บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

กาฝากตำรวจเข่นฆ่าประชาชน (26 ม.ค. 53)

ที่มา โลกวันนี้

คอลัมน์
คำต่อคำ..ทักษิณ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุมีตำรวจบางคนเป็นกาฝากของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากินกับเครื่องแบบ เป็นเครื่องมือของคนบางคน ใช้อำนาจเข่นฆ่าคน ไม่ทุ่มเททำงานให้กับประชาชน อาศัยอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย เผยธาตุแท้พรรคประชาธิปัตย์ให้สัญญาทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล เมื่อเป็นแล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งหมดนี้อ่านได้จาก “เล่าสู่กันฟัง” (ทอล์ค อะราวนด์ เดอะ เวิลด์) ประจำวันอังคารที่ 26 มกราคม 2553 ดังนี้

สวัสดีครับพี่น้องที่เคารพรัก วันนี้วันอังคารที่ 26 มกราคม 2553 ยังไม่ทันไรจะสิ้นเดือนที่หนึ่งของปีใหม่แล้ว วันเวลาผ่านไปรวดเร็วสำหรับคนที่อยู่ไกลบ้านอย่างผม แต่สำหรับคนที่มีข่าวที่ไม่ค่อยเป็นมงคลทุกๆวันในบ้านเรานั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวคราวของการเมือง ข่าวคราวเกี่ยวกับการขัดแย้ง การกล่าวหาเพียงด้านเดียว ก็อาจจะทำให้เบื่อว่าทำไมวันเวลาผ่านไปช้าจัง แต่ผมอยู่ไกลเลยรู้ว่าวันเวลามันเร็ว แป๊บหนึ่งผมก็อยู่ที่นี่ 3 ปีกว่าแล้ว นานเหมือนกันแต่ดูไม่นานเท่าไรเพราะเวลาผ่านไปเร็ว

เกิด 2 มาตรฐานทุกที่-ทุกเรื่อง

ช่วงนี้บ้านเราก็คงมีประเด็นการเมืองเรื่อยๆ สื่อบ้านเราก็เลือกเสนอข่าวการเมืองมากกว่าข่าวที่สร้างสรรค์ เรื่องราวที่ทำให้เกิดความรู้ หรือแรงจูงใจในการทำมาหากิน เนื่องจากว่าการเมืองเป็นอะไรที่ทำง่าย และวันนี้มีการเลือกข้างกันเลยทำให้สื่อบ้านเราเหนื่อยหน่อย การดูสื่อ การทำสื่อก็เหนื่อยหน่อย

ทราบว่าเมื่อวานนี้ (25 มกราคม) เสื้อแดงมีเหตุไปล้อมตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อจะบอกกับสังคมให้รู้ว่านี่คือ 2มาตรฐาน ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 5 ถูกศาลประทับฟ้องแล้ว ซึ่งยังไม่ขึ้นศาล แต่ ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ให้ออกจากราชการไปก่อน นี่เป็นสิ่งที่คนมองว่าทำไมถึงได้ทำเป็น 2 มาตรฐานอย่างชัดเจนและไม่อายเลย ทำให้คนมีความรู้สึกว่าบ้านเมืองเป็นอะไรไป วันนี้ 2 มาตรฐานเกิดขึ้นทุกที่ ทุกเรื่อง ตลอดเวลา

ตำรวจกาฝาก

ทีนี้เสื้อแดงไปล้อมเพื่อประท้วงและมีการกระชากเณรอายุ 14 ปี กระชากลากไปโดยตำรวจ ซึ่งเข้าใจว่าสั่งโดยผู้บังคับบัญชา ผมอยากเรียนเพื่อนข้าราชการตำรวจว่า อย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร ตำรวจบางคนก็ต้องยอมรับว่าเป็นตำรวจที่ทุ่มเททำงานให้กับประชาชน เป็นที่พึ่งของประชาชน แต่ตำรวจบางคนก็ต้องรับว่าเป็นกาฝากของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่เพื่อใช้อำนาจในเครื่องแบบทำมาหากินทุกรูปแบบ ใช้อำนาจในการเข่นฆ่าคน ใช้อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย คนเหล่านี้เป็นกาฝากของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฉะนั้นเรามีความชอบธรรมที่จะไม่เคารพ

