วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

‘สื่อกระแสหลัก’ กับ ‘นักวิชาการดารา’

ที่มา ประชาไท

นักปรัชญาชายขอบ

เมื่อพูดถึงฟรีทีวีซึ่งเป็นสื่อกระแสหลักของสังคมไทย ถามว่า สังคมมีทางเลือกดูรายการบันเทิงที่ประเทืองปัญญามากไปกว่าการดูรายการบันเทิงประเภทเกมส์โชว์ปัญญาอ่อนกับละครน้ำเน่าไหม? ตอบว่า ไม่มี เพราะทีวีทุกช่องมีรายการบันเทิงประเภทเดียวกัน ถามอีกว่า รายการสาระประเภทเล่าข่าว วิเคราะห์ข่าว วิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง สังคมมีทางเลือกมากกว่าเมื่อสิบปีที่แล้วไหม? ตอบว่า ดูเหมือนจะมี เพราะมีรายการประเภทนี้มากขึ้น

ปัญหา คือ แม้จะมีรายการประเภทนี้มากขึ้น แต่ยังขาดความหลากหลายในทางเนื้อหาและมุมมอง เพราะ.-

1.รายการประเภทเล่าข่าว วิเคราะห์ข่าว พิธีกรดำเนินรายการยังเป็นคนเดิมๆ หรือทีมเดิมๆ ที่จัดรายการอยู่ช่องเดิมหลายช่วงเวลา หรือกระจายทีมไปยึดทีวีช่องต่างๆ จัดรายการแบบเดิมๆ หรือ

คล้ายเดิม ทำให้เนื้อหาที่นำเสนอซ้ำๆ กัน

2.ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่แหลมคม สื่อเลือกข้าง เข้ามายึดทีวีของ รัฐ (ซึ่ง

ไม่ใช่ของ รัฐบาล) อย่างไม่อายฟ้าดินมากขึ้น นับแต่ยุค NBT จนมาถึงยุคสถานีโทรทัศน์แห่งชาติในขณะนี้

3.ทีวีสาธารณะอย่าง ทีวีไทย ถูกตั้งคำถามมากขึ้นเกี่ยวกับ สปิริต ความเป็นทีวีสาธารณะที่ต้อง

ดำรงความเป็นกลาง หรือต้องเสนอข้อเท็จจริงอย่างเจาะลึกรอบด้านและสมดุลในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และโดยเฉพาะการเป็นสื่อที่เป็นกระบอกเสียงของคนชั้นล่างมากขึ้นในภาวะที่สื่อซึ่งเป็นกระบอกเสียงของคนชั้นกลางและคนชั้นสูงมีมากจนล้นเกิน

4.วิทยากรรับเชิญในรายการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองเป็นวิทยากรหน้าเดิมๆ ประมาณว่าเป็น

นักวิชาการดารา ที่เดินสายไปออกทุกช่อง ทุกรายการ ทุกครั้งที่เกิดความตึงเครียดทางการเมืองก็จะเห็น นักวิชาการดารา เหล่านี้จ้อผ่านจอ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นมุมมองแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่

ปฏิเสธไม่ได้ว่า รายการเล่าข่าว วิเคราะห์ข่าว เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสร้าง เรทติ้ง เข้มข้นมากขึ้น ในแง่ดีก็คือเป็นการช่วยกันทำให้ชาวบ้านร้านตลาดสนใจข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น แต่ความที่เป็นธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงผลกำไร และต้องเกรงใจอำนาจรัฐ ทำให้รายการพวกนี้มีข้อจำกัดในการเสนอข้อเท็จจริงเชิงลึกหรือมุมมองที่ตรงกันข้ามจากรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ และเพื่อความอยู่รอดสื่อเหล่านี้จำต้องทำงานอย่าง รู้ทิศทางลม คือคล้อยตามผู้มีอำนาจรัฐทุกยุคสมัย ครั้งหนึ่งตนเคยโจมตีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล แต่พอฝ่ายที่ตนเคยโจมตีนั้นได้มาเป็นรัฐบาลก็หันมาสอพลอซะดื้อๆ ทำตัวเป็น สื่อที่เลียได้ทุกเกือก!” (สำนวนของนิธิ เอียวศรีวงศ์) อย่างไม่อายชาวบ้าน

