โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 35
28 มกราคม 2553
แล้ววลี “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์” ก็มีน้ำหนักขึ้นในทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศคำว่า “รัฐบาลพลัดถิ่น” ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ระหว่างการปราศรัยผ่านดาวเทียมกับมวลมหาประชาชนที่กำลังชุมนุมทวงแผ่นดินคืนจากอำมาตย์ ณ เขาสอยดาว จันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๓
ผมทราบว่าหลายท่านน้ำตาไหล และหลายท่านหายใจอย่างโล่งอกว่า นี่แหละเกียรติภูมิที่ควรเป็นของขบวนการประชาธิปไตย
ตัวผมนั่งอยู่อีกมุมโลกหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งว่าเราชนะแล้วด้วยซ้ำไป
รัฐบาลพลัดถิ่นคืออะไร ทำไมสำคัญถึงขนาดนี้ เราจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้จริงหรือ ทั่วโลกเขาจะเอากับเราหรือ?
ผมได้ยินคำถามดังออกมาจากหัวใจของพวกเราที่ร่วมต่อสู้และปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายประชาชน วันนี้ต้องตอบคำถามเหล่านั้นให้ชัดเจนหรืออย่างน้อยต้องลดความสงสัยลงบ้าง
รัฐบาลพลัดถิ่น หรือ government-in-exile เป็นวิถีทางต่อสู้อย่างหนึ่งของขบวนการการเมืองในแต่ละประเทศ เมื่อการต่อสู้ในประเทศตนไม่อาจเป็นไปได้แล้ว โลกหรือประชาคมระหว่างประเทศ โดยองค์การสหประชาชาติคือผู้ประกันสิทธิตามธรรมชาติในข้อนี้ของขบวนการการเมืองใดๆ ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างบริสุทธิ์ใจจากมวลชนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นกลไกการต่อสู้ที่โลกยอมรับ และถือเป็นการรณรงค์ทางการเมืองโดยสันติวิธีอย่างหนึ่ง
รัฐบาลพลัดถิ่นจึงไม่ใช่รัฐบาลเถื่อน
มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลนั้นๆ ตั้งขึ้นบนความยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศและได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอในประเทศของตนแล้ว ยังเกิดผลอีกอย่างหนึ่งคือทำให้รัฐบาลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามในขณะนั้น หมดสิ้นความชอบธรรมลงไปทันที มหาประชาชนจะฉุดกระชากลากลงมาจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเสียเมื่อไหร่ก็ได้
ครับ ถ้า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาได้สำเร็จ รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลปีย์ รัฐบาลเปรม และรัฐบาลเขายายเที่ยงบวกกับตาเที่ยง หรือรัฐบาลเวรกรรมใดๆ ที่มาจากการปล้นอำนาจรัฐจากประชาชนด้วยกำลังกองทัพ ตุลาการวิบัติ หรือองค์กรอิสระ (แต่เป็นทาสอำมาตย์) จะกลายสภาพเป็นรัฐบาลเถื่อนในทันที
การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นคำประกาศว่าใครคือรัฐบาลตัวจริง
รัฐบาลตัวจริงหมายถึงรัฐบาลที่มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง และรัฐบาลมีฐานประชาชนหนุนอย่างเพียงพอ ไม่ใช่รัฐบาลที่มีคนเรียกฝ่ายตุลาการออกมาวางแผนปล้นให้ ไม่ใช่รัฐบาลที่คอยแก้ไขปัญหาปากคอกอย่างเพลี้ยสีน้ำตาล หรือทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ปักษ์ใต้ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาจากเหตุปัจจัยหลัก เพราะทำเพียงเพื่อจะหาทางผันงบประมาณออกมาใช้กันให้อ้วนท้วนไปตามๆ กันเท่านั้น
ที่มาของรัฐบาลก็ต้องชอบธรรม การทำงานในขณะเป็นรัฐบาลหรือขณะที่ถืออำนาจรัฐอยู่ก็ต้องชอบธรรม เรียกว่าชอบธรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าและยาวนานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง
รัฐบาลเฮียดึงหรือเจ๊ดันอย่างรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ และนายอภิสิทธิ์จึงขาดชอบธรรมอย่างเด็ดขาด จะดูที่มาของรัฐบาลหรือวิธีการใช้อำนาจรัฐ ก็ขาดด้วนหมด
ไม่ต่างอะไรจากคนเป็นสมีปาราชิก แต่ไปหลอกสาธุชนว่าเป็นพระ ให้ศีลให้พรคนจนยุ่งไปหมด เผลอๆ ยังหน้าด้านไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์หรือเป็นพระพี่เลี้ยงนวกะสร้างพระใหม่อีกต่างหาก
แล้วจะตั้งได้หรือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่ว่านี้?
เจ้าของประเทศไทยคือประชาชนส่วนมากอาจจะยังไม่ทราบว่า วันที่เราถูกปล้นอำนาจรัฐในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราเกือบจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นกันแล้ว ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีของเราก็อยู่ที่องค์การสหประชาชาติ พร้อมกับผู้นำทั่วโลกอีกมากมาย ต่างฝ่ายต่างมาร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีกันในโอกาสนั้นทั้งสิ้น
เลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือนายโคฟี่ อันนัน ก็ย้ำคำเชิญให้นายกรัฐมนตรีทักษิณขึ้นกล่าวปราศรัยตามกำหนดการเดิม โดยไม่คำนึงถึงการรัฐประหาร เป็นการประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า องค์การสหประชาชาติยอมรับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่รับรัฐบาลที่ซากเดนศักดินาร่วมกันตั้งขึ้นในเมืองไทย
เราสามารถตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างง่ายดายราวดีดนิ้ว
เหตุที่ไม่ได้ตั้ง เพราะเจตนาในขณะนั้นคือความสมานฉันท์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในขณะที่ “สติ” ยังตามไม่ทัน “จิต” ไม่รู้ว่าเขาพูดคำว่าสมานฉันท์แบบย้ำๆ ยานๆ เพื่อให้มีเวลาบรรจุกระสุนปืน หรือไม่ก็มีเวลาผสมยาพิษให้เต็มแก้ว
เรียนปริญญาตรีก็ใช้เวลาในราว ๔ ปี ปีแรกอาจไร้เดียงสา ทำตัวเหมือนอยู่ชั้นมัธยม ปีสองและปีสามแก่กล้าขึ้นบ้าง ทั้งในทางปัญญาและอารมณ์ จนถึงปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนจบ ถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่มีอะไรสูญเปล่า
สามปีที่ผ่านมาคือช่วงเวลาบ่มเพาะ ทั้งความพร้อมเพรียง และความมั่นใจในตัวเองของขบวนการประชาธิปไตย เรารักกัน เราทะเลาะกัน เราเห็นด้วย เราเห็นแย้ง เราขาดความเชื่อมั่น เราเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ในที่สุดเราก็เดินมาถึงยุทธศาสตร์เดียวกัน
ถึงวันนี้ใครที่ถือยุทธศาสตร์คนละเล่มก็ถือว่าอยู่กันคนละสนามแล้ว ถ้าสามปียังคิดไม่ได้ ก็คงไม่ต้องคิด เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะเป็นไพร่และเป็นทาสต่อไปเหมือนนกติดยาในกรงเหล็กที่เขาขังไว้ขายคนชอบปล่อยนก
แต่เราจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำลายยุทธศาสตร์หลักของเราเป็นอันขาด
รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นสิ่งที่ทำได้ และต้องทำเมื่อเกิดเงื่อนไขที่เหมาะสมในทางการเมือง
การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น
ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งแปลว่าสังคมขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง มนุษย์ทุกคนมิได้เสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างที่เขาโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุได้
การใช้ความรุนแรงกับมวลมหาประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการประท้วงอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ก็เป็นเหตุได้
การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง อย่างคำกล่าวของผู้บริหารองค์การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หรือ Human Rights Watch ที่ว่า “...ถึงบางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาลชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง...” หรือ “...ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น...”
สภาพความพิการล่าสุดของเมืองไทยภายใต้อำมาตย์อย่างนี้ ก็เป็นเหตุได้
รัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นสมบัติสาธารณะ และเป็นกลไกของเราในฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ต้องไปฟังความเห็นของเหล่าขี้ข้าอำมาตย์ในรัฐบาลหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ต้องพึ่งอะไรเขาในการจัดตั้ง
ถึงเวลาอันเหมาะสม เราตั้งได้แน่ครับ.
*************
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)