อยากให้ตำรวจไทยได้เป็นที่พึ่งของประชาชน ทำงานและเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยว่าประชาชนมีสิทธิ แต่แน่นอนว่าประชาชนต้องอยู่ในกฎหมาย แล้วก็ต้องเตือนให้เขาอยู่ในกฎหมาย ไม่บุกรุกสถานที่ราชการ อันนี้เตือนได้ ห้ามได้ แต่อย่ายั่วยุนะครับ ตำรวจส่วนใหญ่เป็นตำรวจที่ดีมาก มีความเป็นประชาธิปไตย มีความเข้าใจในอุดมการณ์ของเสื้อแดงว่าต่อสู้เพื่ออะไร

สิ่งที่เกิดขึ้นเสียหายกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาก ที่ตำรวจกระชากพระเณรซึ่งยังใส่จีวร คือประเทศเราเป็นเมืองพุทธ เรานับถือศาสนาพุทธ นับถือผ้าเหลือง วันนี้ก็อาจจะลงหน้าหนึ่งเหมือนกัน ก็น่าอาย แต่ไม่ได้ลงเพราะได้ข่าวว่ารัฐบาลเรียกบรรณาธิการข่าวทุกช่องมาสั่งห้ามลงข่าวเสื้อแดง อันนี้เรียกว่าเป็นการปิดกั้นสื่ออย่างรุนแรง เป็นที่มาของความแตกแยกไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งใจแคบเท่าไร กลั่นแกล้งเท่าไร ความแตกแยกก็มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความพยายามสมานฉันท์อย่างที่พูด วันนี้ก็คงเห็นชัดครับ

สัญญาทุกอย่างเพื่อเป็นรัฐบาล

อยากจะพูดถึงเรื่องรัฐธรรมนูญ ชัดเจนว่าคณะกรรมการพรรคประชาธิปัตย์ลงมติแล้วว่าไม่ร่วมแก้รัฐธรรมนูญกับพรรคเล็ก ซึ่งพรรคเล็กก็ต้องไปดิ้นรนเอาเอง แสดงความชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ตอนอยากจะตั้งรัฐบาลก็สัญญาได้ทุกอย่าง ตอนหาเสียงก็สัญญาได้ทุกอย่าง แต่พอถึงเวลาแล้วก็เปลี่ยนได้ทุกอย่างเหมือนกัน อันนี้พรรคเล็กคงเข้าใจดี ไม่มีพรรคใหญ่ที่ไหนให้โอกาสพรรคเล็กเท่าพรรคประชาธิปัตย์ครับ ให้กระทรวงใหญ่ๆแล้วก็ปล่อยให้ทำมาหากินกันตามสบาย ก็อยู่กันอย่างนี้ล่ะครับ อยู่แบบไม่รักกัน แต่ว่าต้องอยู่ด้วยกัน คงเป็นอย่างนี้ล่ะครับ บ้านเมืองก็คงแย่หน่อย ประชาชนก็คงแย่หน่อย อยู่กับนักการเมืองที่เกาะการเมืองเพื่ออำนาจและผลประโยชน์มากกว่าการคิดว่าจะแก้ไขเหตุการณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์กับประชาชนยังไง

วันนี้ประชาชนมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจแต่รัฐบาลก็ยังไม่เข้าใจ ยังห่างไกลในการเข้าใจการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในทุกวันนี้ แต่ต้องการที่จะอยู่ในอำนาจโดยไม่คำนึงถึงว่าจะสมานฉันท์ ไม่คิดและไม่ต้องการด้วย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้

สื่อละเมิดอำนาจศาล

นอกจากนั้นก็มีบุคคลที่มองว่าอาจจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับผมโดยตรง แล้วก็แน่นอนว่ามีสื่อบางสื่อ เนชั่น ผู้จัดการ แนวหน้า ไทยโพสต์ อันนี้เป็นสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับผมมานานแล้ว ก็เป็นต่อไป สื่ออื่นก็มีบางคน บางช่อง บางที่ ตอนนี้ได้ทำประชาสัมพันธ์เชิงลบให้กับผมอย่างมากเพื่อจูงใจศาล จริงๆแล้วถือว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาล ช่วงนี้อยู่ในอำนาจศาลในการพิจารณาคดีที่ถูกฟ้องยึดเงินผมนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจศาลแต่พวกนี้ไม่สนใจ พยายามจะโจมตีเพื่อให้เกิดความจูงใจ สร้างกระแสว่าควรจะยึดเงินผม เงินครอบครัวผม