ส่วนในประเด็นที่ สื่อเลือกข้าง มายึดทีวีของรัฐ ผู้เขียนอยากตั้งข้อสังเกตว่า ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งในมิติหนึ่งนั้นเป็น สงครามการผลิตสร้างความจริง การที่รัฐบาลสมยอมให้ สื่อเลือกข้าง ยึดทีวีของรัฐ และเลือกผลิตสร้างเฉพาะความจริงประเภท เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น เป็นด้านหลัก โดยละเลย จรรยาบรรณ ของ สื่อแท้ ที่มีหน้าที่เสนอความจริงรอบด้าน และความคิดเห็นที่แตกต่างนั้น เราจะพบ ศพความจริง ที่ ถูกฆ่าตัดตอน เรียงรายทับถมกับศพของความสำนึกผิดและความรับผิดชอบเกลื่อนกลาดเต็มสมรภูมิ แล้วอีกกี่ชาติความปรองดองจึงจะเกิดขึ้นภายใต้แนวทางของรัฐบาลที่ให้อำนาจในการผลิตสร้างความจริงแบบเอียงกระเท่เร่!

สุดท้าย ประเพณีที่พิธีกรหน้าเดิมๆ เชิญ นักวิชาการดารา หน้าเดิมๆ มาออกรายการเสนอการวิเคราะห์ด้วยมุมมองแบบเดิมๆ ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต ผู้เขียนอยากบอกตรงๆ ว่า เป็นการ ร่วมกันทำมาหากิน ของ สื่อขี้เกียจ กับ นักวิชาการดาราบ้าจ้อ ที่ส่งผลให้สังคมเสียโอกาสได้พิจารณามุมมองและความคิดที่หลากหลาย (ราวกับประเทศนี้มีคนมีสมองแค่นักวิชาการดาราหน้าเดิมๆ พวกนี้!)

ทำไมสื่อไม่ยอมให้เวลามากพอสำหรับการสะท้อนความรู้สึก ความคิดเห็น ปัญหาความไม่เป็นธรรมต่างๆ จากชาวบ้านที่เขามาชุมนุมโดยตรงบ้าง?

สิ่งที่สื่อกระแสหลักทำเหมือนๆ กันคือ ทำให้ชาวบ้านหรือมวลชนที่มาชุมเป็นเพียง วัตถุสำหรับศึกษา โดยมี นักวิชาการดารา ประเภทนั่งอยู่บนหอคอยงาช้างมาเป็นผู้บรรยาย ภาพความจริง ของชาวบ้านรากหญ้าหรือมวลชนที่มาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งสังคมก็จะได้รับรู้แต่ ความจริงเทียมๆ

เมื่อความจริงจากประชาชนผู้ประสบปัญหาจริงๆ ไม่ได้ถูกนำเสนออย่าง พอเพียง (ขออนุญาตใช้วลีอมตะนี้หน่อย) ความเข้าใจของสาธารณะและเจตจำนงร่วมในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมให้เกิดความเป็นธรรมกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นไปไม่ได้

ในสงครามการผลิตสร้างความจริงที่จะยังคงยืดเยื้อยาวนาน จึงอยากขอเรียกร้องสื่อกระแสหลัก สื่อเลือกข้าง และนักวิชาการดารา ได้โปรดหยุด ฆ่าตัดตอน ความจริง หยุดปิดกั้นโอกาสที่สังคมควรได้รับรู้ความจริงเชิงลึกและรอบด้าน และให้โอกาสกับตนเองได้มีส่วนร่วมในการแสดงความ สำนึกผิด และ รับผิดชอบ ในความแตกแยกอันเนื่องมาจากการบิดเบือนความจริงและความถูกต้องเป็นธรรมตลอดระยะเวลากว่าสามปีที่ผ่านมา!