี้เหลืองอ๋อย” อย่างจ๊ำบ๊ะกัลล์เลยที่เดียว!!!...ปะเดี๋ยวกรูจะกลับมาเหลาให้ฟัง!!!)

ขอรวบรัดตัดตอนอะนะ...มานี่เลย พอ ครูนคร ศรีวิพัฒน์ เคลื่อนไหวกลุ่มครูภาคอีสานมาได้สักระยะหนึ่ง...ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ “พฤษาภาทมิฬ 2535” ไม่นานนัก ก็มีการออกแบบ “องค์กรครูพันธ์ใหม่” ขึ้นมาร่วมกัลล์ ภายใต้ชื่อ “สภาองค์การครูเพื่อสังคม” (สคส.)โดยมี ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ เป็นประธาน, ครูสน รูปสูง เป็น รองประธาน, ครูสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็น เลขาธิการ และอย่างที่กรูบอกเพือกเมริงไปแล้วว่าให้จำชื่อกลุ่มครูปัญญาชนเหล่านี้ไว้ให้ดี ๆ ...เห็นมั๊ยว่า โผล่หาง เอ้ย โผล่หัว ขึ้นมาแว๊วววหนึ่งองค์กรกร๊าบบจ้าวววนายยย....ก็รายชื่อครูข้างบนตั้งแต่สมัย พศช. / ธิดา / MDM เนี๊ยะอะนะ...ก็เป็น “คณะกรรมการ” และ สมาชิกสำคัญ ๆ ของ สคส. แทบทั้งสิ้นงัยสาดดด....

องค์กรครูพันธ์ใหม่-สคส. เนี๊ยะนะมีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนไหวสนับสนุนทางด้านความคิดต่อขบวนองค์กรประชาชนในภาคอีสานมาอย่างต่อเนื่อง...ยิ่งในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” ภายหลังที่แกนนำประกาศ “พักยก” แล้วมีการช่วงชิง “การนำ” จาก “คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย” (ครป.) และ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)...(กล่าวสำหรับ ไอ้คอรอปวย...เอ้ย ครป. เนี๊ยะนะ ว๊อยยย... แมร่งเป็นองค์กร ใจเสาะ ตั้งแต่พฤษภาทมิฬ 2535 แล้ว สมัยนั้น ดร.โคทวย เป็นประธานอะนะ มีคราหนึ่ง ครั้งประชุมกำหนดท่าทีต่อการเคลื่อนไหว โคทวย ก็พยายามเสนอให้ใช้ “สันติวิธี” แมร่งแบบตะบี้ตะบัน แบบว่า กะให้ผู้ชุมนุมนุ่งขาวห่มขาว หรือ แมร่งโกนหัวห่มผ้าเหลืองแมร่งให้มันส์รู้แล้วรู้แร่ดอะนะ..แมร่งเลยถูก “ครูประทีป” ชี้หน้าด่ากลางห้องประชุมว่า “หากใจปลาซิวนัก ก็ให้ไปหาผ้าถุงใส่ซะไป๋!!!” ฮา ๆๆ...แมร่งกรูไม่รู้ว่าสานุศิษย์พวกมันสส์จำได้มั๊ย หือ อือ...)

การปฏิบัติการครั้งกระโน้น เกิดขึ้นจาก “กลุ่มปีกซ้ายพฤษภา” ได้ช่วงชิงระหว่างพักยก ประกาศจัดตั้ง “สมาพันธ์ประชาธิปไตย” ขึ้นนั้น ปรากฏว่า ถึงเวลาการเลือก “ผู้แทน” ใน “คณะกรรมการ 7 คน” ของสมาพันธ์ฯ ต้องมี “องค์กรสังกัด”

...ครือมันส์ต้องมีที่มาที่ไปอะนะ...เช่น ไอ้เหี้ยมจำลอง มาจากสายพรรคการเมือง คือ “พรรคพลังธรรม”...หมอเหวง มาจากสาย “กลุ่มคนเดือนตุลา”...หมอสันต์ มาจากสาย “กลุ่มนักวิชาการ”...เอกขี้เหลืองอ๋อย-ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล มาจากสาย “สนนท.” (ไอ้ความจริงเค้ากะไม่เอาไอ้เอกแมร่งแล้ว เพราะแมร่งใจปลาซิว อะนะ...เค้ากะจะเอาไอ้สิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ เป็นกรรมการสมาพันธ์ฯอยู่แล้ว แต่กลัวเสีย “ภาพพจน์” เดี๋ยวแมร่ง รสช. เอาไปโจมตีว่า สมาพันธ์ฯ แตกกัลล์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งยังงัยหละสาดดด...

...ไอ้เอก...แมร่ง ยังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่า “ผู้ชายเดือนพฤษภา” ถุยส์ ไอ้สัปปะรังครวยเอ้ย!!!...ส่วน ลูกสาวฉลาด วรฉัตร มาจากสายตัวแทน “กลุ่มคนอดข้าว” ซึ่งถือเป็นการให้เกียรติคุณฉลาดเค้าที่เป็นคนจุดประกายไฟ อะนะ!!!...

ส่วนนี่เลย ครูประทีป มาจาก “สคส.” ผู้แทนองค์กรครูกร๊าบเจ้านาย...นับว่า “กลุ่มผู้นำครู” ออกแบบจัดตั้ง สคส. ได้สอดคล้องสถานการณ์จริง ๆ อันนี้ต้องขอปรบมือให้ ส.เพิก ชุมแพ ผู้ออกแบบคนสำคัญ ซึ่งพี่เค้าก็หวังจะได้เป็น “คณะกรรมการ” สมาพันธ์ฯ กะเค้ามั่ง แต่ก็ “กินแห้ว” ไม่ได้เป็นกรรมการกะเค้าครานั้น...แมร่ง ถึง “กระสัน” อยากมีตำแหน่งแห่งที่ในขบวนประชาชนเหลือคณานับ จนมาสำเร็จเป็น “คณะกรรมการ 5 คน” ของพันธมารฯ นี่งัยหละสัด!!!...