พี่น้องครับ ผมจำเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้จะขอใช้รายการนี้เล่าชีวิต จำเป็นต้องเล่าซ้ำเพราะว่าคนรุ่นใหม่หลายคนไม่รู้เรื่องชีวิตผม เพราะผมเห็นในทวิตเตอร์ที่เข้ามาโจมตีผม บางรายก็พวกแต่งตั้ง บางรายเป็นเด็กรุ่นใหม่ เขาไม่รู้ว่าครอบครัวผมทำมาหากินจนร่ำรวยแล้วค่อยเข้าสู่การเมือง ไม่ใช่มาร่ำรวยจากการเมือง แต่เราก็มีค่าใช้จ่ายกับการเมืองพอสมควรเนื่องจากว่าไม่ต้องการเห็นคนของพรรคไปทำอะไรไม่ดี ก็พยายามใช้จ่ายตรงนี้ แต่ขณะนี้คนรุ่นใหม่บางทีก็ไม่เข้าใจ หาว่าผมไปโกงมาได้ยังไงตั้ง 76,000 ล้าน

ดีไม่พูดถึง แต่กล่าวหาว่าชั่ว

พี่น้องครับ เงิน 76,000 ล้านเป็นเงินที่ประกาศล่วงหน้าก่อนเป็นนักการเมือง เพราะฉะนั้นจะยึดเงินที่ประกาศไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าสู่การเมืองผมยังไม่เห็นที่ไหนในโลกเขาทำกัน แต่วันนี้คนที่เป็นปฏิปักษ์กับผมและไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรม ไร้ซึ่งหลักธรรม หลักของชีวิต ผมเกลียดใครก็แล้วแต่ผมทำไม่ได้เพราะว่าหลักธรรม เมตตาธรรม หรือหลักของสิ่งที่เป็นความถูกต้อง ผมไปเห็นรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาที่เขาขนเงินเป็นล้านๆไปช่วยอุ้มแบงก์ อุ้มสถาบันการเงินทั้งหลายที่ล้มไป ที่เขาไปฟ้องเอาเงินคืนจากผู้บริหารว่าผู้บริหารได้โบนัสเยอะแยะไปขอคืนนั้น ไม่มีหรอกครับ เพราะเขาถือว่าถ้าทำผิดกฎหมายก็ว่าผิดไป แต่ทางแพ่งถือว่าเป็นลูกจ้างมากินเงินเดือนและทำงาน เมื่อทำงานแล้วกำไรก็ไม่ได้ยกให้เขา แต่ขาดทุนจะไปเอาที่เขามันก็ไม่ใช่ครับ

ก็เหมือนกัน ผมบริหารงานเป็นนายกรัฐมนตรีมา คุณไม่เห็นว่าผมมีความดีเลยหรือ หรือเห็นว่าทำชั่วตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย ผมแก้ปัญหายังไง ผมชำระหนี้ IMF ล่วงหน้าก่อน 2 ปีได้ โจมตีผมเรื่องน้ำมันก็ไม่เห็นบอกว่าผมทำความดีเลย แต่บอกว่าปล่อยเงินกู้ทำให้ประเทศเสียหายโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมและยุติธรรม ขอใช้เวลากับรายการนี้ และจะฟังกระแสตอบรับว่าท่านฟัง 1 ชั่วโมง ผมต้องถามพี่น้องว่าอยากฟังไหม

เติบโตจากเด็กบ้านนอก

จริงๆแล้วที่จะเล่าให้ฟังเนี่ยจะไม่เล่าเพื่อโฆษณาตนเอง แต่อยากให้เข้าใจว่าชีวิตผมเป็นชีวิตที่ต่อสู้มาอย่างมีสีสัน เพื่อให้เป็นประโยชน์ในช่วงวิกฤตนี้ว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านไหม ผมเป็นคนเกิดบ้านนอก ชนบทแท้ครับ ผมเกิดที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัวเมือง 13 กิโลเมตร สมัยก่อนเริ่มต้นเท่าที่จำความได้พ่อแม่ผมก็ต้องมาต้มน้ำ ผมก็ตื่นพร้อมแม่ โดยแม่ขายผ้าในตลาด ระหว่างแม่รอพ่อลงมาผมก็ต้องไปกับคนงานที่บ้าน 1 คน เข็นรถใส่ผ้าไปขาย ผมนั่งหน้ากระบะ เข็นไปวางผ้าเรียงรอไว้ ผมก็เฝ้าผ้ารอแม่ คนงานก็กลับมาที่บ้านเพื่อมาช่วยพ่อ พอแม่ไปถึงผมก็มาช่วยล้างแก้ว ถุงพลาสติกไม่มี เสร็จแล้วก็ใช้เชือกทำเป็นหูหิ้ว เพราะใช้กระป๋องเจาะรูเพื่อใส่กาแฟ โอเลี้ยง บางทีก็ต้องโม่กาแฟทั้งๆที่ตัวยังเล็ก ทำอย่างนี้ทุกวันก่อนไปโรงเรียน

ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เรียนโรงเรียน แต่เรียนเป็นอุบาสิกาวัดโรงธรรมสันกำแพง มีครูคนหนึ่งชื่อครูควาย เป็นคนอุตรดิตถ์มาอยู่เชียงใหม่ เป็นคนฉลาดมาก เข้าใจว่าคงจบแค่ ม.6 ธรรมดา แต่ฉลาด เก่งมาก ฉะฉาน เดือนหนึ่งจ่าย 10 บาทค่าเรียน แกก็มาสอนเป็นคนๆ ถ้าใครสนใจแกก็สอนนานหน่อย ใครไม่สนก็ผลัดกันมา เรียนตั้งแต่บวก ลบ คูณ หาร ผมจำความได้ว่า 3 วันสุดท้ายก่อนเข้า ป.1 แกสอนหารยาว เป็นการเรียนที่ทำให้ผมรู้จักวิธีคิด เพราะแกพูดเก่ง ชวนพูด ชวนคุย ชวนคิด และทำให้ทุกคนมานั่งฟังที่ดี เป็นผู้สอนที่ดี หลังจากนั้นผมชอบเลข ญาติผมเจอผมก็จะเรียกไปถามเลขในใจ ถามเรื่อยๆเหมือนให้เราถูกฝึกสมอง ให้คิดเป็น ให้เข้าใจ คณิตศาสตร์เป็นอะไรที่ทำให้คิดเก่ง

ขายกาแฟ-ทำสวน-ขายเรียงเบอร์

ป.3 ย้ายจากร้านขายกาแฟมาทำสวน ย่าให้ที่คุณพ่อมาเพื่อให้ไปทำสวน ตรงนี้ไม่ได้เรียนรู้เยอะ สมัยก่อนตู้เย็นใช้น้ำมันก๊าดจุดนะครับ เป็นตู้เย็นตู้เดียวในสันกำแพงเพื่อมาทำมาหากิน แช่โค้กขายเย็นๆ ทำให้คนสนใจมาก ก็ช่วยกันทำมาหากินอย่างนี้ แล้ววันที่ล็อตเตอรี่ออกก็ขายเรียงเบอร์ ฝึกคิด ฝึกทำ ฝึกใช้สมองตั้งแต่เด็กๆ มีการพูดจาคุยกัน ใช้งานกันตั้งแต่เด็ก ไม่ประคบประหงม แล้วก็ให้เด็กฝึกทำงานตั้งแต่เด็ก ผมจบ ป.3 ที่สันกำแพงแต่ไปซ้ำ ป.3 ที่มงฟอร์ต ตอนเช้ามีข้าวเหนียวหมูปิ้งขึ้นสองแถวไปโรงเรียนต้องจ่ายเดือนละ 25 บาท เบียดกันแน่น ไปส่งโรงเรียนทุกวันเช้าเย็น ช่วงนั้นที่บ้านสวนพ่อผมก็ขุดท้องร่องขึ้นมา ดินก็เอามาทำสวน ปลูกกล้วย ปลูกดอกไม้ด้วย ผมก็เอาใบตองลนเพื่อไม่ให้มันกรอบแล้วก็เอาไปขาย ที่สวนมีบ่อสำหรับเลี้ยงปลา

นี่คือชีวิตที่อยู่มาอย่างนี้จนถึง ม.4 ผมเพิ่งเคยเข้ากรุงเทพฯเป็นครั้งแรกเพราะญาติคุณย่าท้าผมว่าถ้าผมสอบได้เกิน 80% สอบได้เลขตัวเดียว ผมสอบได้ที่ 4 ญาติซื้อตั๋วรถไฟให้ไป 4 วัน มีญาติอยู่ที่เขาสามร้อยยอดเขาก็เลยพาผมไปด้วย ไปหัวหิน ไปพัทยาตอน 10 ขวบ ตื่นตาตื่นใจได้ไปดูโน่น ดูนี่ ทำให้ผมได้อยู่ต่างบ้าน เรียนรู้ พอกลับไปสันกำแพงตอนเด็กๆผมเป็นเจ้าของถนน เอาสเกตมาเล่น ตีแบดฯ ผมเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก เล่นทุกหน้า หน้าฝนเล่นบาสฯ ร้อนฟุตบอล หนาวแบดฯ กลางคืนสเกต ชอบออกกำลังตั้งแต่เด็ก ไม่เช่นนั้นวันนี้ไม่เป็นอย่างนี้หรอก

