โฆษกปากมาก-พล่ามลามด่าสื่อเทศ
วันนี้รัฐบาลแสดงออกชัดว่าชอบคำชมมากกว่าคำตำหนิ ขนาดสื่อต่างประเทศเตือนสติยังยอมรับไม่ได้ ก็แบบนี้แหละที่ทำให้ผลโพลล์ ระบุเด็กนักเรียน-เยาวชน ภูมิใจในนักการเมืองน้อยเต็มที
เพราะเล่นการเมืองแบบเรียนลัดขั้นตอน แถมมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูอยู่เบื้องหลัง เลยทำให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะสามารถผ่านวิกฤติพฤษภาอำมหิต 53 มาได้แบบไม่สะดุ้งสะเทือน
แต่ในแง่ของภาพลักษณ์ ในแง่ของการเป็นพรรคแกนนำ ตลอดจนการเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยนั้น กลับกลายเป็นคำถามที่ถล่มเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง
ยิ่งบริหารงานแบบแบ็คอัพดี จะทำอะไรก็ได้ เลยทำให้แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองยังอดเอือมระอาไม่ได้ หลายต่อหลายครั้งมีการแสดงออกถึงความอึดอัด จากจุดยืนของนายอภิสิทธิ์เป็นอย่างมาก
ล่าสุดพรรคชาติไทยพัฒนา เลยลุกขึ้นมา ออกมาทวงถามเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนยุบสภา
ทำให้นายอภิสิทธิ์ได้แต่อึกๆ อักๆ เพราะนึกว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะลืมไปแล้ว ที่ไหนได้นอกจากไม่ลืม ยังมาทวงให้รัฐบาลเสียหน้า ว่าจริงๆ แล้วมีความจริงใจแค่ไหนเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนเลือกตั้ง
หรือเพราะคิดว่าตอนนี้ประชาธิปัตย์ลอยลำแล้ว ได้คนหนุนหลังชั้นดี ทหารให้การยอมรับช่วยอุ้มชู ถ้ายังจะแพ้เลือกตั้งอีกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว เลยทำให้ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ...
ก็เพราะทุกวันนี้เล่นการเมืองกันเช่นนี้แหละ ที่ทำให้ โพลล์ออกมาฉีกหน้ารัฐบาล เพราะทั้ง นักเรียน และนักศึกษา พากันไม่ปลื้มนักการเมืองด้วยกันทั้งสิ้น
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์ และวิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ระบุว่าจากตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถึงนักศึกษาปริญญาเอกทั่วประเทศ 23,088 ตัวอย่าง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-กรกฎาคม 2553
พบว่านักเรียนนักศึกษากว่า 80% มีความภูมิใจในแผ่นดินไทย
ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างเฉลี่ยต่ำกว่า 40% ที่มีความภูมิใจในนักการเมืองไทย
โดยประถมศึกษาภูมิใจนักการเมือง 41.5% แต่ระดับสูงกว่าปริญญาตรีพอใจเพียงแค่ 11.3% เท่านั้น
งามหน้ากันมั้ยล่ะ
นอกจากนี้ ยังมีการสัมภาษณ์เจาะลึก "เด็กอนุบาล" ถึงความชอบและสิ่งที่ไม่ชอบในสังคมไทย พบสิ่งที่น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติเตือนใจผู้ใหญ่ในสังคมได้บ้าง คือ "น้องมิว" นามสมมุติ วัย 5 ขวบ จบอนุบาล 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านพัฒนาการกำลังไปเรียนเกรด 1 ในต่างประเทศ บอกว่ารักประเทศไทย ไม่อยากไปอยู่ประเทศอื่น เพราะคนไทยรู้จักพอเพียงกัน และเรื่องความภักดี ทั้งร้องเพลงอยากให้คนไทยคืนความสงบดังเดิม และยังบอกว่าไม่ชอบผู้ใหญ่ที่ทะเลาะกัน ชุมนุมกัน ฆ่ากัน เพราะทำให้ไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่ได้ไปพารากอน
ขณะที่ "น้องบีมและน้องบิวตี้" นามสมมุติ วัย 6 ขวบ เรียนหนังสือต่างจังหวัด บอกตอนหนึ่งว่า คนไทยใจดี แต่ไม่ชอบผู้ใหญ่บางคนที่ใจร้าย ทะเลาะกัน อยากให้คนไทยทุกคนรักในหลวง
สมควรอย่างยิ่งที่นักการเมือง และผู้ที่อยู่เบื้องหลังนักการเมือง น่าจะย้อนมาพิจารณาตัวเองกันให้มากขึ้น
แต่ปัญหาก็คือ เสียงสะท้อนเหล่านี้จะมีผลต่อนักการเมือง หรือไม่เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะขนาดเสียงสะท้อนที่ออกมาจากสื่อต่างประเทศ ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก อย่างหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ซึ่งเขียนบทบรรณาธิการไม่เชื่อถือแผนการปรองดองของรัฐบาลเรียกร้องให้ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และจัดการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว
กลับถูกน.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ตอบโต้ว่าเขียนเพราะได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน... ทั้งๆ ที่ไม่ต้องสื่ออย่างวอชิงตันโพสต์ แต่เป็นทุกๆ สื่อในโลกนี้ ล้วนตระหนักดีว่าการเขียนบทบรรณาธิการนั้นสำคัญเพียงใด
เรื่องที่ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีข้อมูลจะไม่ถูกนำมาพิจารณาเขียนเป็นบทบรรณาธิการแน่นอน
รัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ ปล่อยให้โฆษกไปดูหมิ่นการทำหน้าที่ของสื่อต่างประเทศแบบนี้ ดูไม่จืดเลยจริงๆ
ดังนั้นแม้นายอภิสิทธิ์ จะพยายามอ้างว่ารัฐบาลต้องการให้สื่อมีเสรีภาพ และใช้เสรีภาพอย่างสร้างสรรค์ สามารถกำกับดูแลตัวเองได้มากที่สุด พร้อมยืนยันรัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซงกระบวนการปฏิรูปสื่อนั้น
เจอภาพแบบนี้ของโฆษก ปชป. เข้าให้ สื่อก็อึ้งไปตามๆ กัน
ที่สำคัญ ไม่รู้ว่านายอภิสิทธิ์ จะรู้หรือไม่ว่า เว็บไซต์โกลบอล์ วอยซ์ ออนไลน์ (www.Globalvoicesonline.org) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ติดตามสถานการณ์การใช้สื่อทั่วโลก ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้ทำการปิดเว็บไซต์ที่มีความเห็นต่างกับรัฐบาลกว่า 1 แสนเว็บไซต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเว็บไซต์แสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ถือเป็นการปิดเว็บไซต์ที่มากที่สุดในอาเซียนหรืออาจจะมากที่สุดในโลก
ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศ ซึ่งยังไม่รวมกับการปิดสถานีวิทยุชุมชนกว่า 100 สถานี และการคง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเอาไว้ไม่ยอมเลิก
โดนสื่อต่างชาติตีแสกหน้าตรงๆ กันเรื่อยๆ แบบนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะสื่อต่างประเทศไม่สนใจอำนาจของ พ.ร.ก.นี้อยู่แล้ว