วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

26 มีนาคม 2520 ถึง 26 มีนาคม 2552 : ผลกระทบของผีเสื้อ-กระแสแดงทั่วแผ่นดิน

ที่มา Thai E-News



จากประวัติศาสตร์ทางการเมืองในเหตุการณ์กบฏ 26 มีนาคม พ.ศ. 2520 โดย พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ เพื่อโค่นล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายวีระเข้ามามีส่วนร่วมด้วย และถูกจำคุกด้วยข้อหากบฏ และต่อมามีส่วนร่วมในกลุ่มแดงทั่วแผ่นดิน ท่ามกลางสื่อผู้จัดการ มีผลปรากฏการณ์Butterfly Effect ต่อคนเสื้อแดง ก็ทำให้เปลี่ยนระบบนิเวศ ทางการเมืองอย่างกว้างขวาง ถ้าเคยได้ยินคำพูดที่เป็นที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวาง ในเรื่องปรากฏการณ์ Butterfly Effect คือ ผลของการขยับปีกของผีเสื้อ ทำให้เกิดพายุ(ทางโฆษณาในทีวี) และประโยคที่ว่า “เด็ดดอกไม้ย่อมสะเทือนถึงดวงจันทร์”สะเทือนระบบนิเวศและระบบการเมืองไทย



โดย อรรคพล สาตุ้ม
26 มีนาคม 2552

สื่อผู้จัดการ-Butterfly Effect กับคนเสื้อแดง

จากความสัมพันธ์เชื่อมโยงโดยผลกระทบของ สื่อผู้จัดการ –Butterfly Effect เราจะต้องเข้าใจประวัติความเป็นมาทางทฤษฎี Butterfly Effect เกี่ยวกับทฤษฎีไร้ระเบียบ

โดยเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันมีการยืนยันทางด้านคณิตศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา ฟิสิกส์ เคมี ก็พิสูจน์กันแล้ว และทฤษฎีไร้ระเบียบนี้ในต่างประเทศเขานำไปใช้หลายเรื่อง ทั้งในตลาดหุ้น การตลาด แม้กระทั่งทางด้านเศรษฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์บางส่วนเขาก็นำไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาปรากฏการณ์

ซึ่งแก่นที่สำคัญคือ เราต้องรู้ว่า ทฤษฎีไร้ระเบียบเป็นคู่ฝาแฝดของอีกทฤษฎีหนึ่ง คือทฤษฎีซับซ้อน เพียงแต่ว่าทฤษฎีไร้ระเบียบ เกิดขึ้นช่วงที่สภาวะกำลังปั่นป่วน กำลังจะพลิกผันนี่แหละ แต่ทั้งสองทฤษฎีนี้อยู่ในวิธีคิด แนวทางวิธีหนึ่ง คือ อาณาจักรของ System Thinking หรือระบบวิธีคิด

ซึ่งในจุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ ของ ฟริตจ๊อฟ คาปร้า ก็ชี้ให้เห็นถึง หัวใจของทฤษฎีไร้ระเบียบ อยู่ตรงที่ว่า เมื่อสังคมที่ซับซ้อนแล้ว เชื่อมโยงถึงกันและกันหมด มันก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ทุกอย่างอยู่บนกฎอนิจจัง คือไม่หยุดนิ่ง เป็นระบบพลวัต แล้วมันมาเปลี่ยนในขณะ ที่ทุกอย่างอาจเปลี่ยนช้าๆ โดยไม่รู้ตัว หรือบางอย่างอาจมาถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว เกิดขึ้นมาเลย ทฤษฎีไร้ระเบียบมาจับตรงที่มันเปลี่ยนแบบฉับพลันในทันใด(1)

ดังนั้น การทดลองมุมมองนำเสนอ เชิงประวัติศาสตร์ กรณี “เดจาวู”ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล(2) ซึ่งผมเขียนถึงเชิงประวัติ เกี่ยวกับทฤษฎีButterfly Effect มามองดูปรากฏการณ์ หากใครเคยดูภาพยนตร์ The Butterfly Effect (3)หรือโฆษณาในทีวีไทย ก็จะเข้าใจว่า ถึงการเชื่อมโยงของปรากฏการณ์ในอดีต มีต่ออนาคตของคนเสื้อแดง ในการชุมนุมทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งขณะทำสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก็ทำให้เปลี่ยนระบบนิเวศทางการเมืองอย่างกว้างขวาง ถ้าเคยได้ยินคำพูดที่เป็นที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวาง เรื่องปรากฏการณ์ Butterfly Effect คือ ผลการขยับปีกของผีเสื้อ ทำให้เกิดพายุ(ทางโฆษณาในทีวี) และประโยคที่ว่า “เด็ดดอกไม้ย่อมสะเทือนถึงดวงจันทร์”สะเทือนระบบนิเวศและระบบการเมืองไทย

1.ทักษิณกับความจงรักภักดี ในสื่อของผู้จัดการมวลชน

ปัญหาของความจงรักภักดี ในปรากฏการณ์ก่อน 14ตุลา-6ตุลา หลังพวกนักศึกษาเข้าป่า เพื่อร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และป่าแตก ออกมา ซึ่งความคิด ก็เปลี่ยนไป ตามการแสวงหาของแต่ละคน บางกลุ่มของปัญญาชน ซึ่งมีความหลากหลายทางแนวคิด ด้านต่างๆ เช่น ด้านอัตถิภาวะนิยมทางปรัชญา และวรรณกรรม-ศิลปะ เป็นต้น