จากบ้านนอกเข้าเตรียมทหาร

จนผมอายุ 15 ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ผมต้องซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปเก็บตังค์ค่าเช่า ชีวิตผมสัมผัสคนชนบทมาตลอด ทำงานช่วยพ่อแม่ เรียนหนังสือมาตลอด โชคดีเรียนเก่ง ขยันทำการบ้าน เท่ากับว่าไม่ต้องท่องหนังสือทำให้เราเข้าใจ ทำการบ้านด้วยตัวเอง มีเวลาเหลือตอนนั้นพ่อไปทำรถเมล์ กระเป๋าลงเวรกัน 4 ทุ่ม ผมต้องไปนั่งนับเหรียญ เช็กตั๋วว่าใครรับไปเท่าไร ขายเท่าไร พ่อผมก็ใจสู้ทำทุกเรื่อง ทำหลายอย่างก็โดนโกง มาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร มีลูกน้องพ่อคนหนึ่งหวังดีกับพ่อให้อยู่เชียงใหม่เพราะพ่อไว้ใจผมที่สุด แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร เรื่องทรัพย์สินหาใหม่ได้ แต่ความรู้ถ้าไม่มีวันหน้าก็ไม่รู้ทำมาหากินยังไง ผมไปเรียนดีกว่า แล้วพี่ก็ช่วยพ่อละกัน ผมก็เลยไปเป็นนักเรียนเตรียมทหาร

ผมสอบเข้า 2 ปี ปีแรกตกหล่น ผมเรียนเตรียมทหารรุ่น 5 มาเป็นนักเรียนตำรวจ 2 ปี ฐานะทางบ้านก็ยังโอเค พอมาเป็นนักเรียนตำรวจก็ลำบาก จนจบนักเรียนตำรวจได้เงินเดือน 1,300 กว่าบาท ผมไปเช่าบ้านอยู่แถวเกียกกาย มีเตียงตัวหนึ่ง ตู้ตัวหนึ่ง มีพระวางไว้หลังตู้เสื้อผ้าให้สูงหน่อย อาบน้ำก็ใช้รวมกัน ทางบ้านฐานะไม่ดีผมก็ต้องช่วยตัวเองมากหน่อย บังเอิญว่าผมได้พบคุณหญิงตอนจบปี 1 กำลังขึ้นปี 2 คุณหญิงก็ไปเรียนเมืองนอกเพราะว่าไปเรียนภาษาอังกฤษอยู่เมืองนอก 1 ปี ผมอยู่ปี 4 ก็ตั้งใจว่าอยากไปเรียนเมืองนอก ตอนผมไปเรียนก็คิดว่าผมชอบวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ ไปเรียนตำรวจ สาเหตุที่เลือกตำรวจเพราะว่าแถวบ้านเป็นทหารบก ทหารอากาศ ผมมาจากเชียงใหม่ว่ายน้ำไม่แข็งเลยเรียนตำรวจ ก็ติด ผมเป็นหัวหน้าชั้นปี 1 ผมได้ทุน ก.พ. ไปเรียนปริญญาโท ให้เดือนละ 160 ดอลลาร์ แม่ให้เงินมาพันเหรียญไปซื้อรถมือ 2 แต่ว่าผมเอาเงินที่แม่ให้มาไปดาวน์ ผ่อนรถเบนซ์อีกเดือนละ 80 ดอลลาร์

เป็นกุ๊กเรียนปริญญาโท

ไปตอนแรกภาษาอังกฤษยังไม่ดี ลงแค่ 3 วิชาเลยไปทำงาน ผมชอบทำอาหาร ตอนหลังมาให้เป็นผู้ช่วยกุ๊กทำอาหารเช้าที่โรงแรม พอได้ตังค์ก็เอามาผ่อนรถ ผมเรียนปริญญาโท 1 ปี 4 เดือน ซัมเมอร์ผมไม่เรียนเลย ไปเที่ยวเพราะอยากมีประสบการณ์กับอเมริกา ก็กลับมา คุณหญิงยังไม่กลับ ผมกลับมาก่อนมาปรับยศเป็น “ร้อยตำรวจเอก” เงินเดือน 1,800 บาท สักพักคุณหญิงก็กลับ กลับมาไม่นานก็แต่งงาน บ้านไม่มีอยู่เลยไปอยู่บ้านคุณหญิง เลยชวนไปเรียนปริญญาเอก คุณหญิงไปเป็นแม่บ้าน ผมไม่รู้ว่าโชคร้ายหรือดี ตอนเรียนปริญญาโทก็เป็น 14 ต.ค. 16 ปริญญาเอก 6 ต.ค. 19 ไปรู้ข่าวตอนอยู่เมืองนอก มีพฤษภาทมิฬที่อยู่เมืองไทย

