วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

เพื่อชาตื หรือ “เพื่อทักษิณ”

ที่มา ไทยรัฐ

ถึงเวลาประชาชนเลือก ทางออกจากวิกฤติเสื้อแดง

ถั่งโถม โหมฮือ แดงพรึบ รายล้อมทำเนียบฯ

เป็นไปตามคำประกาศของแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ตีปีšบเอาไว้ล่วงหน้า

หลังจากนัดชุมนุมย่อยคนเสื้อแดงตามหัวเมืองต่างจังหวัด ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก

พร้อมด้วยการเปิดเวทีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดหน้าโฟนอินและวีดิโอลิงค์ปราศรัยกับมวลชนเสื้อแดงทุกพื้นที่ทุกจังหวัด

ปลุกเร้าโหมกระแสอย่างต่อเนื่องถี่ยิบ ไม่เว้นแม้แต่งานวัด

เรียกร้องขอความเห็นใจจากชาวบ้านที่ให้การสนับสนุน ประกาศทวงถามหาความยุติธรรม วิจารณ์ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล

เปิดฉากโจมตีบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม ไล่ตั้งแต่ องคมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครอง อยู่เบื้องหลังการวางแผนโค่นล้มอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

เผาหัวปลุกระดมให้มวลชนเสื้อแดงเข้ามาชุมนุมที่กรุงเทพฯ เพื่อปิดล้อมทำเนียบฯ ยกระดับการเคลื่อนไหวของม็อบเสื้อแดงจากม็อบต่อต้าน มาเป็นม็อบขับไล่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวช-ชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

ชูธงเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนสู่ประเทศไทย

ประกาศชัด ถ้าประชาชนคนเสื้อแดงลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้อง ก็จะพาเขากลับบ้านได้ และเขาพร้อมที่จะกลับคืนสู่อำนาจทางการเมืองอีกครั้ง เพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน

ใช้มวลชนคนเสื้อแดงเป็นทัพหน้าทวงอำนาจคืน

ในขณะเดียวกัน ทางรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ก็พยายามเต็มที่ในการป้องกันการชุมนุมของม็อบเสื้อแดง ไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงบานปลาย

มีการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ 21 กองร้อย รวมทั้งประสานขอกำลังทหารอีก 6,000 นาย มาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน เพื่อดูแลสถานการณ์และป้องกันไม่ให้ม็อบเสื้อแดงบุกยึดสถานที่ราชการ

โดยเฉพาะการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ที่เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายบริหาร

แต่งานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเฝ้ามองสถานการณ์ ไม่สามารถสกัดกั้นหรือจัดการอะไรได้

ต้องปล่อยให้ขบวนม็อบเคลื่อนเข้าปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล

เพราะหากตำรวจ ทหาร ขยับออกมาใช้กำลังสกัดกั้น ก็จะต้องถูกมองจากฝ่ายม็อบเสื้อแดงว่า

ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความลำเอียง

สมัยม็อบเสื้อเหลืองบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ปล่อยให้ทำได้ ทำไมม็อบเสื้อแดงทำไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคง จึงต้องปล่อยให้กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเคลื่อนไหวกันได้เต็มที่ภายใต้กรอบกฎหมายและกติการัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย

ไม่เช่นนั้น ก็จะต้องโดนกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน

แต่เมื่อไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ม็อบเสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบฯในครั้งนี้ จะไหลไปถึงจุดไหน

เพราะเป้าหมายของม็อบครั้งนี้ คือ ไล่รัฐบาล

ประกาศกร้าว ไม่ชนะ ไม่เลิก ยืนยันจะปักหลักชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลจนกว่านายกฯอภิสิทธิ์จะประกาศยุบสภา หรือลาออก

สถานการณ์ความเคลื่อนไหวทั้งหมด สภาพการณ์ไม่ได้ผิด

เพี้ยนไปจากปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในห้วง 2 ปีที่ผ่านมา

ต่างกันแค่ว่า ม็อบเสื้อเหลืองกลับไป ม็อบเสื้อแดงมาแทน

แต่เป้าหมายเหมือนกัน คือ ล้มรัฐบาล

ที่สำคัญ การชุมนุมใหญ่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลของม็อบเสื้อแดงในครั้งนี้ สะท้อนชัดเจนว่าเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่รัก ทักษิณ

ซึ่งก็เป็นไปตามยุทธศาสตร์การต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการใช้พลังมวลชนเสื้อแดงต่อสู้กับฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐ

จากความเคลื่อนไหวที่ปรากฏ จึงได้เห็นภาพ พ.ต.ท.ทักษิณแสดงตัวแสดงตนเป็นหัวหน้าม็อบตัวจริง

ทั้งโฟนอิน ทั้งวีดิโอลิงค์ เข้ามาปราศรัยกับมวลชนในจังหวัดต่างๆวันละหลายรอบ ปลุกระดมคนเสื้อแดงด้วยตัวเอง

ถึงขั้นเรียกร้องให้ชาวเสื้อแดงลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพาตัวเองกลับบ้าน

เปิดหน้าเปิดตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ของกลุ่ม นปช. และเป็นนายใหญ่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย

การเคลื่อนไหวขยับตัวของม็อบเสื้อแดง และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จึงเป็นไปในแนวทางที่สอดรับกันโดยตลอด

กลุ่มเสื้อแดงกดดันนอกสภา ส.ส.พรรคเพื่อไทยเปิดเกมถล่มในสภา

แยกกันเดิน รวมกันตี

ม็อบใหญ่เสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบฯไล่รัฐบาล ส.ส.พรรคเพื่อ ไทยเป็นหัวหอกเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ

เป้าหมายเดียวกัน คือ

พา ทักษิณกลับบ้าน ล้มล้างคดีความให้นายใหญ่

โดยเฉพาะเมื่อโฟกัสไปที่เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นหัวหอกในการเสนอร่างเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ระบุชัดเจนว่า

ให้นิรโทษกรรมบรรดาการกระทำ ผู้ถูกกระทำทั้งหลายของบุคคลใดๆ ที่ได้กระทำระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2549 ถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2552 หรือการกระทำก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงผู้กระทำ ทั้งในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ

หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมาย ให้ผู้นั้นพ้นจากความผิด ทั้งในทางอาญา ทางแพ่ง และทางปกครอง หากการกระทำนั้นผิดกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง หากผู้นั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ให้คืนสิทธิเลือกตั้งให้บุคคลดังกล่าวด้วย

ตั้งเป้าปลดล็อกคดีความทั้งหมดของ ทักษิณ

คืนสิทธิทางการเมือง ปูทางให้กลับสู่อำนาจอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ที่ม็อบเสื้อแดงรวมพลเข้าปิดล้อมทำเนียบฯ ขับไล่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์

ก็ต้องเห็นใจมวลชนคนเสื้อแดง เพราะคนกลุ่มนี้ยังรักและศรัทธาในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเต็มที่

เนื่องจากที่ผ่านมา คนเหล่านี้มองเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากนโยบายประชานิยมในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ

เมื่อคนที่เขารักและศรัทธา ต้องเผชิญวิบากกรรม ซัดเซพเนจร หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ

จึงเกิดความสงสาร อยากช่วยเหลือทดแทนคุณ ด้วยความจริงใจ

และก็เป็นไปตามธรรมชาติของม็อบทุกม็อบ ที่ต้องมีมวลชนส่วนหนึ่งมาร่วมด้วยอุดมการณ์อย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องมีน้ำเลี้ยง ก็มาอยู่แล้ว เรียกว่ามากันด้วยใจ

แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้มาด้วยอุดมการณ์ ไม่ได้มาด้วยใจ แต่มาเพราะน้ำเลี้ยง ต้องมีค่าใช้จ่าย

คนส่วนนี้มักจะมาเข้าร่วมเป็นคราวๆไป ไม่ปักหลักยืดเยื้อ

สำหรับการระดมพลเสื้อแดงครั้งใหญ่มาปิดล้อมทำเนียบฯ ขับไล่รัฐบาลในครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องใช้สรรพกำลังทุกอย่างที่มี

ไล่ตั้งแต่ ใช้ตัวเองนำม็อบ ใช้ความศรัทธาของคนเสื้อแดง เป็นแรงกระตุ้นระดมมวลชน รวมทั้งต้องใช้น้ำเลี้ยงอัดฉีด

เพื่อเป้าหมายให้ประชาชนส่วนนี้ นำเขากลับประเทศได้อย่างปลอดภัย ไร้มลทิน

แต่ภายใต้การเคลื่อนไหวของม็อบเสื้อแดง ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ถือธงนำม็อบปิดล้อมทำเนียบฯ ขับไล่รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์

แน่นอน สังคมส่วนใหญ่ของประเทศ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เป็นไปตามธรรมชาติของสังคมในระบอบประชาธิปไตย

แต่สถานการณ์ความเคลื่อนไหวของม็อบขับไล่รัฐบาลในครั้งนี้จะจบลงแบบไหน อย่างไร ยังเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา

ถือเป็นหน้าที่ของสังคมที่จะต้องติดตามกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม ถ้านำทฤษฎีในการเคลื่อนไหวของม็อบทุกม็อบมาเปรียบเทียบ

หากการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงมีมวลชนเข้าร่วมลดน้อยลง การเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงจะเฉาไปเอง

ในทางตรงกันข้าม ถ้าการโฟนอิน และวีดิโอลิงค์ ปลุกระดม สามารถระดมพลคนเสื้อแดงมาเพิ่มมากขึ้น

แนวทางการต่อสู้ของม็อบเสื้อแดงก็จะต้องถูกยกระดับความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย และปัญหาคงไม่จบลงง่ายๆ

เพราะฝ่ายรักษาความมั่นคงของประเทศ คงยอมไม่ได้

ฉะนั้น อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ถือเป็นเรื่องที่ระทึกมาก

ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเลือกเดินทางไหน

เหนืออื่นใด สถานการณ์ของประเทศไทย ณ เวลานี้ ทุกคนก็เห็นๆกันอยู่ว่ากำลังตกอยู่ในหลุมดำของวิกฤติเศรษฐกิจโลก

การค้า การส่งออก การลงทุน สะดุดไปหมด

ส่งผลให้เกิดปัญหาการเลิกจ้าง ปัญหาว่างงานตามมา กระทบปัญหาปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เดือดร้อนกันถ้วนหน้า

พูดง่ายๆว่า สภาพการณ์ประเทศไทยยามนี้ เหมือนบ้านที่กำลังโดนไฟไหม้ แม้ทุกคนในบ้านช่วยกันสาดน้ำดับไฟ ก็ยังดับยาก

แต่ขณะเดียวกัน กลับมีคนในบ้านบางคนไม่ช่วยดับไฟ แถมยังเอาน้ำมันมาสาดโหมไฟซ้ำเข้าไปอีก

ฉะนั้น ควรต้องฉุกคิด ถ้าบ้านหลังนี้วอดวาย

คนไทย 60 กว่าล้านคนนั่นแหละ ที่จะเดือดร้อนสาหัส.

ทีมการเมือง