และอยากขอให้ “ตรา” ไว้ใน“ประวัติศาสตร์ขบวนการประชาชนไทย” ด้วยว่า “ครูประทีป” ไม่ได้เป็นกรรมการสมาพันธ์ฯ ในฐานะผู้แทนสาย “องค์กรสลัม” แต่มาจากสาย “กลุ่มครู-สคส.” นะฮะ กรุณาอย่าบิดเบือน!!!...ส่วนองค์กรสลัมนั้นในช่วงการเคลื่อนไหวพฤษภาทมิฬ 2535 ก็มีการจัดตั้งองค์กรประสานงานชั่วคราว ชื่อ “องค์กรสลัมเพื่อประชาธิปไตย” มี คุณสุวิทย์ วัดหนู เป็นผู้ประสานงานหลัก แต่ไม่มี “ตำแหน่ง” ว่างพอ พี่เค้าก็เลยได้เป็นแค่ “โฆษก” (คู่กะ ไอ้เหี้ยมตู่-จตุพร พรหมพันธ์ ยังงัยหละสาดดด)...และพี่เค้าก็มาเป็น “โฆษก” ให้กะพันธมารฯ คู่กะเหี้ยมสำราญ รอดเพชร, เหี้ยมอมร อมรรัตนานนท์ เมื่อตายก็ตายในตำแหน่ง “โฆษก” ของพันธมารฯ เนี๊ยะแหละสาดดดด!!!...เฮ้อ เรื่องแมร่งยาว...ยิ่งกว่า ตำนานรักดอกเหมย กรูว่าแล้ว เมริงว่ามั๊ย สาดดด...)

ขอรวบรัดตัดตอนอีกครั้ง!!!...ก็มาถึงนี่อีกเลยกร๊าบจ้าวววนายยย...เมื่อเคลียร์ “ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” ได้เรียบร้อยเสร็จสรรพ.... แมร่งมันส์ต้องจัดตั้ง “กองกำลัง” เพื่อการเคลื่อนไหวให้จ๊ำบ๊ะไปเลย...เมื่อคิดได้ดังนั้น เฒ่าขี้ดื้อ ก็นัดประชุมระดมความคิดจากทีมทำงานอย่างเร่งด่วน!!! …อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องจัดตั้ง “องค์กรชาวบ้าน” ขึ้นมาอย่างเร่งด่วน...เอ้...จะเอาชื่ออะไรดีหนอ ? ...ในอดีตมันส์ก็มี “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย” นี่ก่อตั้งเมื่อปี 2517 และในอีสานก็มี “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคอีสาน” ที่ก่อตั้งใกล้ ๆ กัน และหมดบทบาทไปพร้อมกับ “6 ตุลา 19” เช่นเดียวกัลล์...เฮ้ย...แมร่ง มีชื่อนี้ว่ะเพราะดี ๆ ถูกใจตูโลด... “สมัชชาเกษตรกรรายย่อย” (สกย.) ...เมื่อถึงบางอ้อ เฒ่าขี้ดื้อ ถึงกะกำมือ ตีอกชกลม กระทืบเท้าไปด้วย...ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก อิ อิ อิ ก๊าก ก๊าก ก๊าก...ตูจะไปช่วงชิงเอา สกย. มาเป็นของตูให้จงด้ายยย ฟ้าดินเป็นพยาน...ว่าแล้วก็สาดเหล้ายาดองบีเหม้นลงสูคอ เอื๊อก ๆ ๆ ฮา ๆๆๆ

จะว่าไปแล้ว ก่อนที่จะมีการจัดตั้ง “สมัชชาเกษตรกรรายย่อย” (สกย.) นั้น...ขบวนองค์กรชาวบ้าน ได้มีการ “ก่อรูป” “เคลื่อนไหว” และ “ จัดตั้ง” กัลล์มานานพอสมควรแล้ว...ถ้านับจากหลัง “ป่าแตก” ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่เดียว...นอกเหนือจากการ “ลุกขึ้นสู้” โดยตัวชาวบ้านเองและพัฒนายกระดับนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรชาวบ้านเพื่อเคลื่อนไหวต่อสู้แก้ไขปัญหาพื้นฐานโดยตัวของชาวบ้านเองแล้ว (ซี่งมีน้อยมาก หรือ แทบจะไม่มีเอาซะเลย!!!)... “องค์กรชาวบ้าน” หรือ “องค์กรประชาชน” ในภาคอีสาน ล้วนแล้วแต่ถูก“ออกแบบ” โดย “ปัญญาชนท้องถิ่น” โดยเฉพาะ “กลุ่มครูหัวก้าวหน้า” และพวก “NGOs โลก ล้าหลัง”

ทั้งนั้น (คำว่า “ปัญญาชนท้องถิ่น” นั้นมันส์คนละความหมายกะพวก “ปราชญ์ชาวบ้าน หรือ ปราชญ์ท้องถิ่น” ของ หมออภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร ที่ได้เงิน สสส. กว่า 100 บาท มาทำโครงการปราชญ์เป็นสุข/หนึ่งไร่แก้จน อะไรเทือกนั้นอะนะ ฮา ๆๆๆ)...และแน่นอน “ปัจจัย” สำคัญที่ผลักดันให้เกิดองค์กรชาวบ้านมากมายนั้นก็ครือ “มันนี่” กร๊าบบบจ้าวววนายยย....

อาจกล่าวได้ว่า ขบวนการชาวนาชาวไร่ภาคอีสานยุคใหม่ ได้เริ่มก่อหวอดราว ๆ ปลายปี 2533 เมื่อเกิดการชุมนุมประท้วง “ราคาข้าว” ของชาวนาจากอำเภอเมือง และอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์...จนต่อมา ตัวแทนชาวนาจาก 7 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น สุรินทร์ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด อุดรธานี และยโสธรได้ร่วมกันสัมมนาเรื่อง “ปัญหาราคาข้าวเปลือก” เมื่อวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2534 ณ “สถาบันวิจัยและพัฒนา” (RDI) มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผลการสัมมนาสรุปว่า ทางออกของชาวนาคือการรวมตัวกันจัดตั้งองค์กรของชาวนาเอง จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งองค์กรประสานความร่วมมือของชาวนา ภายใต้ชื่อว่า “คณะกรรมการสนับสนุนการรวมตัวชาวนาอีสาน” (กสน.อีสาน) และที่ประชุมได้เลือกเอา...เสี่ยโย-บำรุง คะโยธา จาก “กลุ่มเกษตรกรทำนาสายนาวัง” / “กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรกาฬสินธุ์” เป็น ประธาน และมี นี่เลย...เสี่ยมานะ นาคำ จาก RDI. ม.ขอนแก่น เป็น เลขานุการ...ครานี้เพือกเมริงเริ่มเห็นถึงเค้าลางของหายนะของขบวนการประชาชนอีสานในอนาคตกัลล์หรือยังหละสาดดด!!!...

