วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

"มาร์ค"ต้องรีบ ตัดไฟแต่ต้นลม

ที่มา ข่าวสด
ออกจากจุดสตาร์ตได้แค่เดือนเดียว

รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี "เทพประทาน" ที่แบกความหวังของคนไทยทั้งประเทศไว้

ก็เริ่มออกอาการเครื่องรวน

เรื่องปลากระป๋องเน่า"ของนายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมฯ กับเรื่องการแจกเงินหลวงแนบนามบัตรส่วนตัวของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาด ไทย

กลายเป็นวาระแทรกซ้อนไม่คาดฝัน

ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะนายกฯ จะต้องหาทาง "ตัดไฟแต่ต้นลม" โดยด่วน ก่อนจะขยายวงลุกลามไหม้วอดกันทั้งรัฐบาล

ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลชุดนี้เกิดขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ

ภาวะเศรษฐกิจทรุดต่ำลงอย่างน่าใจหาย การเมืองขัดแย้งแตกแยกรุนแรง ส่งผลให้สังคมเกิดความร้าวฉานแบ่งฝักแบ่งฝ่ายตามไปด้วย

การที่ประชาชนในสังคมส่วนใหญ่พยา ยามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

มองข้ามการดิ้นรนเข้ามาเป็นรัฐบาลด้วยวิธีการที่ไม่ค่อยสง่างาม

รวมถึงการเลือกเฟ้นคนเข้ามาเป็นคณะรัฐมนตรี บนเงื่อนไขต่างตอบ แทนกลุ่มคน 3-4 กลุ่ม ทำให้หน้าตารัฐมนตรีไม่ได้"ขี้เหร่"น้อยไปกว่ารัฐบาลชุดที่แล้วมาเท่าใดนัก

ด้วยเพราะเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะเข้ามายุติปัญหา นำพาบ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้

นายอภิสิทธิ์ประเดิมความเป็น"ผู้นำ" ด้วยการประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ เพื่อควบคุมการทำงานของคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีองค์ประกอบจากหลายพรรค

เนื้อหาหลักๆ คือเน้นย้ำเรื่องการปฏิ บัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด

การทำงานต้องรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ถึงจะเป็นรัฐบาลผสมแต่ต้องไม่แบ่งพรรค ต้องเป็นรัฐบาลที่รับผิดชอบร่วมกัน

ทั้งต้องพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งเชิงนโยบายหรืออื่นๆ

รัฐมนตรีไม่มีสิทธิเหนือประชาชนคนอื่นในแง่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ความรับผิดชอบทางการเมืองนั้น

จะต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย

สังคมกำลังจับตา ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะหาทางออกจากมลภาวะ"สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ"นี้อย่างไร

การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งต่อกรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ากฎเหล็ก 9 ข้อที่วางไว้

เป็นจริงในทางปฏิบัติมากน้อยขนาดไหน

โดยเฉพาะที่ว่าความรับผิดชอบทางการเมือง ต้องอยู่เหนือความรับผิดชอบทางกฎหมาย

พรรคประชาธิปัตย์เองในสมัยเป็นฝ่ายค้าน ก็ใช้มาตรฐานดังกล่าวเป็นหลักยึดมั่นในการตรวจสอบฝ่ายบริหารมาโดยตลอด

สำหรับพรรคเพื่อไทยถึงจะเป็นมือใหม่หัดค้าน แต่ก็มองออกว่ารัฐบาลกำลังเดินสะดุดขาตัวเอง และแน่นอนว่าในฐานะพรรคฝ่ายค้าน

ย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสงามๆ เช่นนี้

หากนายกฯ ยังลังเลไม่ยอมจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที

เชื่อว่าชื่อของนายวิฑูรย์และนายบุญจง จะถูกนำมาใส่ไว้เป็นชื่อต้นๆ ในบัญชีอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน

สำคัญกว่านั้นตัวนายกฯ เองยังอาจจะพลอยติดร่างแหไปด้วย หากเป็นอย่างนั้นก็จะเท่ากับว่าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะ

กรณี"ปลากระป๋องเน่า"ของนายวิฑูรย์

น่าจะหมดสิทธิ์ไปเรียกร้องเอาอะไรจากเจ้าตัว ที่กล่าวยืนยันทั้งในสภาและนอกสภา ว่าจะรอผลชี้มูลจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช. ก่อน

เช่นเดียวกับการแจกเงินแถมนามบัตรของนายบุญจง ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)

ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าจะได้ข้อสรุป

คำถามที่ตามมาคือระหว่างนี้ นายอภิสิทธิ์จะฝ่าแรงเสียดทานทั้งในสภาและจากสังคมภายนอกไปได้ด้วยวิธีใด และที่สำคัญคือจะต้องเป็นทางออก

ที่ไม่สร้างความผิดหวังให้กับประชาชนด้วย

เนื่องจากนายวิฑูรย์ เป็นรมว.การพัฒนาสังคมฯ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์

จึงเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของนายอภิสิทธิ์ ทั้งในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าพรรค

ส่วนนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ นั้นถึงจะเป็นรมช.มหาดไทย กลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย แต่ในกฎเหล็กของนายอภิสิทธิ์ก็ระบุไว้ชัด

ว่าถึงจะเป็นรัฐบาลผสมแต่ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน

ขณะที่ประเทศกำลังประสบวิกฤตรุมเร้าหลายด้าน ความซื่อสัตย์สุจริตของคณะผู้บริหารประเทศ มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลนำออกมาใช้

สภาเพิ่งจะผ่านพ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติมกลางปีแสนกว่าล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายประชานิยม ที่เน้นการลด แลก แจก แถมสารพัด

ทั้งการแจกเงิน 2,000 บาท การแจกจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่จะต้องมีการแจกชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน ฯลฯ

กรณีการแจกจ่ายถุงยังชีพบรรจุปลากระป๋องเน่า ให้ชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วม จ.พัทลุง และการแจกเงินช่วยคนจนแถมนามบัตรรัฐมนตรี ที่จ.นครราชสีมา

ถึงจะเป็นการฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับสร้างความเสียหายให้กับรัฐบาลอย่างใหญ่หลวง

แถมยังเป็นการจุดชนวนความหวาดระแวง ให้สังคมต้องจับตาถึงการกระจายงบประมาณกลางปีระดับหมื่นล้านแสนล้าน ว่าเอาเข้าจริงแล้ว

จะเหลือตกถึงมือประชาชนมากน้อยเท่าไหร่ จะกลายเป็น"แท่งไอติม"ที่เหลือแค่ไม้ไอติมให้ชาวบ้านหรือไม่

บทเรียนเรื่องส.ป.ก.4-01 เมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่นายกฯและรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนั้น พยายามปกป้องพวกเดียวกันเองจนทำให้รัฐบาลพังคามือ

ไม่ใช่บทเรียนล้าสมัย

ถ้าหากนายอภิสิทธิ์ ศึกษาบทเรียนนี้จนเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง

ก็น่าจะพบคำตอบสุดท้าย

ว่าจะหาทางออกจากปัญหาของรัฐ บาลในขณะนี้อย่างไร