วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552

อย่าให้ถึงขั้นสงครามกลางเมือง

ที่มา ไทยรัฐ

การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อค่ำวันศุกร์ ถือเป็นการโฟนอินที่มีเนื้อหารุนแรงที่สุดเท่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูดมา มีการเอ่ยชื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี อย่างเปิดเผยว่า เป็นผู้เกี่ยวข้องกับการวางแผนปฏิวัติ 19 กันยา 49 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ

ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

บทสรุปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการโฟนอินเมื่อค่ำวันศุกร์ก็คือ เรียกร้องให้ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แก้รัฐธรรมนูญ 2550 ด้วยการเอารัฐธรรมนูญฉบับเดิม 2540 เป็นตัวตั้ง แล้วปรับแก้เท่าที่จำเป็น

พ.ต.ท.ทักษิณ ดูจะเชื่อมั่นในฐานเสียงกลุ่มเสื้อแดงของตนเอง มีเลือกตั้งใหม่เมื่อไร พรรคเพื่อไทยจะสามารถกวาดเก้าอี้ ส.ส.กลับเข้ามาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง

เมื่อดู ฐานเงิน แล้ว ผมเชื่อว่าฐานเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเหนือล้ำ กว่าฐานเงินของ กลุ่มเนวิน-เทพเทือก และ พรรคประชาธิปัตย์ มากมายนัก แม้ในยามนี้กลุ่มหลังจะขยันขันแข็งสร้างฐานเงินอย่างเร่งรีบก็ตาม

ประเด็นที่ ผมเป็นห่วง มากกว่าการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คือ ความแตกแยกในสังคมไทยที่ขยายวงกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่าง คนเสื้อเหลือง กับ คนเสื้อแดง จากการ ตอกย้ำ 24 ชั่วโมง ของ สื่อทีวีสองค่าย คือ เอเอสทีวี และ ดีทีวี ที่มีการถ่ายทอดผ่าน เคเบิลทีวีท้องถิ่น ไปสู่อาคารบ้านเรือนของประชาชนที่ให้การสนับสนุนสองฝ่ายทั่วประเทศในเวลานี้

คนในหมู่บ้านเดียวกัน เพื่อนบ้านกัน เริ่มมองหน้ากันไม่ค่อยติด เริ่มมีการท้าทายกันเองในหมู่บ้าน เมื่อฝ่ายหนึ่งชื่นชมเสื้อเหลือง ดูแต่รายการเอเอสทีวี อีกฝ่ายนิยมเสื้อแดง ดูแต่รายการดีทีวี ที่มีเนื้อหาตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

เท่าที่รับฟังมาหลายกรณี นี่เป็นเพียง จุดเริ่มต้นของความแตกแยกในสังคมที่เกิดขึ้น โดยเริ่มต้นจาก คนกลุ่มเล็กๆในหมู่บ้าน และ เพื่อนบ้านละแวกเดียวกัน ยังเป็นแค่แสดงการให้เห็นว่า ตัวเองอยู่ฝ่ายไหนอย่างเปิดเผย และไม่พอใจอีกฝ่ายที่ไปแสดงความชื่นชมอีกฝ่าย ยังไม่ถึงขั้นด่ากันทำร้ายกัน

แต่ถ้าปล่อยให้สังคมแตกแยกขยายวงไปเรื่อยๆอย่างนี้ ปล่อยให้มีการปลุก ระดมไปเรื่อยๆอย่างนี้ โดยรัฐบาลทำเฉยไม่ยื่นมือเข้าไปแก้ไขปัญหาแต่เนิ่นๆ

ในที่สุด ผมเป็นห่วงว่า คนไทยจะแตกแยกกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นทำร้ายกันเอง เพราะความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน ระหว่าง เสื้อเหลือง กับ เสื้อแดง เหมือนความแตกแยกในประเทศอื่นที่เราเคยเห็นตัวอย่างมาแล้ว

แม้แต่การขึ้นรถแท็กซี่ในเวลานี้ ผมก็ฟังเพื่อนเล่าบ่อยๆว่า คนขับแท็กซี่มีการถามผู้โดยสารว่า คุณเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง เล่นเอาใจหายใจคว่ำ ไม่รู้จะตอบว่าฝ่ายไหนดี เพราะไม่รู้ว่าคนขับแท็กซี่อยู่ฝ่ายไหน

เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ จะต้องลงไปดูและแก้ไขด้วยตัวเอง เพราะเป็นเรื่องที่ มีผลกระทบต่อความสงบสุขในสังคมโดยรวม และ ความมั่นคงของประเทศ ด้วย จะให้ประชาชนใช้วิจารณญาณเองคงลำบาก ประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดข้อมูล มีอารมณ์รัก ชอบ โกรธ หลง ยิ่งตอกย้ำด้วยสื่อ ซึ่งเป็นวิธีที่พรรคคอมมิวนิสต์ใช้ ล้างสมองประชาชนในอดีตโอกาสที่จะเกิดความแตกแยกจากการปลุกระดมของสองฝ่ายก็ยิ่งสูง

เศรษฐกิจไทยวันนี้วิกฤติถึงขั้นต้องแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจกันแล้ว ถ้ารัฐบาลปล่อยให้ สังคมวิกฤติ ขึ้นมาอีกวิกฤติ ประชาชนแบ่งเป็น 2 ฝ่ายไร้สมานฉันท์ ประเทศไทยจะวิกฤติขนาดไหน ผมอยากให้คนไทยทุกคนไปลองนึกดูเอาเอง

ผมเองได้แต่สวดมนต์ภาวนา อย่าให้คนไทยทำร้ายกันเองก็แล้วกัน.

ลม เปลี่ยนทิศ