วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2552

ที่มา ประชาไท

การเมือง

นายกรัฐมนตรีมั่นใจการใช้อำนาจออกพ.ร.ก.กู้เงินเป็นไปตามเงื่อนไขฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน

นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลเตรียมทำคำชี้แจงการออกพ.ร.ก.กู้เงินต่อศาลรัฐธรรมนูญ เชื่อไม่มีปัญหา ขณะนี้เตรียมข้อมูลและทุกอย่างพร้อม

วานนี้ (19 พ.ค.) เวลา 18.50 น. ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. .... (วงเงิน 4 แสนล้านบาท) ว่า ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะก่อนตัดสินใจออก พ.ร.ก. ฉบับนี้ ได้ดูแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และขอให้มั่นใจว่าการใช้อำนาจในการกู้เงินครั้งนี้เป็นไปตามเงื่อนไขของความฉุกเฉินและความจำเป็นเร่งด่วน จึงไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาอะไร และที่ประชุม คณะรัฐมนตรีวันนี้ได้มอบหมายให้ทำคำชี้แจงส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนนี้เราได้เตรียมข้อมูลและทุกอย่างให้พร้อม ทั้งเรื่องการออกพันธบัตร การใช้จ่ายตามโครงการต่างๆ ถ้าศาลวินิจฉัยไปในทางที่เราคาดไว้ จะสามารถเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ได้และผ่านออกมาได้ ซึ่งคงใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 1 เดือน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของการประกาศให้ชะลอการลงทุนที่มาบตาพุด จะส่งผลกระทบอะไร หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งต้องมีการดูแลเรื่องการวางผัง และกำหนดมาตรการต่างๆ ไม่ใช่ให้มีการชะลอการลงทุน แต่การลงทุนจะต้องมีความมั่นใจในเรื่องมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ลงทุนที่ดีจะสามารถเดินหน้าได้ รวมทั้งมาตรฐานที่ดำเนินการมาก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่คิดว่าจะเป็นอุปสรรคปัญหาอะไร การประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษไม่ได้แปลว่าจะเป็นเขตที่ไม่มีการลงทุน

ที่มา: http://www.thaigov.go.th

มาร์คปัดไม่เคยพูด 6 เดือนปรับ ครม. ยันไม่มีปรับตอนนี้ เผยหารือ ชาติชายแล้ว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงการพูดคุยระหว่างนายชาติชาย พุคยาภรณ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่า ตนสอบถามว่า มีปัญหาอะไร โดยสรุปเป็นเรื่องการประสานงานกับพรรค ตนบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไปหาคำตอบว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร ขณะเดียวกันก็หารือกับนายชวรัตน์ ชาญวีระกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ฐานะหัวหน้าพรรค คิดว่าดีที่สุดไปพูดคุยกัน ว่าปัญหาการทำงานอยู่ที่ไหนอย่างไร ถ้ามีอุปสรรคที่แก้ได้แก้ ถ้าไม่ได้ค่อยมาว่ากันอีกที

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้ยังจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวบุคคลหรือไม่หลังจากได้หารือกับนายกฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ก้าวล่วงไปตรงนั้น ถือเพียงว่า รัฐมนตรีทำงานเท่าที่ติดตามดูก็เรียบร้อยดี แต่ขณะเดียวกันได้ยินทางพรรคเขาต่อว่า ขาดการประสานงานจึงบอกว่าให้ไปคุยกัน คิดว่าทุกคนมีมารยาททางการเมืองกันอยู่แล้ว คงจะสามารถหาคำตอบได้

เมื่อถามว่า นายชาติชาย อ้างว่า พ้นจากตำแหน่งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ เป็นเรื่องรัฐมนตรีกับพรรคคต้องพูดคุยกันก่อน เมื่อถามอีกว่าแรงกระเพื่อมในพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้าอยู่ที่พรรคไม่มีปัญหาอะไร เป็นธรรมดาพรรคก็มีหน้าที่ ส.ส.มีหน้าที่ตรวจสอบติดตามการทำงาน ตนฟังเสียงสะท้อน ซึ่งทางส.ส. บอกว่ารัฐมนตรีท่านนั้นทำงานดี ท่านนี้อยากให้ปรับปรุง รัฐมนตรีมีหน้าที่รับฟังและมาปรับ ส่วนตัวรับฟังดี แต่บังเอิญวันนี้(19 พ.ค.) ไม่ค่อยพูดถึงตนสักเท่าไหร่ พูดถึงรัฐมนตรีท่านอื่น เพราะส่วนใหญ่เป็นปัญหาเรื่องการประสานงานเหมือนกัน

เมื่อถามว่า จะนำไปพิจารณาในการปรับครม.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งที่จะใช้ในการประกอบการตัดสินใจ ขณะนี้เพิ่งทำงานกันมาเพิ่งเข้าสู่เดือนที่ 5 ยังไม่ได้กำหนดตารางว่าจะปรับครม.กันวันนี้พรุ่งนี้ แต่ทุกอย่างต้องประเมินในภาพรวมตลอดเวลา

เมื่อถามว่า การประเมินของนายกฯจะใช้อะไรชี้วัด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกอย่างที่ออกมาการสังเกตของตนเอง การประชุมครม. การประชุมสภา ในพรรคก็เป็นการประชุมในพรรครวมไปถึงเสียงสะท้อนของฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง ส่วนคนในพรรคที่มีข่าวว่ามาเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนนั้น แต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน บางคนก็บอกว่าช่วยปรับปรุง บางคนใจร้อนไม่เป็นอย่างที่เขาต้องการเป็นธรรมดา ตนเองอยู่ในการเมืองมาก็มีเสียงแบบนี้ตลอดเวลา แต่ไม่รุนแรงเพราะพรรคมีระบบพอสมควร โดยหลักต้องเปิดโอกาสให้คนที่เข้ามาทำงานๆ อย่างเต็มที่

แน่นอนว่า ถ้าการทำงานไปนโยบายของพรรค ซึ่งส.ส.จะต้องไปสื่อสารกับประชาชนมันทำไม่ได้นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ขอยกตัวอย่าง รมว.ศึกษา ก็ทำนโยบายในส่วนของเขาดี ปัญหาไม่ง่ายแต่ก็ทำได้ อย่างรมว.พัฒนาสังคมปัจจุบันก็ทำงานได้ดี กระทรวงสาธารณสุขก็มีความคล่องตัวพอสมควร นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรมที่มีข่าวอยู่ผมก็เห็นว่าทำได้ดีนายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า มองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวบุคคล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังเป็นไปได้อยู่ ตนคิดว่าการปรับการทำงานยังทำได้อยู่ เพราะทุกคนต้องมีการตอบสนองต่อเสียงสะท้อนต่างๆ แต่ถ้าปรับไม่ได้แล้วยังเป็นปัญหาก็ต้องมาพิจารณา วันนี้เรียบร้อยดี มีคำถามในงานบางเรื่อง ส่วนจะต้องไปเคลียร์กันที่ต่างจังหวัดหรือไม่นั้น ก็จะลงเรือด้วยกันอยู่แล้ว เมื่อถามว่า มีรอยร้าวในพรรคหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวยืนยันว่า ไม่มีครับ เมื่อถามอีกว่า ช่วงที่มีการจัดตั้งรัฐบาลมีการพูดคุยหรือไม่ว่าจะมีการปรับครม.ภายใน 6 เดือน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่เคยพูดถึง 6 เดือน

ที่มา: http://www.naewna.com

สอบปลากระป๋องเน่าอืด

กรุงเทพฯ : นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบข้อเท็จจริงกรณีปลากระป๋องไม่มีคุณภาพในถุงยังชีพของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯว่า ยังไม่ได้รับรายงานผลการสอบจากคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯที่มีนางกานดา วัชราภัย รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นประธาน ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนหลายฝ่ายจึงต้องใช้เวลาและความรอบคอบในการตรวจสอบ คาดว่าภายในเดือนนี้ (พ.ค.) ความจริงต้องปรากฏและจะแถลงต่อประชาชนอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ช่วงระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมหารือเพื่อเตรียมการจัดงาน The World Expo ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 14-16 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีนายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และนางกานดาร่วมคณะไปด้วยนั้น ยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ว่าไม่ได้มีการตกลงลับหลังหรือบิดเบือนข้อสรุปผลสอบปลากระป๋องแน่นอน เพราะข้อสรุปที่ออกมาต้องมีหลักฐานยืนยันชัดเจนและพร้อมให้ตรวจสอบ นอกจากนี้ได้เร่งรัดผ่านนางกานดาแล้วให้เร่งดำเนินการสรุปผลและแถลงต่อประชาชนให้ได้ภายในเดือนนี้ หลังจากเลื่อนออกไปหลายครั้ง

ที่มา: ลกวันนี้

บริจาคภาษีเข้าปชป.มากสุด

กกต. : นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า ตามที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พรรคการเมืองกำหนดให้ประชาชนสามารถบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมืองต่างๆได้นั้น จากการตรวจสอบพบว่าช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปรากฏว่ามีผู้ยื่นแบบทั้งสิ้น 9,338,260 ราย และจากการรายงานการประมวลผลเบื้องต้นตรวจสอบแล้ว 7,618,313 ราย คิดเป็นร้อยละ 81.58 ซึ่งมีผู้แสดงเจตนาบริจาคให้พรรคการเมืองที่ดำเนินการอยู่ 61 พรรคทั้งสิ้น 66,364 ราย และไม่ได้ระบุรหัสพรรคการเมืองหรือรหัสไม่ถูกต้อง 33 ราย

นายสุทธิพลกล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้ประสงค์บริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์มากที่สุดจำนวน 57,124 ราย ตามมาห่างๆคือพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีผู้ประสงค์บริจาค 7,260 ราย พรรคชาติไทยพัฒนามีผู้ประสงค์บริจาคเพียง 266 ราย พรรคภูมิใจไทย 100 ราย พรรคเพื่อแผ่นดิน 48 ราย และพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 39 ราย

ตามกฎหมายกำหนดให้แต่ละคนสามารถบริจาคให้พรรคการเมืองได้รายละ 100 บาท ซึ่งหลังจากที่ตรวจสอบผู้ยื่นภาษีทั้งหมดแล้ว กรมสรรพากรจะจัดส่งยอดเงินบริจาคให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเท่ากับจำนวนพรรคการเมืองที่ยังคงดำเนินกิจการในขณะนั้น และรัฐจะสนับสนุนเงินให้อีกร้อยละ 5 ของจำนวนเงินบริจาคที่ได้นายสุทธิพลกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า หากคิดด้วยฐานปัจจุบันบวกกับเงินร้อยละ 5 ที่รัฐบาลจะสมทบ พรรคประชาธิปัตย์จะได้รับเงินทั้งสิ้น 5,998,020 บาท ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ 762,300 บาท พรรคชาติไทยพัฒนา 27,930 บาท พรรคภูมิใจไทย 10,500 บาท พรรคเพื่อแผ่นดิน 5,040 บาท พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 4,095 บาท

ที่มา: โลกวันนี้

เศรษฐกิจ

ครม.ผ่านแผนเอ็นจีวี4พันคัน นายกฯสั่งรื้อ"ค่าซ่อม-ดบ."

ครม.เห็นชอบหลักการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน วงเงิน 6.9 หมื่นล้านบาท "นายกฯ" สั่ง คมนาคม-คลัง-สำนักงบฯ ทบทวนค่าซ่อมรถ-ดอกเบี้ย หลังข้อเสนอคณะกรรมการทีโออาร์ พบค่าซ่อมสูงเกินเหตุ จากเดิม 4.50 บาท เป็น 7.50 บาท ดันค่าเช่าเพิ่ม 1.3 หมื่นล้าน "โสภณ" การันตีค่าซ่อมวันละ 2,250 บาทต่อคัน ต่ำกว่าที่ ขสมก.จ่ายพร้อมเสนอคืน ครม.ภายในสองสัปดาห์ "อรรคพล" ข้องใจหลายรายการวงเงินเพิ่ม

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (19 พ.ค.) กระทรวงคมนาคม ได้เสนอโครงการเช่าและซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นเชื้อเพลิง หรือโครงการเช่ารถโดยสารเอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงิน 69,000 ล้านบาท ของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ให้ ครม.พิจารณา แต่ที่ประชุมเห็นว่า ค่าซ่อมรถและอัตราดอกเบี้ย ที่ ขสมก.เสนอเข้ามาไม่ตรงกับตัวเลขของคณะกรรมการพิเศษระดับรัฐมนตรี ที่มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จึงให้กระทรวงคมนาคมกลับไปทบทวนตัวเลขใหม่ และให้หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ให้ชัดเจนในตัวเลขต่างๆ แล้วค่อยเสนอ ครม.พิจารณาอีกครั้ง ภายในสองสัปดาห์

ส่วนที่มองว่าเรื่องที่เข้าสู่ ครม.มักมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่อนุมัติในหลายโครงการ นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า เป็นหน้าที่ของครม.ในการพิจารณาทุกเรื่องที่เข้ามา เพื่อให้เกิดความรอบคอบรัดกุม ซึ่งก็เป็นธรรมดา มิฉะนั้นคงไม่ต้องมี ครม.

นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เข้าใจดี พร้อมกับบอกว่าเรื่องนี้มีเรื่องที่ส่งไปยัง พล.ต.สนั่น มีการปรับลดตัวเลข ซึ่ง ขสมก.ก็ติดใจมาตั้งแต่ต้นว่าปรับได้ตามนั้นจริงหรือไม่ แต่เมื่อเสนอมา ครม.เห็นว่าเมื่อยังไม่สามารถทำได้ ไม่ชัดเจนก็ต้องกลับไปดูร่วมกัน กระทรวงคมนาคมไม่ได้ติดใจอะไรนายกฯ ระบุ

นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า การเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน เป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับการบริหารจัดการและบริการของระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพของ ขสมก. มีทั้งแผนการปรับโครงสร้างองค์กร ที่จะปรับกรอบอัตรากำลังพนักงานของ ขสมก. จำนวน 17,292 อัตรา เหลือ 9,974 อัตรา แผนการปรับปรุงการบริหารจัดการด้านการเงิน และแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ด้วยการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน เป็นเวลา 10 ปี วงเงินลงทุน 69,788 ล้านบาท

สั่งปรับค่าดอกเบี้ย-ค่าซ่อมใหม่

ที่ประชุมครม.พิจารณาแล้วเห็นว่า รายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการจัดทำร่างเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) เสนอกับวงเงินกับตัวเลขที่เสนอโดยสถาบันพระปกเกล้าแตกต่างกัน โดยเฉพาะค่าซ่อม ที่คณะกรรมการทีโออาร์ เสนอราคา 7.50 บาทต่อกิโลเมตร แต่สถาบันพระปกเกล้าเสนอ 4.50 บาทต่อกิโลเมตร ส่วนดอกเบี้ยคณะกรรมการทีโออาร์เสนอ 10.25% แต่สถาบันพระปกเกล้าเสนอ 9.875% จึงมีการสอบถามประเด็นเหล่านี้กันมากในที่ประชุม

ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าตัวเลขค่าซ่อม 7.50 บาทต่อกิโลเมตร ขณะที่คณะกรรมการทีโออาร์เสนอตัวเลขที่ทำได้ และเป็นตัวเลขจริงที่ ขสมก.ใช้ แต่ตัวเลขที่สถาบันพระปกเกล้าที่อัตรา 4.50 บาทต่อกิโลเมตร เป็นตัวเลขที่ไม่เคยทำได้จริง

นายกฯข้องใจค่าซ่อมรถสูงเกินเหตุ

แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม. กล่าวว่า ครม.ใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้ประมาณ 30 นาที ช่วงแรกของการพิจารณานายอภิสิทธิ์ ขอให้นายโสภณ อธิบายให้ ครม.ทราบว่ากรอบวงเงินโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มูลค่า 69,788 ล้านบาท ประกอบด้วยอะไรบ้าง จากนั้นนายโสภณ ได้ชี้แจงว่าค่าเช่ารถเมล์ 4,000 คัน เป็นเวลา 10 ปี ตามที่คณะกรรมการทีโออาร์กำหนดจะค่าใช้จ่ายต่างๆ 6 รายการ

ประกอบด้วย 1.ค่าตัวรถ จำนวน 32,047 ล้านบาท 2.ค่าซ่อมรถ จำนวน 32,850 ล้านบาท 3.ค่าระบบอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 2,292 ล้านบาท 4.ค่าประกันภัย จำนวน 453 ล้านบาท 5.ค่าภาษี จำนวน 117 ล้านบาท และ 6. ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ จำนวน 2,029 ล้านบาท

หลังจากที่ นายโสภณ ชี้แจงถึงค่าซ่อมรถ แต่นายกฯถามนายโสภณว่า เหตุใดค่าซ่อมรถที่ขสมก.เสนอจำนวน 32,850 ล้านบาท หรือวันละ 2,250 บาท สูงกว่าค่าซ่อมที่คณะกรรมการชุดพล.ต.สนั่น เสนอ 19,841 ล้านบาท หรือวันละ 1,359 ล้านบาท ถึง 13,009 ล้านบาท ทั้งๆ เป็นการเช่ารถจากเอกชน ขสมก.ไม่ได้เป็นเจ้าของรถ เอกชนผู้เป็นเจ้าของรถควรจะเป็นคนออกค่าซ่อมเอง ไม่น่าจะเป็น ขสมก.จึงอยากให้กระทรวงคมนาคมกลับไปทบทวน

ขณะที่ พล.ต.สนั่น ชี้แจงว่าการพิจารณาของคณะกรรมการ ที่ตนเป็นประธานได้กำหนดวงเงินค่าเช่ารถเมล์ 4,000 คัน ไว้จำนวน 66,021 ล้านบาท แต่ กระทรวงคมนาคมเสนอสูงกว่ากรอบเดิมกว่า 3 หมื่นล้านบาท ยังมีตัวเลขในรายละเอียดที่ไม่ตรงกัน ทั้งเรื่องดอกเบี้ยและค่าซ่อมรถ หากตัวเลขที่คณะกรรมการชุดตนเสนอผิด ก็คุยได้ว่าความจริงเป็นอย่างไร นายกฯจึงขอให้กระทรวงคมนาคม ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ให้จบก่อนว่าตัวเลขที่เหมาะสมควรจะเป็นอย่างไร

"โสภณ"โต้นายกฯเรื่องสำคัญผ่านไปไม่ได้

นอกจากนี้ นายกฯยังสอบถามนายโสภณ ว่าเมื่อตัวเลขต่างๆ ยังไม่ลงตัว กระทรวงคมนาคมจะพิจารณาเรื่องอื่นๆ ไปก่อนหรือไม่ นายโสภณ ยืนยันว่าต้องการให้เรื่องนี้จบก่อนแล้วค่อยพิจารณาเรื่องอื่นๆ เพราะเป็นจุดสำคัญของเรื่องทั้งหมด

นายอรรคพล สรสุชาติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์) ระบุว่า จะทำหนังสือถึงนายกฯ เพื่อชี้แจงตัวเลขที่แตกต่างกันเพื่อให้นายกฯ เก็บไว้ใช้เป็นดุลพินิจ และเปรียบเทียบกับผลการพิจารณาของคณะกรรมการที่ ครม.ตั้งขึ้น โดยตัวเลขที่แตกต่างกันรวมถึงการหักค่าระบบอิเล็กทรอนิกส์เฉพาะของรถร่วม 11,684 คัน คณะทำงานของ พล.ต.สนั่น ได้ท้วงติงไม่ให้นำวงเงินมาร่วมกับโครงการนี้ 5,941.67 ล้านบาท ขสมก.จึงยอมลดวงเงินนี้ลง แต่กลับปรับลดลงเพียง 4,277.80 ล้านบาท รวมทั้งการปรับลดค่าจัดหาอู่ 5,920 ล้านบาท แต่ ขสมก.เสนอปรับลดลงเพียง 4,161 ล้านบาท

"อรรคพล"ชี้ตัวเลขโผล่ผิดปกติหลายรายการ

ส่วนกรณีค่าซ่อมรถที่คิดกิโลเมตรละ 4.50 บาท เป็นเงิน 19,841 ล้านบาท "เดิมผมไม่เคยไปแตะ และก็ค่อนข้างสับสนการที่เสนอของ ขสมก.ครั้งนี้เพิ่มเป็นกิโลเมตรละ 7.50 บาท เป็นเงินถึง 32,850 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยก็น่าสงสัยเพราะการพิจารณาช่วงเดือนก.ย. 2551 เมื่อเทียบกับภาวะปัจจุบันสถานการณ์ดอกเบี้ยขาลง ข้อเสนอเพิ่มดอกเบี้ยไม่น่าเป็นไปได้ ทำให้มูลค่าโครงการรวมเพิ่มขึ้นจาก 66,021 ล้านบาท เป็น 69,788 ล้านบาท"

สำหรับเรื่องที่ ขสมก.ใส่ตัวเลขค่าระบบอิเล็กทรอนิกส์เฉพาะของรถร่วม 11,684 คัน วงเงิน 5,941.67 ล้านบาทนั้น ตนไม่เข้าใจว่าเอามาใส่ร่วมกับโครงการนี้ได้อย่างไร เป็นเอกสารที่ตนไปค้นหามาได้ด้วยตัวเอง ขสมก.ก็ยอมรับในภายหลังว่าเป็นเอกสารของ ขสมก.จริง จึงตกลงให้ตัดวงเงินนี้ออกไป

สำหรับข้อมูลที่ได้มีการนำมาแถลงโดยอ้างว่าเป็นผลการศึกษาของสถาบันพระปกเกล้านั้น ตนไม่ทราบว่าสถาบันพระปกเกล้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้อย่างไร เพราะตัวเลขค่าเช่าที่คณะกรรมการชุดพล.ต.สนั่น เสนอ 6.6 หมื่นล้านบาท เป็นตัวเลขที่คณะทำงานใช้ข้อมูลจากฐานการคำนวณของขสมก. โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมพิจารณา หากต้องการทราบวงเงินที่แท้จริงเรื่องนี้สอบถามเลขาธิการ สศช.ได้

นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดทำร่างเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ยืนยันว่า การคำนวณตัวเลขต่างๆ ที่เสนอให้ ครม.พิจารณาเป็นการคำนวณจากตัวเลขจริง ไม่ได้เป็นการวิจัย ทำให้ประมาณการต่างๆ มีความใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

"โสภณ"ยันโปร่งใส-ค่าซ่อมถูก

นายโสภณ กล่าวว่า ครม.เห็นชอบในหลักการโครงการเช่าเอ็นจีวี 4,000 คัน แต่ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับอัตราค่าเช่าและอัตราค่าซ่อมรถ ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณารายละเอียดในประเด็นดังกล่าว คาดว่าคณะกรรมการชุดนี้จะประชุมวันที่ 21 พ.ค.นี้ จากนั้นจะสรุปรายละเอียดทั้งหมดเสนอให้ครม.พิจารณาอีกครั้งในสัปดาห์หน้า

"ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมบำรุง อัตราค่าเช่ารถ ต้องการให้เกิดความโปร่งใส ใน ครม.แต่ละท่านไม่ได้มีความรู้เรื่องดังกล่าว เป็นการเฉพาะ จึงได้สอบถามกันค่อนข้างมาก ผมได้พยายามชี้แจง แต่อาจไม่ครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมด เห็นว่าการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบจะเป็นผลดี ทำให้โครงการโปร่งใสยิ่งขึ้น ไม่มีปัญหาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง" นายโสภณ กล่าว

ส่วนค่าซ่อมบำรุงที่เสนอ ครม. 7.50 บาทต่อกิโลเมตร คิดเป็นวันละ 2,250 บาทต่อคัน ยืนยันเป็นการคำนวณที่รัฐได้ประโยชน์ ต่ำกว่าอัตราค่าซ่อมบำรุงในปัจจุบันที่ ขสมก.จ่ายเฉลี่ย 7-9 บาทต่อกิโลเมตร ส่วนค่าเช่ารถ 2,195 บาทต่อวัน ทำให้ค่าเช่าและค่าซ่อมบำรุง โดยรวมอยู่ที่ 4,445 บาทต่อวัน

"ราคาที่เรากำหนดไว้เป็นเพียงกรอบที่ใช้ แต่การประกวดราคา เอกชนอาจเสนอราคาต่ำกว่าที่กำหนดก็เป็นได้ เพราะทุกรายต้องแข่งขันกันเสนอราคาที่ต่ำสุด เพื่อจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะ" นายโสภณ กล่าว

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

"มาร์ค" มึนตึ้บแก้เกษตร งบช่วยขนส่งลิ้นจี่หายจ้อย!กุ้งมาจ่อคิว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้ขอความร่วมมือให้ ครม.ช่วยกันดูแลเรื่องราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะลิ้นจี่ ที่คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้อนุมัติเงินจำนวน 37 ล้านบาท ช่วยเหลือเรื่องค่าขนส่ง และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปดูว่าจะสามารถรับซื้อหรือกระจายผลผลิตได้อย่างไร แต่ข้อเท็จจริงคือราคายังไม่ดีและมีปัญหาอยู่มาก จึงได้ขอให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ไปศึกษาหามาตรการที่รวดเร็วในการเข้าไปช่วยแก้ปัญหา ถ้าจำเป็นต้องขออนุมัติเป็นเงินงบกลางขอให้เสนอมาที่ตนโดยตรง นอกจากนี้ ยังได้สั่งให้เตรียมการแก้ปัญหาเรื่องกุ้งที่มีปัญหาในหลายพื้นที่ สำหรับการระบายสินค้าเกษตรทั้งข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมเสนอหลักเกณฑ์ในการระบายสินค้าต่อที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรฐานราคาสินค้าเกษตรในสต๊อกรัฐบาลทั้งข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาราคาที่จะอนุมัติขายให้กับผู้เสนอซื้อว่าราคาที่กำหนดคำนวณมาจากอะไรสินค้าแต่ละชนิดมีมาตรฐานอย่างไรเพื่อป้องกันปัญหาว่าทำไมถึงต้องขายในราคาเท่านั้น เท่านี้ โดยคาดว่าจะเสนอให้ ครม.พิจารณาได้ในสัปดาห์หน้า

"การขายสินค้าเกษตรมันมีเงื่อนไขต่างๆกำหนดไว้อยู่แล้ว เช่น ข้าวบางพื้นที่ราคาดีกว่าอีกที่หนึ่ง เช่น ข้าวหอมมะลิยโสธรแพงกว่าที่โคราช แต่ในเวลาจำนำรัฐบาลต้องซื้อในราคาเดียวทั้งประเทศแต่พอเวลาขาย คนซื้อก็จะพิจารณาจากคุณภาพข้าวที่จะซื้อซึ่งแน่นอนว่าข้าวในพื้นที่ดีได้ราคาดี แต่ในพื้นที่ไม่ดีก็ราคาถูก"

ที่มา: http://www.thairath.co.th

3 มหาอำนาจยางโลกแก้วิกฤติราคายางพาราพุ่งแล้ว

สถานะการณ์ยางโลกเริ่มมีเสถียรภาพ ราคายางไตรมาสแรกสูงกว่าปลายปีที่แล้วเนื่องจากความร่วมมือของ 3 มหาอำนาจยางของโลก คือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียลดการส่งออกกว่า 7 แสนตัน คาดไตรมาสที่สองราคายางจะอยู่ที่ 55-60 บาทต่อกิโลกรัม

นายสมจิตต์ ศิขรินมาศ ผู้อำนวยการสำนักตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่ เปิดเผยว่า จากการที่ราคายางธรรมชาติในช่วงปลายปีที่แล้ว ได้ปรับลดตัวตกต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี โดยในเดือนธันวาคม 2551 ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 FOB กรุงเทพฯ อยู่ที่ กิโลกรัมละ 44.35 บาท ส่วนยางดิบตลาดกลางยางพาราสงขลาตกไปที่กิโลกรัมละ 36.98 บาท อันเป็นผลจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ อาทิ 3 บริษัทผลิตรถใหญ่ ล้มละลาย

จากสาเหตุดังกล่าว สามประเทศผู้ผลิต ไทย มาเลยเซีย และอินโดนีเซีย ได้เห็นชอบกันเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2551 ให้ลดการส่งออกยางพาราปี 2552 รวม 700,000ตัน พร้อมขอความร่วมมือผู้ส่งออกไม่ให้ขายต่ำกว่ากิโลกรัมละ 135 เซนต์สหรัฐ ขณะเดียวกันสหกรณ์กองทุนสวนยางได้รับซื้อยางจากสมาชิกเข้าเก็บ 200,000ตัน ส่งผลทางจิตวิทยาให้ราคายางสูงขึ้นในเดือนมกราคม เป็น 53.27 บาทต่อกิโลกรัม และเชื่อว่าในเดืนเมษายนต์ 2552 ราคายางจะปรับตัวสูงขึ้นมากกว่านี้

แนวโน้มยางในไตรมาสที่ 2 จปรับตัวสูงขึ้นกว่าไตรมาสแรก จากการแก้ใขวิกฤติอุตสาหกรรมของประเทศสหรัฐ จีน และญี่ปุ่น ส่งผลให้อุปสงค์ในการใช้ยางเพิ่มขึ้น คาดวาราคายางที่เกษตรกรขายได้น่าจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 55-60บาทนายสมจิตต์ กล่าว

ที่มา: พิมพ์ไทย

ททท.ปรับแผนตลาดปี53 ฟื้นเทศกาลไทยเที่ยวไทย

น.ส.เพ็ญสุดา ไพรอร่าม รองผู้ว่าการด้านบริหาร รักษาการผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ จัดทำแผนกระตุ้นตลาดภายในประเทศปี 2553 ด้วยการนำโครงการไทยเที่ยวไทย หรือคอนซูเมอร์ แฟร์ สินค้าทางการท่องเที่ยวมาดำเนินการอีกครั้ง เพื่อปลุกกระแสให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ภายหลังที่ยกเลิกโครงการนี้ไป 2 ปี

ทั้งนี้ เนื่องจากการสำรวจพบว่าการจัดงานดังกล่าวสามารถกระตุ้นให้คนไทยเกิดความสนใจเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น โดยภายในงานจะรวบรวมแพ็กเกจทัวร์ราคาพิเศษมาลด แลก แจก แถม จูงใจให้เกิดการเดินทางเที่ยว

นอกจากนี้ จะช่วยลดการพึ่งพารายได้ทางการท่องเที่ยวจากตลาดต่างประเทศซึ่งมีแนวโน้มการเดินทางลดลง

ด้านตลาดในประเทศจะศึกษาแนวทางการจัดงาน โดยจะวางไว้ในแผนปีงบประมาณ 2553 ซึ่งททท.จะเป็นเจ้าภาพจัดงานเองทั้งหมด เพราะต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้มีรายได้หมุนเวียนในช่วงการเดินทางลดน้อยลงน.ส.เพ็ญสุดา กล่าว

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นแผนการจัดงานจะแบ่งไว้ 2 ช่วงต่อปี คือ ปลายเดือนก.พ.-ต้นเดือนมี.ค. ปี 2553 เพื่อกระตุ้นท่องเที่ยวช่วงปิดภาคเรียนใหญ่ และเดือนก.ค.อีกครั้ง เพื่อช่วยกระตุ้นท่องเที่ยวช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซัน)

สำหรับการจัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งจัดติดต่อกันปีนี้เป็นปีที่ 3 ระหว่างวันที่ 3-7 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ จะรอผลการตอบรับจากนักท่องเที่ยวก่อนการตัดสินใจปรับแผนการตลาดในปี 2553 ว่าจะยังคงมีการจัดงานดังกล่าวต่อหรือไม่ เพราะงานดังกล่าวไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการซื้อขายสินค้าท่องเที่ยว

สำหรับแผนการตลาดต่างประเทศ ททท.จะโฆษณาประชาสัมพันธ์ประเทศไทยภายใต้แบรนด์อะเมซิง ไทยแลนด์ อะเมซิง แวลู ต่อเนื่องในปี 2553 เพื่อย้ำแบรนด์ประเทศไทยว่าคุ้มค่าเที่ยว

ที่มา: โพสต์ทูเดย์

จำนำทะเบียนพุ่ง2.5หมื่นล้าน

โพสต์ทูเดย์ อยุธยา แคปปิตอล คาดปีนี้ตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมีมูลค่าถึง 2.5 หมื่นล้านบาท โต 5%

นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส เปิดเผยว่า ตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถโดยรวมในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราเติบโตประมาณ 5% หรือมีมูลค่าประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยภาวะตลาดจะมีการแข่งขันสูงขึ้น เนื่องจากมีสถาบันการเงินหลายแห่งหันมาทำตลาดจำนำทะเบียนรถอย่างจริงจัง

สำหรับบริษัทในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถได้แล้ว 2,500 ล้านบาท และมีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 22% หรือมีอยู่ 1.1 แสนราย มีสัดส่วนลูกค้าต่างจังหวัด 70% และกรุงเทพฯ 30% รวมยอดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ 3 หมื่นล้านบาท

คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3-5% สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดสัดส่วน 40% เหมือนเดิมนายไพโรจน์ กล่าว

นายไพโรจน์ กล่าวว่า กลยุทธ์ที่สำคัญในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดนั้น จะขยายช่องทางการให้บริการของผู้แทนขายจาก 250 ราย เป็น 500 รายภายในสิ้นปีนี้ และจะใช้งบประมาณ 120 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ให้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าจริงๆ มากที่สุด โดยขายผ่านสาขา 32 แห่งทั่วประเทศ ขายทางออนไลน์ ช่องทางบริการถึงที่ ช่องทางตัวแทน ขายผ่านเต็นท์ขายรถมือสอง และขายผ่านคอลเซ็นเตอร์ ที่เป็นช่องทางที่ขายได้มากที่สุดในขณะนี้

ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 3 นี้จะเพิ่มช่องทางขายผ่านสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยาทั่วประเทศอีกด้วย โดยอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีนโยบายเน้นการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพทั้งลูกค้าเก่าและใหม่มากขึ้น โดยมีการขยายเวลาผ่อนค่างวดจาก 60 เดือน เป็น 72 เดือน เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ซึ่งจะมีผลทำให้ในปีนี้บริษัทสามารถรักษาสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ไว้ที่ระดับ 2% เหมือนปัจจุบันได้ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 2.5%

นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาบริษัทก็เริ่มส่งข้อความทางโทรศัพท์เตือนเรื่องการชำระหนี้ก่อนถึงเวลากำหนดล่วงหน้า 3 วันให้ลูกค้ารับทราบแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะเข้มงวดเรื่องการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น แต่ยอดเฉลี่ยของการอนุมัติก็ยังอยู่ที่ระดับ 85% เหมือนเดิม ยังไม่มีอะไรผิดปกติ และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวก็ยังไม่มีผลกระทบ

ที่มา: โพสต์ทูเดย์

ทีดีอาร์ไอจี้รัฐเลิกโครงการจำนำข้าว

นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เปิดเผยในการสัมมนาเรื่อง "จับทิศทางราคาข้าว ลดความเสี่ยง เลี่ยงวิกฤติโลก" จัดโดยนิตยสารข้าวไทย ว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ทำให้ข้าวไทยไม่มีความสามารถการแข่งขัน และเป็นตัวเร่งการส่งออกของไทยลดลง จนสูญเสียแชมป์ส่งออกสูงสุดของโลก เพราะโครงการรับจำนำเป็นตัวชี้นำราคาตลาด ซึ่งวิธีการกำหนดราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาด ทำให้เกษตรกรเร่งปลูกข้าวจำนวนมาก โดยไม่สนใจคุณภาพเพื่อขายเข้าโกดังของรัฐ ซึ่งทุก 10% ของสต็อกรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ปริมาณการส่งออกลดลง 6% เพราะราคาข้าวไทยสูงกว่าตลาดโลก อันเป็นผลจากการบิดเบือนกลไกตลาด

ทั้งนี้ โครงการรับจำนำ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงของนักการเมือง โดยใช้ชาวนาเป็นข้ออ้าง ซึ่งหากไม่ใช้วิธีรับจำนำ ก็สามารถใช้วิธีอื่นมาดูแลราคาและช่วยเหลือชาวนาแทนได้

"ตัวโครงการรับจำนำเป็นตัวลดการแข่งขัน ทำให้เร่งชะตาการเสียแชมป์ผู้ส่งออกข้าวของไทยในตลาดโลก ซึ่งราคาข้าวไทยที่สูงมากจะทำให้มีการเร่งปลูกข้าวทำให้คุณภาพข้าวลดลง ซึ่งต้องยกเลิกโครงการและกลับเข้าสู่ระบบปกติ" นายนิพนธ์กล่าว

แนวทางการดูแลสินค้าข้าวและการช่วยเหลือชาวนา ทดแทนการรับจำนำ ได้แก่ การประกันความเสี่ยงโดยขายใบประกันที่ระบุราคาที่รัฐกำหนด หากราคาต่ำกว่าที่ระบุไว้ รัฐจ่ายส่วนต่างให้ชาวนา อาทิเช่น ประกันราคาไว้ที่ตันละ 10,000 บาท หากราคาตลาดอยู่ที่ตันละ 8,000 บาท รัฐจะจ่ายให้ชาวนาตันละ 2,000 บาท ซึ่งวิธีนี้รัฐไม่ต้องเสียงบประมาณจ้างเอกชนเก็บข้าว แต่หากจำนำก็ควรกำหนดราคาเพียง 90-95% ของราคาตลาด เพื่อไม่ให้กลไกตลาดบิดเบือน

นายประสิทธิ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า ยอมรับว่าโครงการรับจำนำเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นฤดูกาลไปเท่านั้น หากจะยกเลิกโครงการรับจำนำต้องมีโครงการอื่นมาทดแทนเพื่อดูแลชาวนาได้ ซึ่งสิ่งที่ชาวนาต้องการ คือ รายได้เฉลี่ยที่แท้จริง ที่ควรได้รับไม่ต่ำกว่าตันละ 9,500 บาท หากต่ำกว่านี้ไม่สามารถอยู่รอดได้

"เราประเมินว่า รายได้ที่ ตันละ 9.5 พันบาทเหมาะสม แต่ต้องเป็นเม็ดเงินที่ได้จริงๆ ไม่ใช่ราคารับจำนำที่สูงจริงแต่ติดเงื่อนไขความชื้น และสิ่งปลอมปนจะได้เงินจริงๆ ไม่เท่าไร" นายประสิทธิกล่าว

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สินค้าข้าวของไทยกลไกตลาดไม่แข่งขันอย่างเต็มที่ หากปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดเมื่อราคาตกลงเกษตรกรก็รับไม่ได้

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปัจจุบันราคาข้าวไทยเทียบกับคู่แข่งโดยเฉพาะเวียดนาม สูงกว่ามากเฉลี่ยตันละ 80-90 ดอลลาร์ ทำให้การส่งออกข้าวไทยลดลงประมาณ 70-80% ส่วนแบ่งตลาดถูกคู่แข่งแย่งไป ตลาดข้าวครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีความต้องการลดลง มีการแข่งขันสูง ระดับราคาทรงตัวเฉลี่ยตันละ 500 ดอลลาร์

นายสมศักดิ์ ตังพิทักษ์กุล ประธานกลุ่มโรงสีข้าวเหนียวไทย กล่าวว่า การประมูลข้าวสต็อกรัฐที่มีข้าวเหนียว 9,000 ตัน โดยอนุมัติขายในราคาต่ำมาก เฉลี่ย กก.ละ 8 บาท ทั้งที่ราคารับจำนำ กก.ละ 9 บาท และราคาตลาดอยู่ที่ กก.ละ 14-16 บาท ทำให้รัฐขาดทุนและราคาตลาดปรับตัวลดลง กก.ละ 50 สตางค์ ทางกลุ่มจะยื่นหนังสือให้ รมว.พาณิชย์ยกเลิกการประมูลครั้งนี้

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

คาด5ปีลิสซิ่งต่างจังหวัดปิดกิจการ

วงการลิสซิ่งประเมินอีกไม่เกิน 5 ปี ผู้ประกอบการลิสซิ่งรายเล็กในต่างจังหวัดตายเกือบหมด โดยเฉพาะกลุ่มที่ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ไปก่อนหน้านี้ เริ่มอยู่ในภาวะลำบาก ล่าสุดต้องหันไปเน้นรถมือสองแทน ระบุอนาคตหากแบงก์รุกรถมือสอง ลิสซิ่งรายเล็กต้องหันไปทำอย่างอื่นแทน ขณะที่แบงก์ไทยพาณิชย์ประกาศไตรมาส 3 ขอคืนสังเวียนรุกเช่าซื้ออีกครั้ง

นายปรีชา ภูขำ ประธานกรรมการ บริษัท เคทีบีลิสซิ่ง จำกัด บริษัทในเครือธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจลิสซิ่ง ยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เพราะมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีกว่าธุรกิจแบงก์พาณิชย์

"เนื่องจากธุรกิจลิสซิ่ง ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากแบงก์พาณิชย์หันมาทำธุรกิจลิสซิ่งมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันเริ่มทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และนับวันจะรุนแรงเพิ่มขึ้น" นายปรีชา กล่าว

เขากล่าวอีกว่า ณ ขณะนี้ จะเห็นได้จากลิสซิ่งต่างจังหวัดอยู่ลำบาก โดยเฉพาะพวกที่ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทำได้ยากขึ้น เนื่องจากมีมาร์จินที่แคบ ไม่สามารถสู้กับธนาคารพาณิชย์ได้ จึงต้องหันมาเน้นรถยนต์มือสองแทน แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง ลิสซิ่งในเครือธนาคารพาณิชย์ ก็จะหันมาเน้นรถยนต์มือสอง ลิสซิ่งรายเล็กในต่างจังหวัด ก็ต้องหันไปทำอย่างอื่นแทน

"จากนี้ไปจะเห็นลิสซิ่งรายย่อย ล้มหายตายจากไปเยอะ รายใหญ่เท่านั้นจึงจะอยู่ได้ ประเมินเอาไว้ว่าไม่น่าจะเกิน 5 ปีรายเล็กโดยเฉพาะต่างจังหวัดตายหมด ตัวที่ปล่อยรถยนต์จะไปก่อน ส่วนที่ปล่อยรถมอเตอร์ไซค์จะไม่เท่าไรเพราะวงเงินสินเชื่อต่ำ" นายปรีชากล่าว

นายปรีชา กล่าวว่า ในส่วนของเคทีบีลิสซิ่ง ที่เน้นลูกค้ารายย่อยยังไปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะอาศัยลูกค้าที่เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เพราะกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลง รายได้ของกลุ่มนี้ยังดีอยู่ และในบางโอกาสอาจทำให้คนกลุ่มนี้มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ซื้อสินค้าเงินผ่อนมากขึ้น

เขากล่าวอีกว่า บริษัทจึงให้น้ำหนักกลุ่มนี้ถึง 80% แต่ก็ยอมรับว่า ในช่วง 2-3 เดือนยอดการปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายย่อยลดลงไป 40% เช่น จากเดิมเคยปล่อยสินเชื่อได้ 100 ล้านบาท ก็เหลือ 300-400 ล้านบาทต่อเดือนในส่วนลูกค้าเช่าซื้อที่เป็นเครื่องจักร

"ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าองค์กรนั้น แนวโน้มชะลอตัวลง และที่สำคัญบริษัทไม่เน้นหาลูกค้ารายใหม่ เพราะไม่รู้เครดิตของลูกค้า บริษัทเองก็ระมัดระวังเพิ่มขึ้น" นายปรีชา กล่าว

ด้านนางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ธนาคารพร้อมรุกตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ช่องทางผ่านสาขาทั่วประเทศหลังจากที่ได้มีการหยุดทำการตลาดมา 1-2 ปี เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงระบบสนับสนุนงาน และระบบคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้ยอดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคาร ณ ปัจจุบันคงเหลืออยู่แค่ 60,000 ล้านบาท

"ตอนนี้เราเตรียมพร้อมเพื่อที่กลับมารุกตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อีกครั้งหนึ่ง โดยจะเริ่มไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยเราพร้อมทำการตลาดอย่างเต็มที่ หลังจากได้หยุดมา 1-2 ปี เพื่อปรับปรุงระบบ" นางกรรณิกา กล่าว

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

เลิกฝันใช้น้ำมันราคาถูก เตือนรัฐรีดภาษีเพลินชาวบ้านรับเคราะห์

"วรรณรัตน์" ฟันธงจากนี้ไป 1 เดือนข้างหน้า ราคาปลีกน้ำมันในประเทศไม่มีโอกาสปรับลดลงแน่นอน ผู้ค้าน้ำมันเตือนรัฐรีดเงินคืนกองทุนน้ำมันชดเชยภาษีต้องคำนึงถึงค่าการตลาดที่เหมาะสม หากต่ำเกินประชาชนต้องรับภาระ

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานยังติดตามความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด โดยยังระบุไม่ได้ว่าสัปดาห์นี้จะเก็บเงินเพิ่มเข้ากองทุนน้ำมันหรือไม่ ในหลักการจะเข้าไปดำเนินการในช่วงราคาน้ำมันปรับลดลงเท่านั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ เท่ากับว่าจะส่งผล ให้ใน 1 เดือนนี้จากนี้ไป คนไทยจะไม่มีโอกาสได้เห็นราคาขายปลีกน้ำมันปรับลดลงอย่างแน่นอน

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากน้ำมันเบนซินและดีเซล เพื่อชดเชยภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น 2 บาท/ลิตร ในหลักการเอกชนเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว แต่ภาครัฐต้องคำนึงถึงค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันที่เหมาะสมด้วย แม้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะปรับลดลง หากคำนวณแล้วผู้ค้าน้ำมันมีค่าการตลาดที่ต่ำอยู่ ก็อาจจำเป็นต้องให้ประชาชนเข้ามาร่วมรับภาระบ้าง

นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีความแตกต่างในเรื่องของตัวเลขค่าการตลาดน้ำมัน ที่สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รายงานกับตัวเลขค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมัน โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ที่ สนพ.ยังใช้ราคากลางเอทานอล 18.59 บาท/ลิตร ขณะที่ราคาเอทานอลจริงสูงกว่า 4 บาท/ลิตร หรือ 22-23 บาท/ลิตร ทำให้ค่าการตลาดที่ประกาศสูงกว่าจริง ประชาชนสับสนและตั้งข้อสังเกตว่าผู้ค้าน้ำมันเอาเปรียบประชาชน

"เอกชนเห็นด้วยกับการดูแลราคาขายปลีกน้ำมันในลักษณะนี้ แต่ก็ควรดูค่าการตลาดให้เหมาะสม ไม่ควรอ้างอิงตัวเลขค่าการตลาดของ สนพ. เนื่องจากไม่สะท้อนต้นทุนที่จริง โดยค่าการตลาดแก๊สโซฮอล์ที่คำนวณได้ต่ำกว่าตัวเลขที่รัฐประกาศไว้ 40-80 สต./ลิตร ดังนั้นการทยอยเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯเพื่อชดเชยภาษีต้องทำในช่วงที่ค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงจริงๆ หากรัฐมาเก็บคืนในช่วงที่ค่าการตลาดไม่สูง และทำให้ผู้ค้าน้ำมันขาดทุน ก็จำเป็นต้องให้ประชาชนเข้ามารับภาระ โดยจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาในบางช่วงก็เป็นได้

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการ สนพ.กล่าวว่า การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มจะพยายามไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากราคาขายปลีก โดยล่าสุดค่าการตลาดน้ำมันวันที่ 18 พ.ค. เบนซิน 95 อยู่ที่ 6.40 บาท/ลิตร เบนซิน 91 อยู่ที่ 1.49 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 1.39 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 1.43 บาท/ลิตร ดีเซล 1.65 บาท/ลิตร และบี 5 อยู่ที่ 1.99 บาท/ลิตร.

นายดีเดีย ฮูสซิน ผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงและการตลาด ทบวงพลังงานโลก (ไออีเอ) กล่าวว่า การที่รัฐบาลไทยใช้มาตรการเก็บเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 2 บาท/ลิตร จะเป็นผลดี ทำให้มีการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ก็มีอัตราภาษีน้ำมันที่สูงเช่นกัน นอกจากนี้รัฐบาลไทยควรจะส่งเสริมประชาชนในเรื่องการประหยัดพลังงานให้มากขึ้น เพราะนอกจากช่วยลดการนำเข้าน้ำมันแล้ว ยังช่วยลัดปัญหาภาวะโลกร้อนด้วย

ที่มา: ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 20 พ.ค. 2552 (กรอบบ่าย)

สังคม-คุณภาพชีวิต

จัดตั้งแกนนำผู้สูงอายุใน กทม.ให้มีบทบาทบาทในการพัฒนา

น.ส. วราภรณ์ ศิริวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการจัดโครงการพัฒนาแกนนำของผู้สูงอายุ ใน กทม.ว่า ในอนาคต ผู้สูงอายุมีโอกาสที่จะมีอายุยืนยาวขึ้น นอกจากจะต้องส่งเสริมให้มีการเตรียมตัวเตรียมใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอยู่กับลูก-หลาน-เหลน-โหลน อย่างมีคุณค่าและมีความสุขแล้ว การจัดให้ชุมชนได้ดูแลซึ่งกันและกัน ยังเป็นอีกภารกิจสำคัญเรื่องหนึ่งที่ทางสำนักงาน กศน. และหน่วยงานในสังกัด จะต้องดูแลกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวนี้ ซึ่งในส่วนของสถาบัน กศน.กทม.ได้จัดโครงการพัฒนาแกนนำผู้สูงอายุเพื่อดูแลเพื่อนผู้สูงอายุในชุมชนขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีจิตอาสาได้มีบทบาทพัฒนาศักยภาพตนเอง และนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับเพื่อนวัยเดียวกันที่ขาดโอกาส จะเป็นการสร้างการเกื้อกูลให้ผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางสุขภาพกายและสุขภาพจิต ไม่เป็นภาระแก่สมาชิกในครอบครัวมากจนเกินไป พร้อมทั้งเป็นการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง อันจะเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ผู้สูงอายุในชุมชนผู้สูงอายุได้อีกด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร และเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้สูงอายุเพื่อดูแลเพื่อนผู้สูงอายุในชุมชน

โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาสภาพปัญหา/อุปสรรค ด้านการดูแลและบริการผู้สูงอายุโดยแกนนำเพื่อช่วยเหลือเพื่อนผู้สูงอายุที่ด้อยโอกาสกว่าในชุมชน และทดสอบประสิทธิภาพของหลักสูตร พัฒนาแกนนำผู้สูงอายุ ตลอดจนการดูแลเพื่อนผู้สูงอายุในชุมชน อันจะนำไปใช้กับแกนนำผู้สูงอายุเพื่อให้ดูแลเพื่อนผู้สูงอายุในชุมชน และเพื่อพัฒนาหลักสูตรแกนให้สารถไปใช้บริการผู้สูงอายุโดยผู้สูงอายุแกนนำและผู้สูงอายุที่ด้อยโอกาสกว่าในชุมชนได้อย่างเหมาะสมต่อไป

ที่มา: http://www.naewna.com

ต่างประเทศ

ธุรกิจธนาคารสเปิร์มบูมสุดๆ

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันอังคาร (19 พ.ค.) ว่า ไครออส ธนาคารสเปิร์มแห่งใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ที่เดนมาร์ก มีกิจการดีวันดีคืนเพราะมีลูกค้าแห่ซื้อน้ำเชื้อกันเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับจำนวนของผู้ที่มาบริจาคน้ำเชื้อ จนทำให้ธนาคารมีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มขึ้นอีก 10 แห่ง กระจายไปทั่วโลกทั้งในยุโรป เอเชีย แอฟริกา และออสเตรเลียเพื่อเพิ่มความหลากหลายของน้ำเชื้อ

นายโอเล ชู ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคาร กล่าวว่า เคยมีความคิดจะปิดกิจการเมื่อสองปีที่แล้ว หรืออย่างน้อยก็ย้ายกิจการไปประเทศอื่น เนื่องจากกรมสรรพากรของเดนมาร์กเสนอให้ผู้บริจาคต้องเปิดเผยรายได้ของตนเอง ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการบริจาคน้ำเชื้อโดยไม่ประสงค์จะออกนามไม่กล้ามาบริจาค เพราะการเปิดเผยรายได้จะพลอยทำให้ต้องถูกเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามไปด้วย

แต่ท้ายที่สุด กรมสรรพากรก็ยินยอมยกเลิกข้อเสนอดังกล่าว พอมาในปี 2551 ก็มีผู้บริจาคน้ำเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จากวันละ 30 คน เป็นวันละ 100 คน ส่วนผู้ที่ยื่นขอบริจาคน้ำเชื้อก็เพิ่มขึ้นจาก 350 เป็น 1,000 คน ส่งผลให้ต้องย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม และจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ขณะที่ยอดจำหน่ายน้ำเชื้อก็พุ่งจาก 2 ล้านยูโร (94 ล้านบาท) เมื่อปี 2549 มาเป็นที่ 3 ล้านยูโร (141 ล้านบาท) ในปี 2551

ทั้งนี้ ไครออสจะให้ค่าตอบแทนผู้บริจาคน้ำเชื้อครั้งละ 80 ยูโร (ประมาณ 3,760 บาท) แต่ต้องเป็นน้ำเชื้อที่มีคุณภาพดีเยี่ยม ในแต่ละปีธนาคารได้ส่งออกน้ำเชื้อมากถึงร้อยละ 85 ไปยังสถานพยาบาลกว่า 400 แห่ง ใน 60 ประเทศ

ที่มา: http://www.komchadluek.net

สาธารณสุข

สธ. แถลงการเสียชีวิตของหญิงชาวเยอรมันเกิดจากปอดติดเชื้อ

เมื่อเวลา 17.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายมานิต นพอมรบดี รมช.กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ร่วมกันแถลงความคืบหน้า การเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวหญิงชาวเยอรมนี วัย 65 ปี ที่มาเที่ยว อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า ในเย็นวันนี้ได้รับผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งทำคู่ขนานกับห้องปฏิบัติการคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ซึ่งยืนยันตรงกันว่าไม่พบสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เมื่อประกอบกับประวัติของผู้ป่วยที่แม้จะเดินทางมาจากพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วย แต่อาการของผู้ป่วยรายนี้ไม่เหมือนกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โดยมีเพียงอาการเจ็บคอไม่มีไข้หรือไอ จึงสรุปได้ว่าไม่ได้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 อย่างแน่นอน

ด้านนายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวว่า จากการสอบถามประวัติกับแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยตั้งแต่แรก ทราบว่าเริ่มมีอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม แต่ไม่ได้ไปพบแพทย์ จากนั้นในวันที่ 18 พฤษภาคม เวลาประมาณ 10.00 น. เริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ แพทย์ให้นอนพักที่โรงพยาบาล แต่ผู้ป่วยขอกลับไปพักที่โรงแรม ต่อมาเวลาประมาณ 16.00 น. ได้กลับมาพบแพทย์อีกครั้ง เนื่องจากอาการรุนแรงขึ้น มีอาการเขียวปลายมือปลายเท้า แพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจและส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ระหว่างทางผู้ป่วยอาการหนักมาก หยุดหายใจ ต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาลมหาชัย จ.สมุทรสาคร และเสียชีวิตในเวลาประมาณ 21.00 น. ซึ่งผู้ป่วยรายนี้มีประวัติมีโรคประจำตัวและได้รับยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำมาประมาณ 1 ปี จึงคาดว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายและอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งนี้ จากการตรวจชันสูตรศพของสถาบันนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่ามีการอักเสบของปอด ซึ่งจะทราบว่าเป็นจากเชื้อชนิดใดนั้น ต้องรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติอย่างละเอียดอีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน แต่เบื้องต้นยืนยันได้ว่าไม่ได้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดข้อมูลระหว่างกระทรวงวสาธารณสุขกับสถาบันนิติเวชมีความขัดแย้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางผู้อำนวยโรงพยาบาลตำรวจระบุว่าอาจเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า สาเหตุที่ทางกระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงข่าวล่าช้า เนื่องจากต้องทำการตรวจสอบและเคลียร์ข้อมูลทั้งหมดก่อน ซึ่งเท่าที่พูดคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจระบุแต่เพียงว่า ให้รอผลการตรวจจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขก่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการให้ยาโอเซล์ทามีเวียร์กับหญิงชาวเยอรมันรายนี้หรือไม่ นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ได้ให้ยาไปเพียงแค่ 1 โด๊สเท่านั้น อย่างไรก็ตามขอเรียนว่าผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัว และกินยามาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ ภูมิต้านทานไม่ดี ทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังมีผู้เข้าข่ายเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 25 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติ 4 ราย เป็นประเทศฝรั่งเศส 1 ราย สวิทเซอร์แลนด์ 1 ราย และสหรัฐฯ 1 ราย ที่เหลือเป็นคนไทย

ที่มา: http://www.naewna.com

เกษตร

ระวัง 'ปุ๋ยปลอม' เกลื่อนช่วงฤดูเพาะปลูก

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร แจ้งเตือนว่า ช่วงฤดูเพาะปลูกปี 2552 นี้ เกษตรกรผู้ปลูกพืชทั่วประเทศจำเป็นต้องระมัดระวังในการเลือกซื้อปุ๋ยมาใช้ เนื่องจากปีที่ผ่านมากรมวิชาการได้ตรวจวิเคราะห์คุณภาพปุ๋ย พบปุ๋ยปลอมวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดปริมาณมาก คิดเป็น 40% ของตัวอย่างปุ๋ยที่ส่งเข้ามาตรวจทั้งหมด โดยเฉพาะปุ๋ยผสม สูตร 15-15-15 เป็นปุ๋ยที่ตรวจพบการปลอมปนสูงสุด ส่วนใหญ่พบว่ามีธาตุฟอสฟอรัส (P) และธาตุโพแทสเซียม (K) ต่ำมากและสัดส่วนธาตุอาหารที่พืชต้องการมีไม่ครบตามที่ระบุไว้ในสูตรปุ๋ย

อีกทั้งยังพบว่าแหล่งที่มีปุ๋ยปลอมระบาดมากที่สุด คือ พื้นที่ภาคกลางซึ่งมีการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหนาแน่น ทั้งข้าว พืชสวน พืชไร่และไม้ผล ขณะเดียวกันยังตรวจพบการจำหน่ายปุ๋ยปลอมในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย นอกจากผู้ประกอบการจะวางจำหน่ายปะปนกับปัจจัยการผลิตทางการเกษตร อื่น ๆ ในร้านค้าแล้ว ยังมีพ่อค้านำปุ๋ยผสมออกเร่ขายไปตามหมู่บ้านโดยขายในราคาถูกกว่าท้องตลาดและยังมีการให้สินเชื่อเพื่อดึงดูดใจเกษตรกรด้วย ดังนั้น จึงต้องระวังให้มากเพราะอาจถูกหลอกให้ซื้อปุ๋ยผสมที่ไม่มีคุณภาพ นำไปใช้แล้วได้ผลไม่คุ้มค่าการลงทุน

นายสมชายกล่าวด้วยว่า เกษตรกรควรเลือกซื้อปุ๋ยจากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยซื้อจากร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่มีใบอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งมีกว่า 13,000 ร้านค้าทั่วประเทศ และทุกครั้งที่ซื้อปุ๋ยต้องสังเกตเลขทะเบียนปุ๋ย ชื่อบริษัทผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และผู้จัดจำหน่าย ที่สำคัญต้องขอใบเสร็จรับเงินจากผู้จำหน่ายทุกครั้งด้วยซึ่งจะตรวจสอบได้เมื่อมีปัญหา และห้ามซื้อปุ๋ยจากพ่อค้าเร่ขายอย่างเด็ดขาด

หากไม่มั่นใจเกษตรกรควรเก็บตัวอย่างปุ๋ยส่งมาตรวจวิเคราะห์ที่ สวพ.เขตที่ 1-9 หรือสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร อย่างไรก็ตาม กรมวิชาการเกษตรต้องขอความร่วมมือเกษตรกรให้ช่วยสอดส่องดูแลการจำหน่ายปุ๋ยในท้องตลาด หากพบเบาะแสผู้กระทำผิดกฎหมาย เช่น พ่อค้าเร่ขายปุ๋ย สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ โทร. 0-2579-8576.--

ที่มา: http://www.dailynews.co.th