ตอนจบโทคิดว่าแต่งงานก่อนดีกว่าไปอยู่เมืองนอก เพราะว่าเราไม่มีบ้าน ปรึกษากับคุณหญิงว่าพอไปเรียนจบเอกร้อยล้านน่าจะหาได้ ตั้งใจกันว่าไปเรียนกันก่อน ระหว่างเรียนยังอยู่หอพัก ได้อยู่ร่วมกัน ไปหากินเอาดาบหน้าเผื่อมีงานทำเก็บเงินเก็บทองบ้าง ผมเลยตัดสินในแต่งงานแล้วไปเรียนเมืองนอก พ่อตาช่วยเดือนละ 100 ดอลลาร์ ผมก็เอาเงินเดือนของตัวเองรวมกับเงินที่พ่อตาให้เป็น 1,900 ดอลลาร์ ไปเรียนหนังสือกับทำงานกัน คุณหญิงทำงานรับจ้างเลี้ยงเด็กเล็กเพราะภาษายังไม่แข็งแรง มีเวลาน้อยเลยไปรับจ้างส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้าๆ ไปมัดหนังสือพิมพ์ เรียนเอก 2 ปี 8 เดือนจบเพราะว่าอยากจบ เนื่องจากเรารู้ว่าเราเรียนพ่อแม่ก็ลำบาก นานๆแม่ส่งตังค์ไปให้ครั้งหนึ่ง ได้ไปซื้อของกินของดีๆบ้าง อยู่กันอย่างประหยัด นี่คือชีวิตที่ต้องสู้มา

เปิดร้านขายผ้าไหม

พอจบปริญญาเอกก็กลับบ้าน มีรถที่ใช้อยู่เมืองนอกกลับมาด้วยคันหนึ่ง กับคุณหญิงคันหนึ่ง ขายไปก็ได้ทุนคืน ได้ตังค์กลับมา 200,000 บาท แต่ภาษีที่เอารถมาต้องเสีย 400,000 บาท เลยต้องไปยืมมาเสียภาษี ผมเองกลับมาก็ยังอาศัยบ้านพ่อตาอยู่ พ่อตาแม่ยายแยกกันอยู่ ผมก็ไปเบียดเบียนห้องผัวเมียอยู่ด้วยกัน นอกนั้นเขาก็อยู่ด้วยกัน นั่งคิดว่าทำไมเราถึงจะมีบ้าน ไม่มีตังค์มีแต่รถ ลูกก็เพิ่งได้ 5 เดือนกว่า จะทำยังไงดี คิดดิ้นรนว่าจะทำยังไงดี ผมจะเล่าให้พี่น้องฟังว่าใครมีปัญหาเรื่องดิ้นรนบ้าง พอดีมีเปิดรับครูสอนภาษาอังกฤษที่หนึ่ง รับผู้จัดการโรงแรม ผมก็กลางวันไปทำงาน กลางคืนก็ทำงานเพื่อผ่อนบ้าน อยากซื้อบ้านของตัวเอง มีลูกมีเมียแล้ว พยายามไปหางาน พอดีมีประสบการณ์ทำโรงแรมมาก่อน

ครอบครัวคุณหญิงเป็นข้าราชการ ก็ไม่รู้จักใคร ผมก็ไม่รู้จักใคร ผมสร้างตัวขึ้นมาทีละขั้น ตัดสินใจว่าญาติพี่น้องมีธุรกิจผ้าไหม ถ้าเราหยิบมาก่อนโดยที่ยังไม่จ่ายตังค์น่าจะได้ เลยไปขอเซ้งร้านท่านคิด 50,000 บาท เพราะรู้จักกับพ่อตา จ่ายล่วงหน้า 50,000 บาท ไม่ต้องเก็บค่าเซ้ง ขึ้นแชร์ก็ไม่รู้จักใคร รู้จักนักธุรกิจเล็กๆอยู่ 5 คนก็ขึ้นได้แค่ 6 มือทั้งตัวเอง ความที่ไม่รู้จักใครจริงๆก็เริ่มต้นอย่างนั้น ตังค์ก็ไม่มีหมุนเวียน ผมไปเช่าสินค้าที่แปะโป้งมาวางขาย พอเปิดร้านขาย “โอ๊ค” (พานทองแท้) ก็ยังตัวเล็กๆ นั่งรถเข็นอยู่เลย คุณหญิงก็เอาโอ๊คไปเฝ้าร้านทุกวันแต่ขายไม่ได้เลย ดีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมากเนื่องจากว่าคนกันเองขายเอง ผมก็คิดว่าจะทำยังไงดี บอกคุณหญิงว่าเฝ้าร้านนะจะหาอย่างอื่นทำ อย่างนี้ไปไม่รอดแน่