ในช่วงก่อน 14-6 ตุลา ก็หันมาในแนวทาง อิตถิภาวะนิยม มากขึ้น ซึ่งการอธิบายสั้นๆ เพื่อความเข้าใจอย่างง่าย เกี่ยวกับแนวคิดอัตถิภาวะนิยม เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ โดยถือว่า มีเสรีภาพ ในการเลือกมีชีวิต อยู่กับประเทศไทย โดยในที่สุด หลังผลกระทบของ 6 ตุลา ก็ก่อให้เกิดความเงียบเสียงทางการเมือง

ในส่วนของเรื่องความเงียบนั้น ธงชัย วินิจจะกูล ได้ศึกษา “ความทรงจำ ภาพสะท้อนและความเงียบในหมู่ฝ่ายขวาหลังการสังหารหมู่ 6 ตุลา” ซึ่งเสียง เป็นความทรงจำกับอำนาจได้ ทั้งเสียงที่ผ่านการรับรู้จากสงคราม และเมื่อเสียง สัมพันธ์กับการเมือง เพราะว่า เสียงย่อมเข้ากับจังหวะบทเพลง ซึ่งสอดคล้ององค์ประกอบของความรู้สึก เช่น เพลงพระราชนิพนธ์ “เราสู้” โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ทำการศึกษา “เราสู้:เพลงพระราชนิพนธ์การเมืองกับการเมืองปี 2518-2519”(4) ดังกล่าวเป็นต้น ซึ่งงานวิชาการ และการวิจารณ์จะให้น้ำหนักกับเหตุผล และรูปธรรมอย่างน่าสนใจต่อเหตุการณ์ในอดีต

ทั้งนี้ บางกลุ่มของฝ่ายก้าวหน้าที่เข้าป่า ก็มีเปลี่ยนไป ในอีกแนวทางหนึ่ง เข้าสู่พรรคไทยรักไทยบ้าง และต่อมา เมื่อเกิดกระแสการเมืองของกลุ่มพันธมิตร(ปัญญาชนฝ่ายผู้จัดการ ก็มีวิธีคิดแบบฝ่ายซ้าย และแนวทางวิภาษวิธีเช่นกัน เรื่องนี้ต้องอธิบายอีกครั้งต่อไป) จนมาถึงการถูกห้ามจำหน่ายของหนังสือ เดอะคิงเนเวอร์สไมส์ ก็ยิ่งทำให้ผู้คนสนใจมากขึ้น มีการวิจารณ์ผูกโยงไปถึงทักษิณ ชินวัตร กับความจงรักภักดี และส่วนในด้านการนำเสนอทางวิชาการ เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ ฯลฯ วิจารณ์หนังสือ The King Never Smiles (5)ดังกล่าว

นายสนธิ ลิ้มทองกุล นักธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เชิงสนทนาซึ่งสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ วิพากษ์วิจารณ์หนังสือดังกล่าวอย่างไม่เป็นทางการว่า "เขียนจากข่าวโคมลอย" และพูดถึงผู้เขียนหนังสือว่า "ก้าวร้าว" "จาบจ้วง" "โอหัง" "ดูถูกคนเอเชีย" และ "ยโสไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อและแม่มัน" ในกรณีหนังสือ เดอะคิงเนเวอร์สไมส์ (6)กลับยิ่งกลายเป็นเผยแพร่ความคิดเห็น ต่อหนังสือนี้ ต่างๆ นานา และจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม ซึ่งจริงๆ แล้วทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงนั้น มันสั่งสมตัวมาก่อน โดยที่เราไม่ทันสังเกต คือ มันละเอียดอ่อนมากโดยที่เราไม่รู้ตัว ตรงนั้นทำให้เราอาจจะละเลยมัน ซึ่งทฤษฎีไร้ระเบียบ มันก่อตัวจากเหตุเล็กๆ นิดๆ สะสมมาเรื่อย เป็น1ปี,2ปี,3ปี พอถึงจุดๆ หนึ่ง และมันออกฤทธิ์เลย ก็ตายแล้ว หรือแย่แล้ว เช่นเดียวกับ ฟองสบู่แตกของประเทศไทย ที่เราเรียกว่าโรคต้มยำกุ้งระบาดไปทั่วนั้น จากเมืองไทยระบาดไปที่สิงคโปร์ ฮ่องกง เลยไปถึงเกาหลีใต้ ไต้หวัน กระทบไปถึงรัสเซียช่วงหนึ่ง ถ้าไปย้อนดูมันกระแทกไปหลายแห่ง ดังกล่าวนั้น

ภาพลักษณ์ของทักษิณ ยิ่งถูกสื่อมวลชน นำเสนออย่างไม่เป็นกลาง และเกิดปัญหาในกรณีผู้จัดการมากเท่าไหร่ก็เป็นปัญหาต่อประชาธิปไตย ซึ่งต่อมา สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กล่าวถึงการเปรียบเทียบสื่อผู้จัดการการกับสื่อดาวสยามในอดีต ยุค 6ตุลา 2519 ว่า ผู้จัดการ-พันธมิตร กำลังก่อกระแส ‘ละคอนแขวนคอ’ ยุคใหม่(7) หรือนักวิชาบอกว่า สื่อเป็นพิษ โดยอาจจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวเอง ก็ตาม แต่ก็เปิดเผยให้เห็นถึงในเรื่องทางการเมือง เช่น เครือข่ายของราชา กับ ทักษิณ ซึ่งเขียนตั้งแต่ 3 สิงหาคม 2549 และแสดงถึงอคติต่อนักการเมืองด้วย

วิริษฐ์ ลิ้มทองกุล กล่าวถึง “เครือข่ายของราชา กับ ทักษิณ โดยอ้างอิง…“Duncan McCargo” เห็นว่า การจะทำความเข้าใจกับการเมืองของประเทศไทยนั้น จำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึง เครือข่ายทางการเมือง (Political Network) ซึ่ง McCargo อธิบายต่อว่า เครือข่ายทางการเมืองที่ชี้นำการเมืองไทยในห้วงเวลาระหว่าง พ.ศ.2516-2544 (ค.ศ.1973-2001) นั้นคือ เครือข่ายที่มีศูนย์กลางอยู่ในวัง หรือเรียกกันในอีกนามหนึ่งว่า เครือข่ายของราชา (Network Monarchy) ซึ่งเครือข่ายของราชา เข้ามามีส่วนร่วมและแทรกเข้ามามีบทบาททางการเมืองผ่านตัวแทนของกษัตริย์ซึ่งก็คือ คณะองคมนตรี (Privy Council) ที่นำโดยประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ทั้งนี้ แม้เครือข่ายของราชา จะพัฒนาขึ้นมา จนมีบทบาทสูงต่อสังคมในระดับหนึ่ง แต่เครือข่ายของราชาก็ไม่เคยก้าวล่วงเข้ามา จนกลายสภาพเป็นการครอบงำสังคมไทย ในทางกลับกันเครือข่ายของราชากลับมีภารกิจในการทำหน้าที่ผ่านองค์กรทางการเมืองทั้งหลาย (ที่เรารู้จักกันดีก็คือ อำนาจทางการปกครองผ่านรัฐบาล อำนาจทางนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา และอำนาจทางตุลาการผ่านศาลยุติธรรม) โดยมีรัฐสภาไทยที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งเป็นพื้นฐาน

ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยลีดส์ กล่าวต่อด้วยว่า ถึงแม้เครือข่ายของราชาจะมีลักษณะของความเป็นอนุรักษ์นิยมโดยธรรมชาติ แต่ในช่วงทศวรรษที่ 90 (ห้วงเวลาระหว่าง พ.ศ.2533-2543) เครือข่ายนี้ ก็ยังแสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะหลังจากปี พ.ศ.2535 ที่ประเทศไทยต้องประสบกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองใหญ่ๆ ถึง 3 ครั้ง

โดยในแต่ละครั้ง พล.อ.เปรม ก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเพื่อรักษาสมดุลย์ทางการเมือง และนำประเทศไทยกลับสู่สภาวะปกติได้ทุกครั้ง กระนั้นการเข้าแทรกแซงดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแรงลงของเครือข่ายแห่งราชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายของพรรคไทยรักไทย ที่นำโดย ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ.2544 และ 2548 โดยในจุดนี้ McCargo มองว่าในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมา ทักษิณพยายามที่จะสร้างเครือข่ายใหม่ที่อยู่ภายใต้อาณัติของตน เพื่อจะนำมาแทนที่เครือข่ายเก่าที่ดำรงอยู่และกำลังอ่อนแรงลงทุกทีๆ ....โดยส่วนตัวผมเองคงไม่อาจจะให้ความเห็นอะไรกับบทความชิ้นดังกล่าวของ ศาสตราจารย์ McCargo ได้มากนัก แต่เมื่อพิจารณาในส่วนแรกของบทคัดย่อที่กล่าวถึงบทบาทและภาระหน้าที่ของเครือข่ายของราชาที่มีต่อสังคมไทยแล้ว ก็นับว่าสอดคล้องกับพระราชดำรัสวันที่ 25 เมษายน 2549..”(8)

เมื่อบทความที่มาจาก ผู้จัดการเอง เปิดเปลือยความคิดทางการเมืองไทย โดยนำ McCargo มาอธิบายเชื่อมโยงกับทักษิณ ทั้งที่ผู้เขียนบทความดังกล่าว อาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ที่มีการวิจารณ์ความไม่เป็นกลางของสื่อมวลชน และกรณีปัญหาความไม่จงรักภักดีของทักษิณ ซึ่งก็ลุกลาม กลับมาเป็นปัญหากับพรรคพลังประชาชน “โดยส่วนตัว ผมเคยเขียนถึงบทความชิ้นนี้ของ McCargo มาแล้วครั้งหนึ่งในส่วนของคอลัมนิสต์ออนไลน์ เว็บไซต์ www.manager.co.th เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2549 ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน ทั้งนี้เมื่อย้อนกลับมาอ่านบทความของ ศ.McCargo อีกครั้งแล้วพิจารณาถึงบริบททางการเมืองไทยและสังคมไทยในปัจจุบัน ผมพบว่าบทวิเคราะห์ของ McCargo ก็ยิ่งเปล่งประกาย …”

“..โดยเฉพาะ หลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของพรรคพลังประชาชนเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ ยิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าเครือข่ายเก่านั้นไม่ได้เข้มแข็งขึ้นเลย หลังจากการรัฐประหารกว่าหนึ่งปีสามเดือน..” (สำนวนของวิสิษฐ) ซึ่งมีผลสืบต่อมา ในส่วนของข้อกล่าวหาไม่จงรักภักดีของจักรภพ เพ็ญแข นั้นขึ้นมาทำงานในคณะรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช จึงกล่าวว่า “เอาอะไรมาพิสูจน์ เอาปรอทมายัดใส่เจอแล้วเอาปรอทกำปั๊บ แล้วรู้เหรอว่า ไม่จงรักภักดี ใช้กันจนพร่ำเพรื่อ” เป็นต้น ซึ่งเมื่อทักษิณ(ชื่อเล่นว่า แม้ว) กลับมาจากต่างประเทศ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ(หรือหนองงูเห่า) ก็ก้มลงกราบแผ่นดิน เป็นประเด็นโด่งดัง ในช่วงเวลานั้น ซึ่งเวลาต่อมา คู่ตรงข้ามของความขัดแย้ง นับตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2551 เป็นต้นมา จนถึงกระแสการตัดสินยุบพรรคทางการเมือง โดยกลุ่มเสื้อเหลือง ก็มายึดสนามบิน เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งทำให้รัฐบาล คือ นายสมชาย จึงอพยพมาอยู่เชียงใหม่ ดังกล่าว

ซึ่งในวันที่ 13 ธันวาคม 2551 หลังจากที่ทักษิณ ไม่สามารถอยู่ในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมในอดีต และใช้ฐานะทางการเมืองพิเศษ จากภายนอกประเทศไทยไม่ได้แล้ว จึงต้องระหกระเหินออกนอกประเทศ โดยต่อมาเทปวิดีโอของทักษิณ ก็เปิดฉายภาพขึ้น ในงานครอบครัวความจริงวันนี้สัญจร ณ สนามศุภชลาศัย ทักษิณ กล่าวว่า ท่านเคยได้ยินภาษิตโบราณไหมครับ ที่เขาบอกว่า หมาจนตรอก คือเขาไล่หมาจนจนตรอกนี่ จนตรอกอย่างไร ก็ยังมีตรอกอยู่ แต่ของผมแม้แต่ตรอกก็ไม่มีจะอยู่ จะเอาอย่างนั้นเลยหรือครับ จะถามว่าผมไม่เคยทำคุณงามความดีให้บ้านเมืองเลยหรือ ประชาชนเกลียดผมอย่างนั้นหรือ… พี่น้องครับ ทั้งหมดมาจากคำ คำเดียวครับ ไม่จงรักภักดี..(9)

ในสถานการณ์ ที่มีสื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในช่วงสายของวันที่ 29 ธ.ค.นั้น ที่บริเวณเวทีปราศรัยของกลุ่มนปช.ซึ่งตั้งอยู่หน้ารัฐสภานั้น มีการนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ มาติดที่ฉากหลังของเวที พร้อมทั้งข้อความที่อยู่บริเวณด้านข้างขนาดใหญ่ว่า “อภิสิทธิ์ชนโจร” ทั้งนี้ รูปพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวนั้น ได้นำมาติดตั้งในวันนี้ (29 ธ.ค.) เป็นวันแรก ซึ่งเป็นวันแถลงนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น ฉากหลังเวทีดังกล่าว ยังมีเพียงข้อความว่า “อภิสิทธิ์ชนโจร” เท่านั้น และไม่มีพระบรมฉายาลักษณ์(10) ที่มีการผลักประเด็นความจงรักภักดี ไปสู่ความเกลียดชัง ในทางคู่ตรงกันข้าม ทำให้เกิดแรงกระทบ อย่างไม่รู้ตัวของสื่อผู้จัดการ ก็เปิดเผยให้เห็นถึงปัญหาของความจงรักภักดี ในสถานการณ์ ซึ่งมีผลกระทบต่อหลายส่วน ตำรวจ ทหาร รัฐบาล และแน่นอน การนำเสนอดังกล่าว มันมีด้านกลับของสื่อผู้จัดการ ซึ่งไปปลุกพลังของคนเสื้อแดง มากขึ้นต่างหาก เช่นเดียวกับการฟื้นอำนาจของคำว่าศักดินา ซึ่งกลับมาเป็นตัวแปรในการวิเคราะห์สังคมไทยอีกครั้งโดยผู้จัดการเอง(11)


2.คนเสื้อแดงกับการเมืองไทย

ปัญหาทางการเมือง ที่มีเรื่องความไม่เป็นกลางของสื่อมวลชน และกรณีความยุติธรรม ในมาตรฐานของเสื้อแดง จะได้ยอมรับให้มีความเป็นมาตรฐาน ในสายตาของสื่อมวลชน นักวิชาการ ตำรวจ กองทัพ และรัฐบาลเพียงใด ในเมื่อคู่ตรงกันข้าม หาทางกีดกัน โดยการชูประเด็น “ทักษิณ” วาทกรรมจากหนังสือเกี่ยวกับทักษิณ จำนวนมากมาย จะผิดหรือถูก เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเชื่อมโยงอิทธิพลของการเมืองคนแต่ละฝ่าย ซึ่งต่อมาทำให้ทักษิณ ในฐานะที่รัฐบาลของเขาถูกรัฐประหาร ซึ่งเขาพูดหลังจากนั้นว่า เขาไม่ได้ปกป้องตัวเอง แต่ปกป้องประชาธิปไตย ก็ตาม และปัญหาทางการเมือง มาจากบางส่วนของการไม่ยอมรับ ว่าทักษิณ มาจากการเลือกตั้ง ที่ถูกต้องนั้น ก็เป็นผลของการสะสมความวุ่นวายของแต่ละฝ่าย ซึ่งมีที่มาจากเสียงหลายส่วนของประชาชน ซึ่งเคยเลือกพรรคไทยรักไทยในอดีต และการไม่เอาทักษิณ โดยไม่ว่าจะมีวิธีคิด มุมมองทางการเมือง และวิธีวิทยาของการมองปัญหาในปัจจุบัน แรงผลักของความต้องการทางสิทธิมนุษยชนของคนไทย สะสมกำลัง และพลัง สำหรับ เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของคนละฝั่งทางการเมือง แสดงออกในวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ก็อาจจะบีบให้เลือกข้างมากขึ้น เพราะมาจากการสะสมกันมาในทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่เรื่องซ้าย-ขวาในอดีต

กรอบความคิดในการมองปัญหาในปัจจุบัน ที่มีหัวใจของทฤษฎีไร้ระเบียบ มันอยู่ที่ว่าสถานการณ์ของสังคมนั้น ระบบนั้น มันเกิดความเปราะบาง เหตุเล็กๆ ที่เราไม่ได้สังเกต และไม่ได้เอาใจใส่มัน ถ้ามันเกิดขึ้นซ้ำซากมานานมากมาย เหตุเล็กๆ เหล่านี้สามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ โดยเราคาดไม่ถึง อาจพลิกผันเป็นสถานการณ์อื่นๆ ได้ เพราะว่าภายใต้สถานการณ์ที่เปราะบางมีอะไรเล็กน้อยเข้าไปก็พลิกผันเป็นอย่างอื่นได้ จึงเปรียบเทียบว่า ผีเสื้อตัวหนึ่ง (ไม่ใช่ช้าง,ปลา..หรือไดโนเสาร์) ถ้ากระพือปีกแรงๆ ที่ฮ่องกง ก่อกระแสคลื่นเล็กๆ จากปลายปีก อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพายุใหญ่ในแคลิฟอร์เนียได้ในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง

เช่นเดียวกับนิทานเรื่องเจ้าชายกบ เดิมเจ้าหญิงจูบเจ้าชายกบ กบนั้นจะกลายเป็นผู้ชายขึ้นมา แต่เราไม่เคยคิดเป็นมุมกลับว่า บางทีเมื่อจูบไป เจ้าหญิงอาจกลายเป็นกบตัวเมียอีกตัวหนึ่งก็ได้ สถานการณ์จากสื่อผู้จัดการ และพันธมิตร ดังกล่าว จะเห็นว่าด้านกลับของสื่อมวลชน ในขณะเดียวกัน วิกฤติจากอเมริกา อาจจะเป็นด้านกลับ ในการพัฒนาประชาธิปไตย จึงต้องทำวิกฤติให้เป็นโอกาสของการเมืองไทย

อย่างไรก็ตาม จากทฤษฎีButterfly Effect นั้น คนเสื้อแดงในการพัฒนาทางการเมืองไทย เช่นเดียวกับ ความเคลื่อนไหวด้วยจังหวะอารมณ์ ความรู้สึกอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่เรื่องทักษิณอย่างเดียว ซึ่งเปิดพื้นที่ทางการเมืองเพื่อเป้าหมายประชาธิปไตย ซึ่งผลของบทเรียนทางการเมืองนั้น จะทำให้คนเสื้อแดง ระดมสมอง ทุนทางด้านเงิน และขบวนการเคลื่อนไหว ฉะนั้น คาดว่า วัฒนธรรมทางการเมือง มีความน่าจะเป็นไปได้ ในการสร้างเครื่องมือทางการเมืองสำหรับก้าวขั้นบันไดต่อไป และถึงเวลาทบทวนความคิด ไม่ให้เป็นแค่ตามกระแสในสังคมไทย(12) เพื่อสร้างพื้นที่ทางการเมือง ให้ก้าวไปมากกว่าจากสนามหลวง ถนนราชดำเนิน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และรัฐสภา

3.แดงทั่วแผ่นดิน และทักษิณ-โฟนอิน-วิดิโอลิ๊งค์

งานแดงทั่วแผ่นดินสัญจร ครั้งที่ 1 จัดขึ้นที่บริเวณริมถนนหน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ในวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552 โดยเริ่มเปิดเวทีปราศรัยอย่างเป็นทางการในเวลา 15.00 น.

กระทั่งเวลาประมาณ 16.30 น. เกิดเหตุวุ่นวายบริเวณด้านหลังเวทีปราศรัย เมื่อมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งทราบชื่อภายหลังว่าชื่อนายลพ พูลวิเชียร อ้างตัวว่าเป็นสมาชิกชมรมคนรักอุดร พกอาวุธมีดเข้ามาก่อกวนบริเวณด้านหลังเวทีปราศรัย ท่ามกลางความตกตะลึงของประชาชน และการ์ด นปช.ที่พยายามจะเข้าไปควบคุมสถานการณ์ ก่อนที่จะส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ควบคุมตัวไปดำเนินคดี

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. กล่าวบนเวทีว่า ที่มาจัดชุมนุมที่ขอนแก่นเป็นจังหวัดแรก เพราะ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศจะมาตายที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นกลุ่ม นปช.จะไปเปิดเวทีที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 14 มีนาคม จังหวัดจันทบุรี วันที่ 15 มีนาคม จังหวัดเชียงราย วันที่ 21 มีนาคม และวันที่ 22 มีนาคม จะจัดเวทีที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนที่จะไปชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล โดยจะนำประชาชนไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลให้ล้นไปถึงถนนราชดำเนิน และจะปักหลักเป็นแรมเดือน ไม่ชนะไม่เลิกรา ขึ้นอยู่กับหัวใจของคนเสื้อแดงทั่วประเทศว่าจะพร้อมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์หรือไม่

ต่อมาเวลา 20.00 น. ก็ถึงช่วงสำคัญของการจัดงาน เมื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณโฟนอินขณะอยู่บนเครื่องบินเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของนายวีระ มุสิกพงศ์ โดยพ.ต.ท.ดร.ทักษิณกล่าวว่า ตนเคยหาเงินได้ 2.5 แสนล้านไม่ต้องกู้ต่างประเทศ สร้างอนาคตให้เยาวชน แต่กลับถูกรัฐประหารยึดอำนาจ พันธมิตรฯไปยึดสนามบิน แต่ตำรวจทำอะไรไม่ได้ จนปลดรัฐบาลให้นายอภิสิทธิ์ตั้งรัฐบาลใหม่ จะเรียกว่าประชาธิปไตยได้อย่างไร สุดท้ายเอาทหารมากดดันเรียกว่า “รัฐบาลปฏิวัติเงียบ” ตราบใดที่ความยุติธรรมไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย พวกเราต้องรวมตัวกัน ตอนนี้จังหวัดไหนไม่ถูกกันบ้างก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อถึงเวลาเรารวมกันด้วยอุดมการณ์ เมื่อนั้นที่เราจะปกป้องพวกเรา สีแดงหมายถึงเลือดเนื้อเชื้อไขที่หล่อหลอมกันเป็นประเทศไทย เพราะฉะนั้นเราต้องรวมพลังกันต่อสู้กับสิ่งไม่ถูกต้อง เพื่อนำมาซึ่งความสันติ ความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย และความผาสุกของประชาชน

งานแดงทั่วแผ่นดินสัญจร ครั้งที่ 4 จัดขึ้นที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในวันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552 เป็นการจัดโต๊ะจีนจำนวน 200 โต๊ะ ระดมทุนให้กับเสื้อแดงจังหวัดเชียงราย รวมทั้งเปิดตัวสถานีวิทยุชุมชนคนรากหญ้ารักประชาธิปไตย 104 เมกกะเฮิร์ซ โดยมี นางสาวจีรนันท์ จันทวงศ์ แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตยเชียงราย เป็นผู้ประสานจัดงานครั้งนี้ จนถึงขณะนี้ประชาชนคนเสื้อแดงจากภาคเหนือ รวมทั้งจากจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ จำนวนกว่า 2,000 คน ไปร่วมงานท่ามกลางเสื้อสีแดงละลานตา

สำหรับการจัดงานมีแกนนำขึ้นเวที ประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายขวัญชัย ไพรพนา นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง พร้อมกับ ไพจิตร อักษรณรงค์ ศิลปินชื่อดัง และอีกหลายคนไปร่วมขับกล่อม จากนั้น นางสาวจีรนันท์ ได้ขึ้นเวทีกล่าวต้อนรับพร้อม โดยนายวีระได้เป็นประธานเปิดตัวสถานีวิทยุชุมชน พร้อมกล่าวปราศรัยถึงการจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชน เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนได้รับรู้ และมีส่วนร่วมในบทบาททางการเมือง ซึ่งทางแกนนำได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์

ต่อมาเวลาประมาณ 20.00 น. พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินเข้ามาโดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณกล่าวว่าขอบคุณพี่น้องชาวไทยและชาวเชียงรายที่รักและสนันสนุนตน ทุกคนต้องต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา หากตนยังทำงานอยู่จะไม่มีการกู้เงิน แต่จะเนรมิตเงินนำมาสร้างงานสร้างชาติ ขณะนี้เป็นห่วงเศรษฐกิจตกต่ำจะพูดที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 22 มีนาคม และวันที่ 27 มีนาคม จะพูดที่กรุงเทพมหานคร เรื่องทางออกของประเทศไทย พี่น้องต้องรักกันสามัคคีกัน หากตนกลับมาจะแก้ไขปัญหาทั้งหมด

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ กล่าวอีกว่า ได้ข่าวว่าจังหวัดเชียงรายยาบ้าระบาดหนัก สาเหตุมาจากไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน หากกลับไปจะปราบยาบ้าให้หมดสิ้นไป

งานแดงทั่วแผ่นดินสัญจร ครั้งที่ 5 จัดขึ้นที่สนามกีฬา 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ ในวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552

โดยเมื่อเวลา 20.00 น. พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวผ่านวิดีโอลิงก์ถึงกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ชุมนุมรออยู่ในสนามกีฬา 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ โดยในการโฟนอินที่เห็นทั้งภาพและเสียงครั้งนี้ตนขออนุญาตพูดลึกในรายละเอียดที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลยังหาทางออกให้ประเทศไม่ได้จะพูดที่มาของปัญหาทั้งหมด ทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ และชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพมหานครจะพูดเรื่องทางออก ถ้ากลับไปและให้ตนทำหน้าที่ มั่นใจว่าวิกฤติคราวนี้แก้ได้ เพราะวันที่เข้ามาในปี พ.ศ. 2544 ต่อจากพรรคประชาธิปัตย์นั้น หนี้สินรกรุงรัง เงินสำรองมีน้อยก็ยังแก้ได้จนสามารถเปลี่ยนประเทศเป็นประเทศผู้ให้กู้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเริ่มต้นด้วยการกู้

โดยระหว่างนั้นนายวีระ มุสิกพงศ์ กล่าวขัดขึ้นว่า มีคนหาว่าไม่ได้เป็นการถ่ายทอดสด พ.ต.ท.ดร.ทักษิณย้อนถามว่าจะให้แสดงท่าทางอะไรให้ดูหรือไม่ นายวีระตอบว่าจะชวนร้องเพลง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณบอกว่าเอาเพลงมนต์เมืองเหนือหรือสักขีแม่ปิง ท่ามกลางการโห่ร้องชอบใจของชาวเสื้อแดง

ช่วงท้ายของการโฟนอิน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณได้กล่าวทิ้งท้ายว่าตนขอขอบคุณประชาชนที่มาร่วมชุมนุม และขอให้คนเสื้อแดงรวมพลังให้เป็นปึกแผ่น จนกว่าประชาธิปไตยจะกลับคืนสู่แผ่นดินไทย จนกว่าความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นในประเทศไทย(13)

4.ทักษิณ-วีระ มุกสิกพงศ์ : ประวัติศาสตร์ในวันที่ 26 มีนาคม 2520 และ27 มีนาคม 2549

ความเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ในวันที่ 26 มีนาคม 2520 และ27 มีนาคม 2549 ความพ่ายแพ้ หรือการเริ่มต้นของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ทำให้ทักษิณ ชินวัตร กับวีระ หรือ ไข่มุกดำ มาบรรจบกันได้ โดยขอย้อนอดีตดังนี้

กรณี กบฏ 26 มีนาคม 2520 นำโดย พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ และนายทหารกลุ่มหนึ่ง ได้นำกองกำลังทหารจากกองพลที่ 9 จังหวัดกาญจนบุรี เข้ายึดสถานที่สำคัญ 4 แห่ง คือ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก สวนรื่นฤดี กองบัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า สนามเสือป่า และกรมประชาสัมพันธ์ ฝ่ายทหารของรัฐบาลพลเรือน นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.กมล เดชะตุงคะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพล.อ.เสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารบก ได้ปราบปรามฝ่ายกบฏเป็นผลสำเร็จ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520 นับเป็นกบฏคนสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตตราบจนบัดนี้(14)

อย่างไรก็ตาม นายวีระ มุสิกพงศ์ ก็เข้ามามีส่วนร่วมเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย และถูกจำคุกด้วยข้อหากบฏ ซึ่งทำให้โดนจำคุก กว่าจะออกมามีอิสรภาพ ทำงานการเมือง(15) ฯลฯ จนกระทั่ง วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2549 - การขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกแม่ค้าในซอยละลายทรัพย์ (สีสมซอย 5) จำนวนหนึ่งตะโกนไล่ ขณะกำลังรับประทานอาหารระหว่างไปหาเสียงในซอยนั้น(16)

ดังนั้น การสร้างพลังแห่งการเรียนรู้เรื่องราวในอดีต ก็เป็นสิ่งจำเป็นต่ออนาคตของแดงทั่วแผ่นดิน พัฒนาการตั้งแต่รัฐประหาร วันที่19 กันยา 2549กับการบรรจบของทักษิณ-วีระ มุสิกพงศ์ในปี พ.ศ. 2550 นายวีระ เป็นแกนนำคนหนึ่งของ " แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ " (นปก.) จัดเวทีปราศรัยที่สนามหลวงโจมตีรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549และคมช. รวมทั้งบางครั้งยังพาดพิงไปถึงประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารด้วย

ในปี พ.ศ. 2551 นายวีระได้เป็นหนึ่งในพิธีกรรายการความจริงวันนี้ ทาง NBT โดยร่วมกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ และในวันที่ 15 ธันวาคม 2551 นี้เอง พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีต่อนายวีระ มุสิกพงศ์ กรณีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า ภายในสัปดาห์นี้พนักงานสอบสวนจะส่งสรุปสำนวนการสอบสวนทั้งหมดให้คณะกรรมการกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พิจารณาส่งต่อไปยังคณะกรรมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ระดับ ตร. พิจารณาเห็นชอบให้อัยการสั่งฟ้องหรือไม่ต่อไป

อย่างไรก็ตาม นายวีระ รวมกับพวกอีก 7 คน ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จากกรณีจำเลยร่วมกันจัดรายการความจริงวันนี้ เมื่อวันที่ 20 - 21 สิงหาคม กล่าวอ้างถึงนายสนธิ ว่าเป็นบุคคลล้มละลาย เป็นหนี้แล้วไม่ยอมใช้แต่อยากมากู้ชาติ โดยศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 15 ธันวาคม เวลา 09.00(17) ดังกล่าวสอดคล้องต่อการอธิบายว่าสื่อมวลชนก็มีผลต่อกระแสผีเสื้อแดงทั่วแผ่นดิน

5. หลังวันที่ 26 มีนาคม 2552 : ประชาธิปไตยในจิตใจเพื่อการศึกษาการเมืองไทย

นับตั้งแต่ เกิดรัฐประหาร 19 กันยา 2549 เกิดความโกลาหลทางการเมืองในขณะนั้นเป็นต้นมา ในความจำจากอดีตบทเพลงพระราชนิพนธ์ความฝันอันสูงสุดเปิดผ่านทางทีวีในเหตุการณ์รัฐประหาร(18) จนกระทั่ง สถานการณ์แห่งวันเวลาเปลี่ยนแปลงมาจนจะถึงวันที่ 26 มีนาคม 252 ทั้งรัฐบาล และคนเสื้อแดง ซึ่งตามที่กล่าวถึง Chaos Theory คือ ทฤษฎีความโกลาหลนั้น โดยผลกระทบต่อการเมือง การอธิบายเกี่ยวกับการเมืองในระบบรัฐสภาว่า ถ้าเครื่องมือทางการเมือง คือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่สามารถดำเนินการอย่างเร่งด่วน ในการบังคับใช้กฎหมาย ต่อการกระทำความผิดที่ผ่านมาทั้งหมดของแกนนำพันธมิตร นับตั้งแต่การยึดทำเนียบรัฐบาลไปจนถึงกรณีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและเป็นกลาง จึงอาจจะเป็นไปไปไม่ได้ รัฐบาลจะไม่สามารถอยู่ได้ และถ้าเกิดการยุบสภา รวมทั้งการเลือกตั้งใหม่ สิ่งที่น่าจะตามมา ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี2550

โดยให้สังคมเป็นเจ้าภาพ ด้วยการดึงให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยในจิตใจ เพื่อการศึกษาการเมืองไทย ให้เกิดความหวังโดยเราจะมีสิทธิ มีความฝัน ให้หลายชนชั้น ทั้งชนชั้นกลาง และหลายชาติพันธุ์ เป็นแนวร่วมในการพัฒนาการเมืองไทยของประชาชน และหลากหลายชุมชนแห่งชาติ ได้การยอมรับจากนานาชาติ เพราะว่า การสร้างประชาธิปไตยในจิตใจ ไม่ง่ายดาย ในการปลูกวัฒนธรรมทางการเมือง เพิ่มการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเมือง ติดตามดูข่าวสารทางทีวี ต่างๆ แม้เครื่องมือในการวิจัย เกี่ยวกับเรื่องการทดสอบความรู้เรื่องประชาธิปไตย ต่อประชาชน จะมีขีดจำกัด เช่น ออกแบบสอบถาม

อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวให้กว้างกว่านั้น คนไม่สามารถเป็นไม่บรรทัด คือ วัดได้คงเส้นคงวา (มักอาจจะDouble Standard) และถ้าเกี่ยวกับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ว่า ไม่มีเครื่องมือวัดว่า คนนั้น มีประชาธิปไตยได้ เหมือนกับเทอร์โมมิเตอร์ ซึ่งวัดอุณหภูมิ ร้อน หรือ เย็นได้ แต่ว่า คนไม่สามารถ เที่ยงตรง แม่นยำ และย่อมมีอารมณ์ ความรู้สึก อคติต่างๆได้

สรุป กระนั้นประเด็น 5 ประการ สะท้อนความเป็นมาของความจำเป็น ต่อคนเสื้อแดง และ หลากหลายกลุ่ม ในประชาชนทั่วไป ในการสร้างความเป็นประชาธิปไตย ให้ก้าวไกลกว่า ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ถ้าเปรียบดั่งโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม รวมทั้งมีจัดองค์ประกอบ ทำให้มองเห็นเรื่องแสง-เงาของรัฐสภา กับทำเนียบรัฐบาล แล้วจะทำประชาธิปไตย ให้เกิดแนวทาง เริ่มต้นเปล่งแสงสว่างของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จะปรากฏจากผลของคนเสื้อแดง และสิ่งที่เชื่อมโยงของระบบนิเวศใน Butterfly Effect

ซึ่งขณะของอนาคต อันไม่แน่นอน และชัยชนะแดงทั่วแผ่นดินหรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญของการต่อสู้ของแดงทั่วแผ่นดินนั้น แน่นอนว่า ผีเสื้อปีกแดง ส่งผลต่อการเมืองไทยแล้ว

0000000000000

อ้างอิง

1.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ "มีสัญญาณอันตราย เต็มไปหมดในประเทศนี้" ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ ผู้นำสาร Chaos Theory เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 12 ฉบับที่ 581 วันที่ 21 - 27 ก.ค. 2546 http://www.nokkrob.org/index.php?file=forum&obj=forum.view(cat_id=ch-ch,id=1)
2.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล deja vu: ทักษิณ V นายกฯพระราชทาน, พิบล-เผ่า V สฤษดิ์ http://somsakcouppostings.blogspot.com/2006/09/deja-vu-v-v-19-2549-2528.html
3. The Butterfly Effect
4.ธงชัย วินิจจะกูล “ความทรงจำ ภาพสะท้อนและความเงียบในหมู่ฝ่ายขวาหลังการสังหารหมู่ 6 ตุลา” http://www.prachatai.com/05web/th/home/10331และ
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล “เราสู้: เพลงพระราชนิพนธ์การเมืองกับการเมืองปี 2518-2519” http://www.2519.net/autopage/show_page.php?t=10&s_id=12&d_id=20เราสู้
5. งานวิชาการ ‘ไทยศึกษา’ : นิธิ เอียวศรีวงศ์ วิจารณ์ The King Never Smiles (ฉบับเต็ม) http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=10893&Key=HilightNews
6.เดอะคิงเนเวอร์สไมส์ http://th.wikipedia.org/wiki/The_King_Never_Smiles
7.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:ผู้จัดการ-พันธมิตร กำลังก่อกระแส ‘ละคอนแขวนคอ’ ยุคใหม่http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=12043&Key=HilightNews
8. วริษฐ์ ลิ้มทองกุล “เครือข่ายของราชา กับ ทักษิณ” ผู้จัดการ 3 สิงหาคม 2549 16:21 น.
http://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=24286(เว็บของรัฐสภา) และวริษฐ์ ลิ้มทองกุล “นั่งฟัง ‘ฝรั่ง’ พูดถึงการเมืองไทย”
http://oldforum.serithai.net/index.php?action=printpage%3Btopic=21135.0
9. "แม้ว"โฟนอินความจริงสัญจรฯ วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11236 มติชนรายวันhttp://matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0102141251§ionid=0101&day=2008-12-14
10. "จาบจ้วง?" ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ธันวาคม 2551 15:48 น. http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000152959
11.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล การกลับมาของ "ศักดินา" ในฐานะจินตภาพการเมือง http://somsakcouppostings.blogspot.com/2006/12/blog-post_8371.html
12.อรรคพล สาตุ้ม "14 ตุลา 2516 บนถนนราชดำเนิน – หลัง 13 ธันวา 2551: “เครื่องมือ” ทางการเมืองของคนไทย"http://www.prachatai.com/05web/th/home/15017
13. แดงทั่วแผ่นดินสัญจรhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%88%E0%B8%A3
14.กบฏ 26 มีนาคม 2520
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%8F_26_%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1_2520
15.วีระ มุสิกพงศ์
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0_%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C
16. 27 มีนาคม
http://th.wikipedia.org/wiki/27_%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1
17.วีระ มุสิกพงศ์,เพิ่งอ้าง
18.รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2549