ความเป็นจริง...ในชั่วโมงนั้น “กลุ่มชาวนาจังหวัดบุรีรัมย์” ภายใต้ “โครงการพัฒนาสหกรณ์ชาวนา” คือ องค์กรชาวนาชาวไร่ที่เข้มแข็งที่สุดในภาคอีสานอะนะ และโครงการนี้มีนี่เลย...เสี่ยสัง-วีรพล โสภา เป็นผู้ประสานงาน คณะผู้ปฎิบัติงานในพื้นที่ก็นี่เลย...เสี่ยรอด ทองโพธิ์, เสี่ยคำตา แคนบุญจันทร์, เสี่ยเขื่อนเพชร โพนรัมย์, เสี่ยธีระชาติ เสยกระโทก เป็นอาทิ...

ยัง ๆ สาดดด ยังไม่หมด...ก็มีนี่เลย...บ้า-อภิชาติ ขำเดช (ช่วงนั้นแฟนของบ้าเค้าเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิครูทิมบุญอิ้งอะนะ...)มี โป๊ะ-เจษฎา โชติกิจภิวาทย์ สายตรงของ เฒ่าขี้ดื้อ จาก มูลนิธิดวงประทีป ไปช่วยเสริมงานในพื้นที่ในช่วงต่อสู้ คจก. อะนะ....เฒ่าบ้า เนี๊ยะแหละ เป็นคนออกแบบจัดตั้ง “กลุ่มนักศึกษาอีสาน” และ “กลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน” ก่อรูปเป็นองค์กรประสานงานกลุ่มเยาวชนระดับภาคอีสาน ในนาม “สมาพันธ์เยาวชนอีสาน” ที่มี “จืด”-สถิต ยอดอาจ (วค.บุรีรัมย์) เป็น ประธาน, มี “ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ”-บุญยิ่ง บุญประธาน (ม.รามคำแหง) เป็น เหรัญญิก (อ่านว่า เหรัญญิก แมร่งมันส์ไม่ยอมเป็นตำแหน่งอื่นเลยอะนะสาดดด...ฮา ๆๆ)...

ส่วนสมาชิกระดับเต้ย ๆ ก็เช่น “เอ็นจีโล้น”-เกื้อ ยวงทอง (วค.โคราช),“อ๊อดบ้านดิน”(วค.โคราช), “รินบ้านดิน” (วค.บุรีรัมย์) สองคนหลังเนี๊ยะนะ พอจบ ป.ตรี ก็ไปทำ “บ้านดิน” อยู่ที่ “อาศรมวงศ์สนิท” หาเงินหาทอง “เลี้ยงดู” ป๋าส.ศิวลึงค์ อยู่ทุกวี่ทุกวันนี่งัยไอ้สัด...

เอ้อ กรูเกือบลืมเสียสนิทสมาชิกสำมะคัญ ๆ คนอื่น ๆ เช่น “หนุ่ยสารคาม”-บวร มณีพันธ์ (วค.มหาสารคาม), “ไอ้ฮวก-ไอ้ซวก ร้านสุดสะแนน เชียงใหม่” (วค.อุบลราชธานี)...ทั้งสองคนเนี๊ยะก็เอาการเอางาน และเอา “สายเขียว” ด้วย...ฮา ๆๆๆ...โอ่ยยโย่ววว...ก็ขุมกำลังขนาดนี้เนี๊ยะแหละจึงสามารถเคลื่อนไหว สั่นสะเทือนภาคอีสาน ชนิดที่ว่าในช่วงแรก ๆ “สันติบาล” ก็ยังคลำทางไม่ถูก...เพือกแมร่งกำลังงงเป็นไก่ตาแตก ว่า ชาวนาอีสานในนาม สกย. แมร่ง...เพือกมันส์ไปกิน ดีหมี หรือ หำหมา มาจากใหน ? แมร่ง...ถึงได้ทรหดอดทนในการ “ม๊อบ” เดินทัพทางไกลเสียละเกิน...หามิได้ เพือกมันส์ ขโมยเหล้ายาดองดีเม่นในโถทองคำของ เฒ่าขี้ดื้อ กินทุกวันต่างหากเล่าสาดดด...และนี่แหละถึงเป็นที่มาของ “นิยาม” ของความเป็น “สกย.” ว่า แมร่ง...คือ องค์กรของ“เด็กน้อยหน้ามึนกับผู้เฒ่าขี้ดื้อ”...ยังงัยเล่าสาดดดด!!!

ขอย้อนกลับไปอีกนิดหนึ่ง...นอกจากช่วงนั้นที่มี กสน.อีสาน ของ เสี่ยโย-บำรุง คะโยธา อะนะ...ยังปรากฏว่ามีการจัดตั้ง “คณะกรรมการชาวบ้านแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินภาคอีสาน” มีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์...กลุ่มนี้เคลื่อนไหวต่อสู้เรื่อง “สวนป่ายูคาลิปตัส” ในภาคอีสาน โดยมี “ตุ้ม นามโคตร” จากท่าตูม จ.สุรินทร์ เป็น ประธาน ส่วน เลขานุการ ที่ทำหน้าที่ประสานงานตัวจริง ก็นี่เลยกร๊าบท่าน...“จอมยุทธจอมYED” เหี้ยมนก-ภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ งัยสาดดด...

ส่วนองค์กรชาวบ้านที่เคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานของตนเอง ก็มีกระจัดกระจายเป็นย่อม ๆ (เหมียลล์ “กรมอุตุฯ” แมร่งชอบว่า ฝนตกเป็นย่อม ๆ...ทีนี้เมร่งเพือกมรึงนึกภาพออกกัลล์แล้วใช่มั๊ยสาดดด...) เช่น สายงานพัฒนาแบบแนว “เย็นยะเยือกถึงจุดเยือกแข็ง” ในช่วงดังกล่าวก็มี ที่ จังหวัดสุรินทร์ อีกเช่นกันคือ “คณะกรรมการสนับสนุนชาวนาค้าข้าว” อันมีหลวงพ่อนาน สุทธสีโล เป็น ประธาน...ส่วนที่ จังหวัดร้อยเอ็ด คือ “กลุ่มเกษตรกรทำนาโพนทราย” อันมี “พ่อเรียง เคียข่าย”-บุญเรื่อง จริยา, ปราโมทย์ นางาม เป็น ผู้นำ และที่จังหวัดร้อยเอ็ดเช่นกัน ก็มีองค์กรจัดตั้งของชาวนา คือ “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ร้อยเอ็ด” ที่มี “นงค์ แน่นอุดร” และ “คารวะ น้อยโสภา” เป็นแกนนำในพื้นที่...

ส่วนที่ จังหวัดขอนแก่น ก็มีการจัดตั้ง “องค์กรชาวบ้านเพื่อการพัฒนา” โดยมี “สุพัฒน์ ดีศรี” จากอำเภอหนองเรือเป็น ผู้นำ (ความจริงองค์กรนี้เกิดมาจาก NGOs โลกขาใหญ่ จาก “แก๊งค์” RDI ม.ขอนแก่น นำโดย“บัญฑร อ่อนดำ และคณะ” เป็นคนไปจัดตั้ง ต่อมาพัฒนาถึงขั้นจดทะเบียนไปเป็น “มูลนิธิ” อะนะ...การถือกำเนิดองค์กรประเภทนี้ล้วนใช้เงินจาก “แหล่งทุนหน้าโง่” โดยมีขาใหญ่เอ็นโตดีเป็นคนหาหมากกระตังค์มาให้...เช่น การเกิดของ “มูลนิธิกริด” “มูลนิธิเนท” เป็นต้น...เฮ้อ...)...

อ้าว แล้วอย่างเนี๊ยะ “สกย.” มันคลานออกมาจาก “ช่อง..” ของใครเค้าหล่ะ ? ...เพือกเมริงอยากจะรู้มั๊ยหล่ะ...กรูจะฝอยให้ฟังบัดเดี๋ยวนี้...


ขอรวบรัดตัดตอนอีกสักครั้ง!!!...เรื่องของเรื่องแมร่งเป็นอย่างเงี๊ยะกร๊าบบบจ้าวววนายยย...

กล่าวอย่างสั้น... “สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน” (สกย.-โปรดสังเกต “ตัวย่อ” ของสมัชชาฯครั้งแรก ไม่มีตัวอักษร “อ.” ต่อท้ายอะนะ...มันมีที่มาที่ไปเดี๋ยวก็รู้อะนะ) ถูกออกแบบจัดตั้งโดย “กลุ่ม NGO โลก” 2 “กลุ่มนักวิชาการ” / “กลุ่มครู” / “กลุ่มผู้นำองค์กรชาวนาชาวไร่” อันมีจุดเป้าหมายร่วมเพื่อคัดค้าน “ร่าง พรบ.สภาการเกษตรแห่งชาติ” ที่นำเสนอโดย รัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่กำลังอยู่ในขั้นแปรญัตติวาระที่ 2

แต่รัฐบาลและรัฐสภาสมัยชาติชาย ก็ถูกพวกกุ๊ยส์ “รสช.” ยึดอำนาจไปซะก่อนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 อะนะ...ต่อมาเมื่อมีรัฐบาลส์ “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” อานันท์ ปันยารชุน ก็มอบหมายให้ “อาชว์ เตาลานนท์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โควตา CP. ในสมัยนั้นพิจารณายกร่างกฎหมายนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และผ่านคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองทางเศรษฐกิจในวันที่ 31 กรกฎาคม 2534

ทำให้หลังจากนั้นเกิดการก่อตัวคัดค้านกฎหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง...มีการจัดสัมมนาวิพากษ์ พรบ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ เป็นระยะ ๆ ...จนในที่สุดขบวนชาวนาชาวไร่จากภาคอีสานกว่า 500 คน ได้เดินขบวนเข้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อร่วมงาน “มหกรรมเสียงจากผู้ไร้สิทธิ” (Voice of Voiceless)ระหว่างวันที่ 6-16 ตุลาคม 2534 ณ ท้องสนามหลวง และหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (...กรูเคยบอกเพือกเมริงแล้วว่า พวก NGOs โลก แมร่งชอบเหลือเกินการจัด “มหกรรม” เนี๊ยะนะ...และงานนี้ก็นำโดย เอ็นโตดีขาใหญ่ “เปี๊ยก แมวเหมียว”-บำรุง บุญปัญญา น่าแหละ ฮัดเช้ย!!!)...

และเมื่อจบสิ้นงานลงไปพวกเค้าก็ได้ก่อตั้ง (อีกแว๊ววว!!!) “คณะกรรมการประสานงานติดตามร่าง พรบ.สภาการเกษตรแห่งชาติ” ขึ้นมาหนึ่งชุดอะนะ โดยในเบื้องต้นก็ได้มอบหมายให้นี่เลย... “เหี้ยมป๋า”-สมภพ บุนนาค เป็น ผู้จัดการ และทำหน้าที่ ประสานงาน ด้วยอะนะ...แต่แมร่งก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอะนะ นอกจากการ “จัดสัมมนาระดมสมอง” ตามที่เพือกแมร่งถนัดกันนัก...โดยแบ่งเป็นเขตย่อย ๆ ในภาคอีสานเป็น 4 เขต ก่อนจะมีการเรียก ประชุมใหญ่ “สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน” ครั้งแรก ที่ คริสต์จักรขอนแก่น อ.เมือง จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 4 - 6 มีนาคม 2535 มีตัวแทนชาวนาชาวไร่กว่า 500 คนเข้าร่วมอะนะ...

และที่ต้อง “ตรา” ไว้ก็คือ มี “ปัญญาชน” เข้าร่วมเยอะพอสมควร ที่สำมะคัญก็นี่เลย...เหลืองอ๋อย-ชัยอนันต์ สมุทวณิช, อภิชัย พันธเสน, บัณฑร อ่อนดำ, ทองใบ ทองเปาด์, “เปี๊ยก แมวเหมียว”-บำรุง บุญปัญญา, สน รูปสูง, บำรุง คะโยธา, ประสิทธิ์ มากวงศ์ เป็นอาทิ...

จากนั้นคณะกรรมการก่อตั้งสมัชชาฯ ก็ได้ประกาศแต่งตั้งให้ “คารวะ น้อยโสภา” ผู้นำชาวนาจาก สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ร้อยเอ็ด เป็น “เลขาธิการ สกย.” คนแรก อะนะ...(ไม่ใช่ เสี่ยโย-บำรุง คะโยธา อย่างที่หลายคนชอบแอบอ้าง บิดเบือน และอยากให้เป็นประวัติศาสตร์อะนะ...อันนี้ไม่ฮานะฮะ!!!)...อย่ามาถามว่า การจัดประชุมใหญ่ สกย. ขนาดคน 500 คน เค้าเอาเงินมาจากใหน ? อยากรู้ให้ไปถาม “ผู้ประสานงาน” ที่ชื่อ สมภพ บุนนาค กัลล์เอาเอง...

ก็แหม!!!...แค่เพือก กป.อพช.อีสาน เค้าเพิ่งจัดงาน “มหกรรมภาคประชาชน” ไปเมื่อวันที่ 25 – 27 มกราคม 2553 ที่ บึงแก่นนคร จ.ขอนแก่น มีคนมาร่วมแค่ 300 – 400 คน เค้าสวาปามเงินจัดงานไปกว่า 2,700,000 บาท อะนะ...โอ้ย..ภาคประชาชนเข้มแข็งเหลือเกิน เวลาเพือกแมร่ง กป.อพช.อีสาน ด่าคนอื่นก็ว่า เค้าเอาเงินเป็นตัวตั้ง แล้วเพือกเมริง “เอาครวยเป็นตัวตั้งเด่ !!” ไม่ใช่ “เอาเงินเป็นตัวตั้ง” หรือยังงัยว่ะสาดดดด!!!....

ขอย้อนกลับมาที่เรื่องการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อ “โค่นล้ม คจก.” อีกรอบ...เนื่องเพราะมันส์เกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างแยกกัลล์ไม่ออกกับการเคลื่อนไหวอันคึกโครมของ “สกย.” หลังเหตุการณ์ณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” อะนะ...

ภายหลังที่ “เฒ่าขี้ดื้อ”-นคร ศรีวิพัฒน์ ได้จัดทัพปรับขบวนแถว “ปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่า” ในภาคอีสาน และเสริมทัพหน้าด้วย “กลุ่มแอ๊คติวิสต์” รุ่นใหม่เข้าไปเขย่างานในภาคอีสาน โดยวางจุดหนักไว้ที่อีสานใต้ (โคราช-บุรีรัมย์) โดยใช้ “มูลนิธิครูทิมบุญอิ้ง” อันมี “ตุ๋ย ลูกทุ่งสัจจธรรม”-ชวลิต ยอดพงษ์พิพัฒน์ ซึ่งเป็น ผู้จัดการมูลนิธิฯ ในขณะนั้น ผนวกเข้ากับ “โครงการพัฒนาสหกรณ์ชาวนา” ของ “สัง”-วีรพล โสภา...

ขณะที่ เฒ่าขี้ดื้อ กำลังออกแบบวางแผนจัดตั้งองค์กรประสานงานขบวนชาวนาชาวไร่ภาคอีสานยุคใหม่อยู่นั้น ก็เกิดกรณีความเดือดร้อนของชาวนาชาวไร่จาก “โครงการจัดสรรที่ทำกินให้กับราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม (คจก.) ขึ้น...อันที่จริง โครงการ คจก. เนี๊ยะนะถือกำเนิดขึ้นในราวเดือนเมษายน 2533 โน่นแหนะ สมัยนายกรัฐมนตรีชื่อ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน อะนะ...ตะแกก็อาศัยอำนาจ “ทหาร” จากตำแหน่ง “ผู้อำนวยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” (ผอ.ปค.) ออกคำสั่งให้ “กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน” (กอ.รมน.) เป็นหน่วยงานหลักและประสานให้เกิดโครงการ คจก. โดยมีแผนงาน 5 ปี (เริ่มปี 2534 – 2538) ใช้งบประมาณ 12,000 ล้านบาท มีหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง 64 หน่วยงาน ภายใต้การควบคุมของกองทัพภาคที่ 2 กระทรวงกลาโหม...

เอาละทีนี่ยังไม่ได้ลงมือทำงานเลยก็เจอกับ “คู่ปรับเก่า” ของจริงซะแล้ว!!!....

หลักการสำมะคัญของคจก. ก็คือ การย้ายคน “อพยพ” ชาวบ้านออกจากป่า ทั้งป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งป่าอนุรักษ์หรือเขตป่าสมบูรณ์ เพื่อให้ “นายทุน” มาสัมปทานปลูกสวนป่ายูคาฯ โดยอพยพชาวบ้านให้มารวมอยู่ในหมู่บ้านที่ทางการจัดให้ ซึ่งเกือบทั้งหมดเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านสันติสุข” ดู้ดูแมร่งทำอ้ายยยสาดดด....และเมื่อเพือกโจรใจทรามสันดานบาป เพือกขุนทหารชาติสถุลล์สกุลสัตว์ อย่าง “รสช.” ทำรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 แทนที่แมร่งจะยกเลิก โครงการ คจก. เพื่อเอาใจชาวบ้าน แต่ชาติสถุลล์สกุลสัตว์อย่างเพือกมันส์ยิ่งเห็นช่อง “ผลาญงบประมาณ” จึงสั่งการเร่งด่วยให้กองทัพภาคที่ 2 รีบจัดการตามแผนงานอย่างเร่งด่วนที่สุด!!!...

เอาหละกร๊าบบ ๆ ๆ งานเข้าแล้วกร๊าบบบ...พี่...กร๊าบบบ!!!....ด้วยเหตุดังนั้น...จึงเกิดการไล่รื้อยกแรกพร้อม ๆ กันทั่วภาคอีสาน 22 ป่าใน 11 จังหวัด...แต่จุดหนักอยู่ที่ “บ้านหนองใหญ่” อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา แน่หละ...มันส์คือ อดีตเขตงาน พคท.อีสานใต้ นั่นเอง...ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น “กลุ่มครู” นำโดย “ส.เพิก” , “ส.ไม้แดง”, “ส.พิง”, ครูสุชาติ ชอบพิมาย ที่ถือว่าเป็น “เจ้าถิ่น” ดั้งเดิม ก็ต้องไว้ลายอะนะ...งานนี้ต้องร่วมกัลล์ตะโกนเสียงดัง ๆ อะนะ... “เพือกกรูยอมไม่ได้ ๆ ๆ ตายเป็นตาย!!!...”

ก็ประสานเข้ากับ “กลุ่มนักศึกษา” ก็นี่เลยแกนนำหลัก ๆ มาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง “กลุ่มนักศึกษาราม 5 ค่าย” ตัวเจ๋ง ๆ ก็อย่าง “โป๊ะ”-เจษฎา โชติกิจภิวาทย์, “นู”-ธนู จำปาทอง, “ทัก”-พิทักษ์ เกิดหอม, “ปุ๋ย” นันทโชติ ชัยรัตน์, “ติ๋ง”-อภิชาติ ศิริสุนทร, “ต๋อม” จักรพงษ์ ธนวรพงษ์, “ไก่ดำ”, “ไก่ขาว”, “โรจน์ สืบนาคะเสถียร”, “ดิษ” ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์...

อ้าว แล้ว “บารมี” ไปหลบอยู่ไหนน๊า...อ้อ...โผล่มาแว๊ววกร๊าบบอยู่แถว ๆ “หลวงพ่อประจักษ์” นั่งกอดชายจีวรหลวงพ่อประจักษ์อยู่แถว ๆ “สำนักสงฆ์เขาน้ำผุด” อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ ใกล้ ๆ นี่เอง...เอ้า...ฮา ๆๆๆ!!!...อ้าว เอ้อ กรูเกือบลืมไป

การต่อสู้ครั้งกระโน้นหากไม่ได้ “นักข่าวหัวเห็ด” จาก “สำนักข่าวพิเศษ” นามอุโฆษชื่อ “ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์” นำเสนอทางข่าวพิเศษรายสัปดาห์ กระแสคนชั้นกลางและสื่อเหี้ย ๆ สำนักอื่น ๆ คงไม่ติดตามเสนอข่าวอย่างถูกต้องยุติธรรมเป็นแน่แท้!!!...งานนี้กรู ก็ขอควรวะสักพันจอกกร๊าบบบจ้าวววนายยย!!!...

ส่วน “ไอ้เหี้ยมเอก”-ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ซึ่งดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ “สนนท.” กลับ “ปฏิเสธ” ไม่ยอมเข้าร่วมการต่อสู้กับพี่น้อง “บ้านหนองใหญ่” อย่างสิ้นเยื่อใย...โหย กรูบอกเพือกเมริงนานแว๊ววว ว่าไอ้หมอนี่นะแมร่ง “ขี้ปร๊อด” แต่ไหนแต่ไร ฮา ๆๆ...ส่วน “กลุ่ม NGOs” ที่เข้าหนุนช่วยชาวบ้านหนองใหญ่อย่างแข็งขัน ก็นี่งัย “กลุ่ม YT” อันมี “น้อย” “ไท” “หมู” เป็นอาทิ และ “มูลนิธิดวงประทีป” นำโดย “ครูแอ๊ด” “เฒ่าขี้ดื้อ” “บ้า” “เบิ้ม” “นก” “ต้อย” “วสุรี” “ไอ้ติ่ง บางเตย” “อีแตน แดนสลัม” ฯลฯ....

เมื่อปลายฝนต้นหนาวปี 2534 ใกล้เข้ามาเยือน...ก็เดือนกันยายน 2534 นั่นแหละสัด ...ปฏิบัติการ “ไล่รื้อ” ของ “ทหาร” ก็เริ่มขึ้น เพือกมันส์ทำการไล่รื้อชาวบ้านจำนวน 450 ครอบครัว สำเร็จชั่วในพริบตาเดียว แล้ว “กวาดต้อน” ชาวบ้านเหมือน “เชลยศึก” ไป “ขัง” ไว้ยัง “บ้านสันติสุข”...โอ้ อนิจจา!!!

อย่าเพิ่งตกใจจนขี้แตกกร๊าบบบจ้าวววนายยย...มันก็เหมือนหนังไทยอะนะ แมร่งมีฝ่ายโจร ก็ต้องมีฝ่ายพระเอกกร๊าบบบ...ในจำนวน 450 ครอบครัว ก็มีหน่วยกล้าตาย 38 ครอบครัว ไม่ยอมอพยพไปตามที่ทหารบังคับ แต่กลับไปรวมตัวที่ “ศาลาวัดสระตะเคียน” แล้วยึดพำนักอยู่ต่อสู้แบบถาวร ตายเป็นตายและออกแบบจัดตั้งองค์กรสู้รบในนาม “ศูนย์อพยพคนไทยวัดสระตะเคียน” (...ที่ในชั้นหลัง “ไอ้สัปรังเคขี้เหลืองอ๋อย”-ประพาส โงกสูงเนิน นำไปเป็นต้นแบบจัดตั้ง “ศูนย์อพยพคนไทยไร้แผ่นดิน” ที่ อ.สูงเนิน โคราช ภายหลังที่ “อมเงินสินเชื่อ” กว่า 20 ล้านจาก “แหล่งทุนหน้าโง่” พอช.อีสาน มาซื้อที่ดินแบ่งปันทำกินกันตายงัยสัด!!! เข้าใจหรือยัง ??? หา...) ...

เมื่อประกาศต่อสู้ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด...การวางแผนยุทธศาสตร์ก็เริ่มขึ้น ทั้ง “กลุ่มครู” “กลุ่มนักศึกษา” “กลุ่ม NGOs” และ “กลุ่มแกนนำ 38 ครอบครัว” ได้ออกแบบสู้รบระยะยาว...กลุ่มนักศึกษาจากรามคำแหง เก็บเสื้อผ้ายัดใส่ถุงปุ๋ย เมื่อ “กราบพ่อขุนราม-แฮ่ม !!!” ก็เดินทางจาก “ประตูหน้าราม” มุ่งหน้าเข้าหามวลชน “ศูนย์อพยพคนไทยฯ” ทันที!!!...ด้าน “มูลนิธิดวงประทีป” ร่วมกับ “ศูนย์รวมเยาวชน 18 กลุ่มคลองเตย” “สหพันธ์เยาวชนคลองเตย” (สยต.) นำโดย“ต้อยคอตก” “ไฝ ล็อค 1-2-3” “หน่อย ร่มเกล้า” “ไอ้ติ่ง บางเตย” “ไอ้แขก 70ไร่” และ “อีแตน แดนสลัม” จัดทำ “กองผ้าป่า” รับบริจาคเงินได้หลายกำปั้น และเรียกระดมแกนนำเยาวชนด่วน ทำการเช่ารถบัส 2 คันมุ่งหน้าสู่ศูนย์อพยพฯ เช่นเดียวกัน...เพราะชาว สลัมคลองเตย ก็มีปัญหาทหารกำลังจะไล่รื้อสลัมคลองเตยเหมือนกัน ก็มีศัตรูตัวเดียวกันคือ “รสช.” ยังงัยหละสาดดด....