ซื้อหนังฉายสายเหนือ

จากนั้นผมเข้าไปหาเพื่อน ไปไฟว์สตาร์ นั่งดูหนังบังเอิญว่ามีเรื่องหนึ่งสายเหนือยังขายใครไม่ได้ พระเอก นางเอกยังใหม่ ผมไปดูหนังเรื่องบ้านทรายทองของรุจน์ รณภพ ไปดูครั้งแรกไม่เคยซื้อหนังมาก่อน เพื่อนก็เชียร์ให้ซื้อบอกหนังดี ผมก็ต่อรองเขา 1 ล้านบาท แถมให้สายสระบุรี ให้ฟิล์มมา เบนซ์พวงมาลัยซ้ายผมนั่นแหละเอาไปให้พรรคพวกขอโอนลอยให้เขา แลกเช็คมา 1 ล้านบาทเพื่อเอามาจ่ายค่าหนัง ก็เสี่ยงนะครับแต่เราดูแล้วว่าหนังเขาก็มีโอกาส ถ้าฟลุคก็มีกำไรเลย คุณรุจน์ก็เชียร์ให้ซื้อ สรุปแล้วหนังเรื่องนี้ได้มาล้านกว่าๆ ตั้งแต่นั้นมามีรถคัน มีเงินล้านแล้วก็ไปซื้อหนังต่ออีกเรื่อง เข้าใจว่าเรื่องยอดตลกของเด่น ดอกประดู่ ได้กำไร 300,000 บาท

พอดีพ่อตามีบ้านอยู่ท้ายซอยโชคชัย 4 เป็นบ้านชั้นเดียวเล็กๆ เวลาฝนตกลำบากก็เลยขอพ่อ ผมก็เลยเอาตังค์ที่ได้มาแต่งบ้าน มาอยู่บ้านหลังนี้ 6 ปีจนน้องเอม (พิณทองทา) คลอด อยู่บ้านนี้จนน้องเอมได้ 4 ขวบโดยประมาณ ตอนหลังความที่ตั้งเนื้อตั้งตัวได้บ้านที่ลาดพร้าวเราก็ปิดไว้ไม่ได้ทำอะไร เพราะเราย้ายไปบ้านใหม่ ตอนนั้นยังไม่รวยนะครับ มีตังค์ได้สักพักหนังก็เริ่มขาดทุน เงินเริ่มหมด ความที่ผมมีมนุษยสัมพันธ์ดี มียศ ไปสร้างสัมพันธ์กับผู้จัดการแบงก์ ตอนหลังมาคุณหญิงบอกว่าเธอมีความรู้ ผมก็เลยบอกว่าจะทำยังไงเพราะเงินหมุนไม่มี มีหนี้สินอีก ตอนนั้นเช็คผมเริ่มเด้งแล้ว คนที่รับเช็คผมก็ไปขายต่อ เช็คขายเช็ค ก็ไปขายให้กับวงการหนัง

กำเนิดกลุ่มชินคอร์ป

มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนผมมีที่ราชวัตรขอเอาโรงหนังตรงนี้ เขาเป็นหนี้แบงก์ ผมก็อยากมีหลักทรัพย์ สมัยก่อนก็ไม่รู้ คิดเรื่องนี้ไม่เก่งพอ เขาก็มานั่งคุยกัน มีอยู่วันหนึ่งบอกว่าผมขอกู้เงินได้ไหม ผมจะเอาโรงหนัง ตึกแถวที่ราชวัตรมาเข้าแบงก์ เขาก็นั่งมองหน้าผมเพราะเป็นคนจีน ชอบดูโหงวเฮ้ง นั่งมองหน้าผมเสร็จแล้วก็บอกว่า อั๊วขอ 18.5 ล้านบาท ก็เลยได้เป็นเจ้าของที่ราชวัตร ต้นกำเนิดของกลุ่มชินคอร์ป ที่สุดก็เป็นหนี้อีก แต่เป็นความแพ่งผมก็ยังไม่จ่าย จ่ายที่เป็นอาญาก่อน แล้วผมก็บอกว่า เฮ้ย...อั๊วไม่ชักดาบแน่แต่ขอเวลาหน่อย คุณหญิงเลยบอกว่าเธอมีความรู้ เธอไปทำธุรกิจที่มีความรู้ดีกว่า ที่สุดคุณหญิงถามว่าหนี้ทั้งหมดเท่าไร ผมบอกว่าถ้าเราได้ 10 ล้านบาทเราหายใจไปสู่ธุรกิจใหม่ได้

ช่วงนั้นต้องยอมรับว่าเหนื่อยแล้วต้องพัก ไม่งั้นไม่ไหว จำไว้เลยนะครับเวลาเครียด เหนื่อยต้องพัก ไม่งั้นสู้ไม่ไหว เวลานอนต้องนอนให้หลับ ตาลืมแล้วค่อยคิด นี่ผมทำมาตลอดอย่างสม่ำเสมอ จนสุดท้ายผมไปทำคอมพิวเตอร์ ระหว่างนั้นเราก็ไม่รู้จะทำยังไง ย้ายเงินหนีดอกเบี้ยแพงจากธนาคารไปจำนวนหนึ่ง เสร็จแล้วไม่รู้ทำไงก็เลยทุบโรงหนัง ธนาคารโกรธมากว่าทุบไม่บอก ก็ไปนั่งอธิบายให้ผู้ใหญ่ฟัง ประกาศสร้างคอนโดมิเนียม ยังมีแค่ 3-4 แห่งใกล้เขตพระราชฐานสร้างได้ไม่เกิน 21 ชั้น ที่สุดสร้าง 7 ชั้น กำไรหายไปเลยนะ ประกาศขาย โฆษณาไป มีทั้งหมด 90 ห้อง ค่าโฆษณากินหมดก็เลยหยุดขาย มีคนซื้อไปสัก 10 กว่าห้อง ไม่ได้ทุนเลย

รอดเพราะคอมพิวเตอร์

ไปทำเรื่องคอมพิวเตอร์เนี่ยล่ะ จะเล่าให้ฟังว่าผมเอาตัวรอดมาได้ยังไง ถืออย่างนี้ว่าเจ๊งแสนทำล้าน เจ๊งล้านทำสิบล้าน ไม่งั้นใช้หนี้ไม่ได้ จะเล่าให้ฟังในตอนต่อไปเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้ว่า กว่าจะเป็นผมวันนี้ชีวิตต่อสู้ลำบาก เสี่ยงคุกมา วันนี้หมดเวลาแล้ว

ขอตอบคำถาม...ทวิตเตอร์ผมมีคนเลียนแบบเยอะ ของผมมีแค่ทักษิณไลฟ์กับทักษิณบิซ จะรวมตอนนี้คิดว่าเอามารวมเป็นอันเดียวกันที่เหลือของปลอม อย่าไปเชื่อ บางคนเข้ามาใช้ภาษาหยาบมากเลย แล้วก็ตั้งชื่อตัวเองหยาบๆ ไม่เป็นสิริมงคลกับใครเลย ขอร้องว่าอย่าทำอย่างนั้น...อยากให้ยืดเวลาจาก 1 ชั่วโมงเป็น 2 ชั่วโมง ไปถามคนมา 300 คน 90% อยากให้ยืด แต่ผมเกรงว่าจะดึกเกินไป...เดี๋ยวนี้มีนักเรียนนายร้อยหญิงท่านเห็นยังไงบ้าง สิทธิเท่าเทียมกันทั้งชาย หญิง บางทีผู้หญิงก็อยากเป็นนักเรียนนายร้อย ก็ดีครับ เป็นเสรีภาพความเท่าเทียมทางเพศ...ทำไมการบินไทยที่อุบลราชธานีต้องยุติ สนามบินนานาชาติไม่มีการบินไทยบิน ต้องดูว่าตรงไหนขาดทุน ตรงไหนกำไร ถ้าธุรกิจตัวใหญ่ๆค่าใช้จ่ายสูง ถ้าตรงไหนขาดทุนก็จะปิดให้บริษัทเล็กไปทำแทน จำเป็นต้องดูว่าบริษัทเล็กๆที่มาแทนก็ต้องบริการให้ได้คุณภาพด้วย

ตอนนี้ทุกคนก็ลำบาก ผมเชื่อว่าผมลำบากกว่าเยอะสมัยก่อนเพราะไม่มีเครดิต ไม่มีพวก วันนี้สวัสดีครับ

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker