วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิกฤติการเมือง วิกฤติสังคม วิกฤติเศรษฐกิจ และวิกฤติศรัทธา ผมว่าสถาบันต่างๆ ของไทย ไปไม่รอด แต่ไม่สิ้นชาติ

ที่มา thaifreenews

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย




แต่ผมคิดว่า ถึงอย่างไรประชาชนยังอยู่แน่นอน และไม่มีวันสิ้นชาติ หรือสิ้นแผ่นดิน เพราะคน 60 ล้านคน ไม่มีทางตายไปในทันที ประเทศก็ไม่ถูกใครยึด ผมจึงไม่ได้มีห่วงอะไรเรื่องสิ้นชาติ ส่วนสิ้นอย่างอื่น ผมไม่แคร์อะไร

ตอนนี้ผมเชื่อว่า เมืองไทยมีความแตกแยกจนยากที่จะประสานกันแล้ว วิกฤติการณ์ทุกอย่างสุมเข้ามาพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติการณ์ความแตกแยกในชาติ ที่อย่างไรก็ไม่มีทางประสานปรองดองกันได้ ภายใต้กรอบความคิดเดิม เรื่องรักใครไม่รักใคร ตอนนี้ผมไม่รักใครแล้ว นอกจากตัวเองและประชาชน และประชาธิปไตย ความรักอื่นๆ ไม่ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น มากกว่าความงมงาย



ในขณะที่ความแตกแยกทางการเมืองยังไม่มีวันประสานกันได้ และยังมองทางออกไม่เจอ วิกฤติการณ์ที่มาอย่างใหญ่หลวงประจวบเมาะเหมือนกรรมซัด คือ วิกฤติการณ์เศรษฐกิจโลก และวิกฤติเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดโลกเกิน 50% ของ จีดีพี มีการคาดการณ์กันว่า ไตรมาส 1 ปี 2552 นี้ จีดีพีไทยจะติดลบกว่า 6% คนว่างงานจะเกิน 1.5 ล้านคน มันหมายถึงความอดอยาก วิกฤติทางสังคมจะตามมา

คนไทยไม่เหมือนกับ 30 ปี ที่แล้วที่หากตกงานยังกลับชนบทได้ วันนี้ไม่มีชนบทให้กลับ ไม่มีนาให้ทำ คนตกงาน หากเงินเก็บหมด ก็อดตายสถานเดียว เพราะเงินคืออาหาร ไม่มีเงินก็ไม่มีอาหาร ไม่ใช่จะไปหากินตามข้างถนนได้

วิกฤติอื่นๆ ที่ผมเห็นชัดเจนคือ "วิกฤติศรัทธา" ต่อตัวบุคคลต่างๆ ในประเทศนี้ ไม่ว่าคนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์สูง อย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หรือ พล.อ.สรุยุทธ์ จุลลานนท์ คนสองคนนี้ไม่ใช่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่น่านับถือของคนกว่าครึ่งประเทศอีกแล้ว เขาคือ ศัตรูของประชาชนอย่างน้อยก็คือกลุ่มเสื้อแดง ที่เปิดเวทีด่าทุกวัน คนเหล่านี้ไม่ใช่คนกลางอีกต่อไป แต่คือ "ตัวปัญหา" และศรัทธาของพวกเขาเรียกกลับคืนไม่ได้แล้ว เขากลายเป็นภาระของสถาบันที่เขาสังกัดไปแล้ว ไม่ใช่ผู้มีบารมีอีกต่อไป

วิกฤติการณ์ของสังคมไทยครั้งนี้ ผมไม่คิดว่า ประเทศไทยจะกลับไปเหมือนเดิมก่อนปี 2549 สถาบันหลายๆ สถาบันได้ทำลายตัวเองไปเรียบร้อย ไม่ว่าศาล หรือ สภาที่ปรึกษาอื่นๆ

แต่สัจจธรรมโลก เมื่อของเก่าๆ ซากเก่าๆ ในสังคมเก่าล่มสลายไป สังคมใหม่ก็เกิดขึ้น และเติบโตต่อไป เช่น กรุงศรีอยุธยาล่มลลายก็เกิดกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ก้าวเข้าสู่โครงสร้างทางสังคมแบบใหม่ขึ้น

หลังวิกฤติผ่านไป ประชาชนก็ยังคงอยู่ แต่ซากเดนเก่าๆ ล่มสลายไปหมดสิ้นแน่นนอน วันนี้ไม่ใครจะใช้อิทธิพลหรือบารมีของตนแบบเดิมๆ กู้ได้อีกต่อไปแล้ว

เหตุการณ์แบบ 6 ตุลาคม 2519 จะไม่เกิดขึ้น แน่นอน

ลูกเสือชาวบ้านได้ตายไปนานแล้ว ปลุกอย่างไรก็ไม่ขึ้น สังคมไทยไม่ได้เป็นสังคมดั้งเดิมเหมือนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ที่ใครจะมาจูงจมูกให้ไปฆ่ากันได้ง่ายๆ ท่ามกลาง วิดีโอ มือถือ และกล้องนับล้านตัว ไม่มีคนจาก หน่วยรบพิเศษ ไปปลุกระดมคนมาฆ่ากันได้อีกแล้ว



การที่กลุ่มเสื้อแดง และท่านนายกฯทักษิณ เปิดหน้าชนไปที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ ผมถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง ที่สามารถท้าทายเอา “ฝ่ายตรงข้าม” ออกมาชนช้างกันได้ ตอนนี้ทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ และ พล.อ.เปรม ต่างก็ออกมาแก้ตัวพัลวัล รวมทั้งพวกอำมาตย์ต่างๆ ที่อยู่แวดล้อมด้วย และผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะแก้ตัวหรืออะไร มันก็ไม่มีทางพ้นมลทินได้ เพราะประชาชนไม่ได้โง่ ที่จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย การปฎิเสธท่ามกลางระบบข้อมูลข่าวสารที่กระจายออกไปสู่มหาชนนานนับปีแล้ว เท่ากับเป็นการดูถูกว่า “ประชาชนโง่” ยิ่งสร้างความโกรธแค้นให้ประชาชนมากยิ่งขึ้นไปอีก

ตอนนี้สังคมไทยไม่มีทางปลุกเหตุการณ์แบบ 6 ตุลาคม 19 ได้อีกแล้ว เพราะ พวกขวาจัด มีกำลังไม่พอ และพวก “เสื้อแดง” มีมากเกินไป กระจายไปยังประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ใช่มีเฉพาะนักศึกษาแบบเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เท่านั้น และหากพวกเขาจะปลุกม็อบชนม็อบ แล้วอ้างทำรัฐประหาร ผมว่ามีหวังเกิดสงครามกลางเมืองแน่นอน และผลสุดท้ายของสงครามกลางเมืองคือ คนที่อยู่ตรงข้ามกับประชาชน จะพ่ายแพ้อย่างราบคาบแน่นอน