เอาหละครานี้จำเป็นต้อง “บุกกรุงเทพฯ” เป็นแม่นมั่น...ขืนอยู่แต่ที่ศูนย์อพยพนซึ่งไกรปืนเที่ยงซะเหลือเกิน...มีหวังสักวันแมร่งเพือก รสช. ส่งทหารมากระทืบชาวบ้านจมธรณีเป็นแน่แท้...เมื่อแกนนำประชุมมีมติเป็นแบบนั้น...ก็กำหนดระดมชาวบ้านเข้ากรุงเทพฯกว่า 300 คน...การเดินทางแบบทุลักทุเลก็เริ่มขึ้น

(ก็แมร่งชาวบ้านกลุ่มนี้ไม่มี “เงิน” เช่าเหมารถบัสเหมือนเพือก เอ็นโตดี ที่มาร่วมงาน “มหกรรมเสียงผู้ไร้สิทธิ” ยังงัยเล่าไอ้ห่าราก...) ชาวบ้านทยอยกันมา และเข้าซ่อนตัวใน “สลัม” กรุงเทพฯ...ก่อนจะเดินทางไปยัง “ทำมะสาด” ในวันคืนหมาหอน เอ้ย “14 ตุลาคม 2534” ...กะว่าจะไปร่วมชุมนุมแล้วโน้มน้าวแกนนำทั้งหลายให้ร่วมผลักดันการต่อสู้ของชาวบ้านศูนย์อพยพฯให้บรรลุเป้าหมายอะนะ...

แต่อย่างว่านั่นแหละพี่น้อง พอชาวบ้านกว่า 300 คน ไปร่วมงานมหกรรมฯ ที่หอใหญ่ ทำมะสาด...แมร่ง ชาวบ้านแทบน้ำตาไหล ก็แมร่งเพือก “ไอ้เปี๊ยก แมวเหมียว” กับ ทำพีธีกรรมทางไสยศาสตร์ “เผาพริกเผาเกลือ” ...แมร่ง ช่าง “วัฒนธรรมชุมชน” สุด ๆ เลยนะอ้ายยยสาดดด...

แถมตอนเดิน “ขบวน” เพื่อรำลึก 14 ตุลาคม 2516 ไปที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ยังถูก “เหี้ยมเอก” เลขาธิการ สนนท. หักหลัง สั่งยุติการชุมนุมดื้อ ๆ ปล่อยให้ชาวบ้านเคว้งคว้างไม่มีที่ไป...แมร่งแทนที่จะเดินทางไปกดดันรัฐบาลที่ทำเนียบ กลับไม่ยอมทำ สิ่งไม่ให้ทำเสือกทำ..สาดดด...

กรูเห็น “กลุ่มนักศึกษารามคำแหง” ยืนร้องเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่อนุสาวรีย์ฯ ตอนเที่ยงคืนแล้วอยากจะเตะปากหมาสักป๊าบว่ะ...อ้าวนั่น“ไอ้เหี้ยมดิษฐ์”-ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นี่หว่า เห็นเช็ดน้ำตามปาด ๆ สงสัยวินาทีนั้นแมร่งคง “อิน” กับปัญหาชาวนาชาวไร่สุด ๆ ...แต่แมร่ง “วินาที” นี้ แมร่ง คง “อิน” แต่กับเพือกอำมาตย์อะนะสาดดด!!!!....

“กลุ่มนักศึกษารามคำแหง” จึงได้นำชาวบ้านกว่า 300 คน เดินทางไปยัง มหาวิทยาลัยประชาชนย่านบางกะปิ (ไม่นง ไม่นอน แมร่งแล้ว เชี้ยทำมะสาด สัด...) บุกเข้า งัดตึกเรียน/ตึกกิจกรรมในมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อหาที่พักกาย พักใจ ของชาวนาชาวไร่ยากจนเป็นการชั่วคราว...ขอปรบมือให้กับกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวทั้งผู้ที่มีชีวิตอยู่และเสียสละไปบ้างแล้ว...(เอ้า...เพือกเมริงยืนกำครวยอยู่ทำไม ปรบมือเร็ว!!!)

ลุเข้าปี 2535 สถานการณ์การต่อสู้เพื่อล้มโครงการ คจก. ยังไม่มาไม่ไป...แต่สถานการณ์ทางการเมืองกลับกำลังแหลมคม...กลุ่มแกนนำทุกกลุ่มที่สนับสนุนการต่อสู้ คจก. ประชุมวิเคราะห์สถานการณ์ที่ศูนย์อพยพคนไทยวัดสระตะคียน และในที่เร้นลับอีกหลายแห่ง...มีข้อสรุปว่า ต้องจัดชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ปิดลำตะคลอง ภายใต้การออกแบบ “ยุทธการลำตะคลอง” ก็ถูกกำหนดขึ้นว่าจะดำเนินการราว ๆ เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2535 นั่นแหละ....

แต่เนื่องจากสถานการณ์ในกรุงเทพฯเริ่มสุกงอม ทำให้แผนยุทธการลำตะคลองต้องถูกเก็บพับไว้ก่อน...กลุ่มแกนนำทั้งหมดสรุปร่วมกันว่า อันอำนาจล้นฟ้าเวลานี้คือ รสช. หากนำพาพี่น้องเข้าร่วมต่อสู้ ขับไล่เผด็จการ รสช. ออกไปแล้ว...การผลักดันให้รัฐบาลชุดใหม่ให้ ยกเลิก คจก. แก้ไม่ใช่เรื่องยากนัก...

ดังนั้น ภายหลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” ไม่นานนัก... “เปี๊ยก แมวเหมียว” ก็มา “ชุบมือเปิบ” (...ก็อย่างที่กรูได้บอกแล้วงัยว่า เมื่อล้ม รสช. ได้แล้ว ปัญหาพิ้นฐานที่สู้กันในระดับพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดิน น้ำ ป่า แร่ธาตุ ก็ต้องได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลชุดใหม่ที่ต้องเอาใจประชาชน เพราะกระแสประชาธิปไตยมันส์พุ่งขึ้นสูงปรี๊ด...พูดแบบไม่เกรงใจ คือ วินาทีนั้นใช้ “หมา” นำ “ม๊อบ” ใหน ๆ ในประเทศไทยก็ชนะว่ะ...แต่ประเด็นกรูคือ ชาวบ้านหนองใหญ่ กับ กลุ่มครู / กลุ่มนักศึกษาราม / กลุ่ม NGOs และแกนนำชาวบ้านที่ศูนย์อพยพคนไทยฯ เค้าสู้เป็นสู้ตายมาเป็นที่แรก และมีการวางแผนจะชุมนุมใหญ่ “ยุทธการลำตะคลอง” ก่อนพฤษภาทมิฬ 2535 แล้ว และเมื่อหลังพฤษภาทมิฬ 2535 เพือกเค้าก็เตรียมจะทำตามแผนยุทธการฯ อยู่แล้ว...และจู่ ๆ แมร่งโผล่มาจากไหนกันว่ะเนี๊ย...แต่ชาวบ้านหนองใหญ่และภาคีก็เข้าร่วมการชุมนุมแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะเพือกเค้าถือว่า ใคร “นำ” ก็ได้ แต่ขอให้ชนะก็แล้วกัลลล์...งานนี้จึงเป็นที่มาของการช่วงชิง “สกย.” มาจากสาย กป.อพช.อีสาน ในเวลาต่อมา...ซึ่งกรูจะเล่าให้ฟังในตอนต่อไป...แมร่งโคตรมันส์สุด ๆ ขอบอก!!!...)

และเค้าก็สั่งระดมไพร่พลในสายอุปถัมภ์ของ กป.อพช.อีสาน เปิด “ยุทธการปากช่อง” โดยมี “เสี่ยโย”-บำรุง คะโยธา ผู้นำชาวนากลุ่มผู้เลี้ยงสุกรภาคอีสาน เป็นแกนนำสำคัญในการควบคุม “ม๊อบ” เรียกว่างานนี้ “เสี่ยโย” ได้แจ้งเกิดใน “วงการ” อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกอะนะ และคณะกรรมการจัดชุมนุมมีมติกลางดึกวันที่ 24 มิถุนายน 2535 ให้ “เดินทางไกล” สู่ประตูอีสาน (เขาน้อยปากช่อง) และเริ่มเดินทางไกลก็เริ่มขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน 2535 และต่อมาในวันที่ 5 กรกฎาคม 2535 รัฐบาล “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” ก็ส่งตัวแทนมาเจรจา ผลก็คือ รัฐบาลยกเลิกโครงการ คจก. ให้ชาวบ้านกลับคืนที่ทำกินเดิม และให้ถอนฟ้องผู้ต้องหาในคดี คจก. ทั้งหมด...

และผลพวงของการชุบมือเปิบครั้งกระโน้น ก็ได้มาซึ่งการจัดตั้ง “สมัชชาชาวนาชาวไร่ภาคอีสานเพื่อรับรองสิทธิที่ดินทำกินและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ” (สดท.) อันมี “เปี๊ยก แมวเหมียว” เป็น ประธานตลอดกาล และในปัจจุบันมีไม่แน่ใจว่าใช่ “หนูเกณฑ์ จันทาสี” เป็น เลขาธิการ หรือไม่???....เพราะองค์กรนี้ไม่มีกิจกรรมเคลื่อนไหวมานานแล้ว...เหลือแต่ “ชื่อ” และซากความทรงจำที่เลือน ๆ ไปแล้วในจิตใจของชาวนาชาวไร่อีสาน...

แต่เอ๊ะคลับคล้ายคลับคลาว่า เมื่อครบรอบ 15 ปี ของการต่อสู้ คจก. ทาง “เปี๊ยก แมวเหมียว” จัดงานรำลึก 15 ปี คจก. เห็นว่าจัดที่บึงแก่นนคร ทำคล้าย ๆ งาน “อีเวร-event” หรือ “มหกรรมภาคประชาชน” อะไรเทือกนั้นแหละ...มีการปลูก “กระท่อมน้อย” หลายหลังอะนะ...แต่มีหลังหนึ่งเมื่องานเสร็จงานแล้วไม่ยอมรื้อถอน....นัยว่าขาใหญ่เค้าเอาไว้ซ่องสุมสานุศิษย์รุ่นใหม่ ๆ เอ้อ ก็แปลกดีนะ...อ้าว จะมีใครไปช่วยพี่แกเค้ารื้อหรือเปล่าหนอ!!!

หลังจากจบกรณี คจก. ดังกล่าว ขบวนการประชาชนอีสาน ก็เข้าสู่ยุคใหม่ คือ ยุคของ “สมัชชากรรายย่อยภาคอีสาน” (สกย.อ.) ซึ่งการขับเคี่ยวระหว่างวิธีคิดของ “สำนักวัฒนธรรมชุมชน” กับ “สำนักเศรษฐศาสตร์การเมือง” ก็เป็นการต่อสู้ การช่วงชิงนิยามกันผ่านกระบวนการต่อสู้ของพี่น้องชาวนาชาวไร่ภาคอีสาน ซึ่งก็ผลัดกันเป็นฝ่ายรุก ผัดกันเป็นฝ่ายรับ...ยังไม่มีใครสามารถทำทั้ง “รุก” ทั้ง “รับ” แบบ “เสี่ยสุรเกียรติ์” ได้อะนะ ...ว้าย ๆ ๆ มายังงัยเนี๊ยสาดดด....สาธุชนคงต้องติดตามกันยาว ๆ พอ ๆ กับการต่อสู้ระหว่าง “เหลือง” กับ “แดง” นั่นแล.....

ไอ้เรื่อง “คุณูปการ” ด้านดีของ “ปัญญาชน” ทั้งหลายทั้งปวงที่มีชื่อข้างต้นเหล่านี้ก็ควรค่าแก่การคารวะ และควรค่าแก่การ “เก็บไว้กลางใจชน”

แต่ไอ้เรื่อง “เหี้ยมๆ” ที่แมร่งเพือกมันไปเป็นสมุนรับใช้ “ศักดินามหาอำมาตย์” เลือดเย็นที่ไม่เคยยิ้มเงี้ยะ...ไปตอกดาก ไอ้เหี้ยมกระเทยเฒ่า นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาเงี๊ยะ...ไปเลียกระโปกไอ้เหี้ยมแป๊ะลิ้ม เงี๊ยะ...ซ้ำมิหนำยังเสือกไปเปิดประตูบ้านให้ ขุนทหาร อัปปรีย์จัญไรมาย่ำยีบีฑาพี่น้องประชาชนไทยนี่ซิ...แมร่งกรูต้องบอกว่า อย่างเงี๊ยะมันต้องเก็บไว้ “กลางส้นตีนของมวลมหาประชาชน”...

และกระทืบแมร่งให้จมธรณีไปเลย
****************
บทความตอนที่ผ่านมา:NGOsที่รัก(6):กป.พอช.กับประชาสวามิภักดิ์ศักดินานิยม

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker