นี่คือความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้อีกต่อไปว่า 1 ปีของรัฐบาลประชาธิปัตย์ กับโครงการไทยเข้มแข็ง โครงการชุมชนพอเพียง และโครงการสารพัดนั้น คละคลุ้งไปด้วยทุจริตและแม้แต่เสาหลักที่ 3 คือ อำนาจตุลาการ ก็ยังต้องพลอยสั่นสะเทือนไปด้วย เพราะอำนาจอำมาตยาธิปไตย อำนาจทหาร ได้ก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการใช้อำนาจกฎหมาย 2 มาตรฐานจนระบบยุติธรรมของไทยถูกโจมตีหนักว่า มี 2 มาตรฐานเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2553 เวลา 17.44 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นำ ตุลาการศาลปกครองสูงสุดและตุลาการศาลปกครองชั้นต้น ตำแหน่ง
ตุลาการ ศาลปกครองกลาง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในโอกาสนี้ นายสุชาติ เวโรจน์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงมีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า “ความต้องการของแต่ละคนต่างกัน การตัดสินใดๆ อาจไม่พอใจของอีกฝ่าย การทำหน้าที่ต้องเป็นกลาง ยุติธรรม ถ้าไม่ทำหน้าที่ก็เท่ากับทรยศต่อความยุติธรรม ที่ได้ปฏิญาณว่าจะรักษาความยุติธรรม ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ
ด้วยความซื่อสัตย์ ก็จะสำเร็จในการงาน”นี่คือ โชคดีที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่มี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติพระองค์ท่านทรงเตือนสติคนไทยทุกคนมากว่า 60 ปี โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง และเรื่องของความยุติธรรมด้วยเหตุนี้เอง ในยามที่พระองค์ท่านทรงพระประชวร หัวใจของคนไทยทุกดวงจึงส่งแรงใจไปที่โรงพยาบาลศิริราชอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช จึงมีคณะ
บุคคล และประชาชนจากทั่วสารทิศทยอยเดินทางมาลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายดอกไม้ เงิน และสิ่งของ พร้อมขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เคยว่างเว้นไม่เพียงแค่คนไทยเท่านั้น แม้แต่ชาวต่างประเทศ ยังมีการสวมเสื้อสีชมพูเข้าไปลงนามถวายพระพรด้วยความชื่นชมในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อประชาชนดังนั้น พระราชดำรัสของพระองค์ท่านคือความยิ่งใหญ่ และคือสิ่งที่คนไทยทุก
คนต้องขานรับวันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติอย่างรุนแรง และน่าวิตกว่าจะยุติลงได้อย่างไรเพราะ 3 อำนาจหลักตามระบอบประชาธิปไตยมีปัญหาไปหมดเสาของอำนาจนิติบัญญัติ ถูกรัฐธรรมนูญปี 50 ฉบับ “หน้าแหลมฟันดำ” ที่ได้มาจากการทำรัฐประหาร 19 กันยา 49 สร้างปัญหาวุ่นวายอย่างหนักเพราะมีการไปหลอกลวงเอาไว้เมื่อปี 2550 ว่าให้ประชาชนรับๆ ไปก่อน หลังจากนั้นหากไม่พอใจข้อใดก็สามารถที่จะแก้ไขได้ แถมใช้อำนาจทหารคุมการออกเสียง
ประชามติอย่างใกล้ชิดแต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่า พอประชาชนต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทายาทอสูรขึ้นมาจริง กลับมีกระบวนการยื้อไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ที่ออกหน้าขวาง โดยที่ได้แรงหนุนจากกลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มพันธมิตร ที่ประกาศชัดว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเลยสักข้อเดียวจนทำให้พรรคร่วมรัฐบาลยังทนไม่ได้ ที่ถูกหลอก และเดินหน้ายื่นขอแก้ไขรัฐ
ธรรมนูญเอง โดยไม่สนใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะร่วมด้วยหรือไม่ เพราะสุดทนเกมประชาธิปัตย์ ที่อ้างว่าต้องรอมติพรรคอีกต่อไปแล้วนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ว่าอดทนสุดๆ แล้ว ยังทนไม่ได้ประกาศชัดเจนว่า จุดยืนของภูมิใจไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าผลการหารือกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาอย่างไรก็ตามยืนยันเปรี้ยงจับมือพรรคร่วมรัฐบาลยืนแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แน่นอนงามหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอำนาจที่ชักใยอยู่เบื้องหลังไปเต็มๆในขณะที่เสาที่ 2 อำนาจบริหารยิ่งไม่ต้องพูดถึง การพลิกเกมด้วยอำนาจอำมาตยาธิปไตยและทหารบางกลุ่ม ทำให้นายอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลตามพล็อตที่วางไว้ได้ก็จริงแต่ขาดความสง่างาม และเป็นหนึ่งในประเด็นที่โดนโจมตีตลอดยิ่งเมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้ว กลับทำงานไม่เป็น แก้ไขปัญหาของชาติไม่ได้ แถมยังก่อให้เกิดปัญหาทุจริตคอรัปชั่น โคตร
โกงจนดังอื้ออึงไปหมดข้อพิสูจน์ชัดว่าไม่ได้เป็นการกล่าวหารัฐบาลประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์แบบหลักลอยก็คือผลโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่มีต่อปัญหาทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นสำนักใด ออกมาตรงกันหมดว่า ... โคตรโกงล่าสุดสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ระบุชัดประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.46 เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ฝ่ายค้านจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพราะรัฐบาลบริหารประเทศมา
เป็นเวลา 1 ปี พบปัญหาที่ไม่ชอบมาพากลหลายเรื่อง ที่สำคัญผลโพลระบุว่าประเด็นที่เห็นว่าฝ่ายค้านน่านำมาจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล อันดับ 1 คือ ปัญหาการทุจริตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการไทยเข้มแข็ง อันดับ 2 การบริหารงานที่ผิดพลาดและล่าช้า เช่น การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และการยกเลิกหวยออนไลน์ อันดับ 3 การบริหารงาน และการตัดสินใจของตัวนายกรัฐมนตรีอันดับ 4 การกู้เงินของรัฐบาลทำให้ประเทศชาติต้องมีหนี้สินจำนวนมาก
และอันดับสุดท้าย คือ การแต่งตั้งและการทำงานของรัฐมนตรีบางกระทรวงที่ไม่เหมาะสมงามหน้ารัฐบาล และสะท้อนถึงวิกฤติอำนาจบริหารอย่างเห็นได้ชัดขนาดเอแบคโพล ซึ่งตลอดมาจะเห็นอกเห็นใจและเชียร์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์มาโดยตลอด ยังปฏิเสธความจริงไม่ได้ เพราะผลสำรวจการรับรู้ของสาธารณชนต่อสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทย ในยุคนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าฯ กทม.ที่มาจากพรรคเดียวกัน เอแบคโพลล์พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อย
ละ 57.0 ระบุสถานการณ์ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยอยู่ในระดับรุนแรงถึงรุนแรงที่สุด นี่คือ ความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้อีกต่อไปว่า 1 ปีของรัฐบาลประชาธิปัตย์ กับโครงการไทยเข้มแข็ง โครงการชุมชนพอเพียง และโครงการสารพัดนั้น คละคลุ้งไปด้วยทุจริตและแม้แต่เสาหลักที่ 3 คือ อำนาจตุลาการ ก็ยังต้องพลอยสั่นสะเทือนไปด้วย เพราะอำนาจอำมาตยาธิปไตย อำนาจทหาร ได้ก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการใช้อำนาจกฎหมาย 2 มาตรฐานจนระบบ
ยุติธรรมของไทยถูกโจมตีหนักว่า มี 2 มาตรฐานแม้แต่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ยังออกอากาศระบุชัดว่า ระบบยุติธรรมของเมืองไทยล่มสลาย ทั้งหลายทั้งปวงเพราะมีกลุ่มคนบางคน ที่เคยอยู่ เคยมีอำนาจ และเคยใกล้ชิดอำนาจตุลาการ ได้ใช้บทบาทจากการแต่งตั้งของอำนาจรัฐประหาร บวกกับทัศนคติและจุดยืนส่วนตัว มีพฤติกรรมที่ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์เรื่องยุติธรรม 2 มาตรฐานจนระงมไปหมดเสียงเรียกร้องให้คณะ
กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เร่งดำเนินคดีสำคัญที่ใกล้หมดอายุความ ไม่ว่าจะเป็น คดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส.ที่นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรงการคลังมีส่วนเกี่ยวข้องคดีนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ เกี่ยวข้องการทุจริตยางพาราคดีบุกรุกที่ดินเขากระโดงของนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และคดีนายกรัฐมนตรีส่งข้อความสั้นหลังเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งหลายคดีใกล้จะหมดอายุความแต่
หากเป็นคดีซึ่ง ป.ป.ช.ชุดนี้ต้องการ ดูเหมือนว่าจะรวดเร็วเป็นพิเศษเลือกปฏิบัติ... 2 มาตรฐาน จึงกลายเป็นตราบาปที่ฝ่ายบริหาร และคนในหน่วยงานอิสระบางคน ที่รับคำสั่งอำนาจหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 49 ทำให้อำนาจตุลาการซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายของสังคมไทย ถูกมองด้วยความหวั่นวิตก และไม่เชื่อมั่นแผลร้ายจากแผนบันไดอุบาทว์ 4 ขั้น ของ คมช.และอำนาจอำมาตยาธิปไตย คือสิ่งบั่นทอนสังคมไทย ที่ต้องถาม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จะรับผิดชอบ
อย่างไรนายอภิสิทธิ์ ได้คิดที่จะตัดเชือกที่ชักใยราวหุ่นกระบอกออกจากตัวหรือยัง จะได้ไม่ต้องถูกเชิด และได้เป็นนายกรัฐมนตรีที่สง่างามอย่างแท้จริงและนายอภิสิทธิ์ก็จะได้ไม่ต้องขายหน้าไปทั่วโลก เพราะถูกผู้อำนวยการฮิวแมน ไรท์ วอตซ์ เอเชีย วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการบังคับใช้กฎหมายระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ กับ กลุ่ม นปช. ที่แตกต่างกันทั้งหมดยังไม่สายจนเกินไป ขอเพียงแค่ต้องการทำเพื่อประเทศชาติหากอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ขานรับ
พระราชดำรัส ที่ทรงกล่าวเตือนให้ “ยุติธรรม” และ “เป็นกลางในหน้าที่”ดับไฟ 2 มาตรฐานให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยให้ได้จริงๆวิกฤติก็จะหมดสิ้นไปจากสังคมไทยได้“รักพ่อจริง ทำไมไม่ทำตามพ่อสอน???” คือคำถามคาใจของสังคมไทยในเวลานี้ ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และคนหลายคนที่กุมอำนาจในเวลานี้ ควรจะต้องตอบ