วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทายาท24มิถุนา(ตอน2)พ.ต.พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา:ไม่มีหรอกที่ราชาธิปไตยจะเอาประชาธิปไตยมาให้

ที่มา Thai E-News

ที่มา ไทยโพสต์แท็บลอยด์
23 มิถุนายน 2552

หมายเหตุไทยอีนิวส์:ไทยโพสต์แทบลอยด์ได้ลงบทสัมภาษณ์ทายาทของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475ไว้ในฉบับวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา ไทยอีนิวส์เห็นว่าน่าสนใจต่อชนรุ่นหลัง จึงนำเสนอโดยแบ่งออกเป็น 2 ตอน

พ.ต.พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา


“คิดหรือว่าการปฏิวัติทำให้ประเทศเจริญ ไม่จริงหรอก มีปฏิวัติกี่ครั้งผมบอกเลย มีครั้งเดียวที่ผมเชื่อ 24 มิ.ย.2475 เพราะครั้งนั้นไม่มีหรอกนิรโทษกรรม ถ้าไม่สำเร็จผมก็ไม่ได้เกิด เพราะ 7 ชั่วโคตร เพราะฉะนั้นพ่อผมทำด้วยความมุ่งหมายสูงสุด ไม่เหมือนอย่างไอ้พวกนี้ทั้งหลายแหล่ที่มันปฏิวัติโดยอ้าง 3 ประ เหมือนเป็นนะโมตัสสะ ประเทศชาติ ประชาธิปไตย ประชาชน แต่ 3 ประนี้ไม่เคยได้ประโยชน์จากการอ้างของมันเลย”



ลูกชายคนกลางของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา กับท่านผู้หญิงบุญหลง ใส่เสื้อยืดที่ยังเปื้อนจากการทำงานในบ้านยืนคุยกับเราในบ้านเช่าที่เป็นบ้านไม้โทรมๆ อยู่ในซอยลึกย่านรามอินทรา นี่คือลูกอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะราษฎร ผู้นำการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตย นำอำนาจมาให้ปวงชนชาวไทย

แต่ถึงบ้านจะเก่า ก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ในบริเวณยังมีต้นไม้ผลไม้หลายชนิดที่ปลูกไว้ บอกว่าได้มาจากคุณแม่ ท่านผู้หญิงบุญหลง ที่ทำเองทุกอย่างเพื่อเลี้ยงลูก 7 คน หลังจากพระยาพหลถึงแก่อนิจกรรม

“เห็นเขาขายกับข้าวกันแล้วนึกถึงคุณแม่ผม ฝีมือท่านถ้าเรียนไว้บ้างคงสบาย คุณแม่ผมทำเองทุกอย่าง แม้แต่น้ำบูดูก็ทำเป็น น้ำปลาก็ทำเอง เผาถ่านเอง เทียนพรรษายังหล่อเอง เพราะมีผึ้งหลวงทำรังอยู่ที่บ้านในตอนนั้น”

ลูกนายกฯผู้มีเงิน 25 บาท

พระยาพหลถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี 2490 สิ่งที่ครอบครัวได้รับการอุปถัมภ์จากรัฐบาลก็คือมีบ้านให้อยู่ เพราะพระยาพหลไม่มีบ้าน อาศัยวังปารุสก์อยู่มาตั้งแต่ 2475

“พอหลังจากทำศพคุณพ่อเสร็จรัฐบาลจอมพล ป. ก็ไปขอคุณแม่ขอใช้วังปารุสก์เป็นกองบัญชาการคณะรัฐประหาร และให้คุณแม่ผมไปอยู่ที่ ปตอ. เป็นบ้านเก่าที่ท่านอยู่ตอนเป็น พ.ท. อยู่หัวมุมปตอ. ริมคลองบางซื่อ ใกล้กับสะพานพิบูลฯ ที่จะไปบางโพ อยู่ปีเดียวเพราะตอนนั้นมันไกล เท่าๆ กับชานเมือง ย้ายมาอยู่บ้านสวนอัมพวัน ที่สี่เสาเทเวศร์ เดิมเป็นบ้านคุณท้าวในรัชกาลที่ 5 มี 2 หลัง ตอนนี้รู้สึกจะเป็นสมาคมจันทบุรีและที่ตั้งของสภาโอลิมปิก ปี 2510 จอมพลถนอมมาขอคุณแม่บอกว่าอยากจะได้บ้านหลังนี้ทำสภาการศึกษาแห่งชาติ แล้วให้ไปอยู่บ้านที่ยึดจากจอมพลสฤษดิ์ที่ซอยจอมพล ที่ให้ภรรยาน้อยอยู่”

ตรงนั้นอยู่ได้ไม่นาน ท่านผู้หญิงก็ย้ายไปซื้อที่ดินอยู่ที่นครชัยศรี จนท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี 2531 ทรัพย์สมบัติที่มีบ้างก็คือที่ดินแต่ขายหมด

“เช่นที่บางเขน ใครผ่านไปแถวนั้นจะเห็นชื่อซอยท่านผู้หญิงพหลฯ คุณพ่อซื้อสมัยเป็นร้อยโทร้อยเอก ไร่ละ 20 บาท ขายเพราะไม่มีจะกิน คุณแม่คนเดียวต้องเลี้ยงลูก 7 คน ที่รังสิตก็ขาย บ้านบางซื่อที่คุณพ่อกับคุณป้าปลูกด้วยกันก็ต้องขายเพราะไม่มีเงินจะเลี้ยงพวกผม”

“สมัยจอมพล ป. คุณแม่บอกว่า ปรับเงินเดือนข้าราชการ แล้วบำนาญของท่านเจ้าคุณล่ะ โอ๊ย ท่านผู้หญิงอย่าให้ผมไปเกี่ยวข้องกับเงินท่านเจ้าคุณเลยครับ เดี๋ยววิญญาณท่านรู้ท่านจะไม่พอใจผม ถ้าท่านผู้หญิงเดือดร้อนอะไรบอกผม เดี๋ยวผมจัดการให้ แต่อย่าให้ผมไปแตะต้องบำนาญของท่านเลย”

“ท่านเป็นคนซาดิสซึ่ม (หัวเราะ) โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ตรงวัดพระศรี เป็นที่ของคุณพ่อ จอมพล ป.เป็นนายกปุ๊บ ออกกฎหมายเวนคืนที่ตรงนั้นสร้างโรงเรียน แล้วมาถามคุณพ่อว่าใต้เท้าโกรธผมหรือเปล่า คุณพ่อก็ถามว่าคุณหลวงถามผมทำไม ที่ผมแกล้งเวนคืนที่ของใต้เท้าทำโรงเรียน เอ๊ะ คุณหลวงผมจะไปโกรธคุณหลวงได้ยังไง คุณหลวงจำได้ไหมเมื่อวันที่ 24 มิถุนา หลัก 6 ประการของคณะราษฎร ข้อหนึ่งระบุว่าจะบำรุงการศึกษาของชาติให้เจริญ แล้วเมื่อคุณหลวงเห็นที่ของผมจะมีประโยชน์กับการศึกษา ผมควรจะดีใจไม่ใช่ไปโกรธ จอมพลป.ท่านหน้าหงายเลย ท่านแกล้งใครมีแต่โกรธ แต่แกล้งคุณพ่อดันไม่โกรธ”

เล่าว่าหลังจากพระยาพหลออกจากราชการก็ไม่มีรายได้อะไรนอกจากบำนาญ


“มีที่ก็เก็บค่านาแต่ละปี เป็นข้าวบ้าง ตอนคุณพ่อเสียมีเงินติดบ้านอยู่ 25 บาท เพราะฉะนั้นคุณแม่ยิ่งกว่าประเสริฐ ผู้หญิงคนเดียวตัวเล็กๆ อายุไม่เท่าไหร่ ฟันฝ่าชีวิตเลี้ยงลูก 7 คนรอด รัฐบาลเขาก็ให้อยู่บ้านฟรีบ้าง ให้รถใช้บ้าง แต่ไม่ใช่แค่นั้นแล้วอยู่ได้ จนรัฐบาลคุณธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกฯ คุณแม่ไปหาคุณบุญมา วงศ์สวรรค์ รัฐมนตรีคลัง ไม่เคยรู้จักกัน คุณธานินทร์ก็ไม่รู้จัก เข้าไปพบคุณบุญมาเล่าว่าบำนาญไม่เคยได้รับการปรับเลย คุณบุญมาก็เรียกปลัดกระทรวงมา ตรวจสอบก็จริง โห ตั้งกี่สิบปีไม่ได้ปรับ คุณบุญมาก็บอกท่านผู้หญิงครับ เราจะพยายามทำให้ถูกต้องแต่ขอร้องท่านผู้หญิง อย่าเรียกดอก รัฐบาลไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาให้ เพราะไม่ได้จ่ายมา 20-30 ปี ตามกฎหมายต้องเสียดอกด้วย แต่จะปรับให้ถูกต้อง”

ตอนนั้นเองที่ได้ปรับจากบำนาญ 1,600 บาทมาเป็น 8,000 บาท

“เวลาเขาปรับเงินเดือนข้าราชการ ข้าราชการบำนาญจะได้ปรับด้วย แต่ของคุณแม่ไม่เคยได้รับการปรับเลย”

กรณีนี้ก็เช่นเดียวกับ อ.ปรีดี ที่ต่อมาได้ฟ้องรัฐบาลว่าไม่จ่ายบำนาญเลย และเรียกดอกเบี้ยด้วย

“ก็ทำกับท่านกับครอบครัวเจ็บปวดแค่ไหน พี่ปาลถูกแกล้งเกณฑ์มาเป็นพลทหาร อยู่บางกระบือ แล้วยังจับเข้าคุก สารพัด ครอบครัวท่านน่าสงสารมาก ทำเพื่อคนทั้งประเทศแต่ตัวเองได้รับกรรมแค่ไหน”

ทางพระยาพหลอาจยังเบากว่า เพราะเหมือนเป็นคนกลาง และพ้นจากอำนาจไปก่อน


“เหมือนใครจะทะเลาะกันก็คุณพ่อ อย่างคุณอาควง เวลาปีใหม่ก็ไปหา มามานั่งตักอา มีอะไรจะมาคุยกับอาปีนี้ ไหนเขาบอกว่าคุณหลวงพิบูลกับคุณอาควงไม่ถูกกัน ไม่ใช่ อากับตาแปลกเป็นเพื่อนกัน แต่ตาแปลกตอนมันมีอำนาจมันแกล้งอา มันตั้งให้อามียศพันตรีเพื่อจะไปเป็นลูกน้องมัน อาก็ต้องไปรายงานตัวกับมันที่ศูนย์ปืน ลพบุรี วันดีคืนดีมันก็เอารถถังมาจอดหน้าบ้าน เฮ้ยตาควงแกขึ้นเป็นนายก อยู่ไปอยู่มาอารถจิ๊ปติดปืนกลมา บอกเฮ้ยแกลงจากเก้าอี้นายกได้แล้ว คุณอาควงเป็นคนอย่างนี้ แต่ก่อนนี้ผมชอบประชาธิปัตย์ แต่มาตอนนี้ไม่เอาเลย”


จากนายสิบเป็น ผบ.รถถัง


เชื่อหรือไม่ว่า ลูกอดีตผู้บัญชาการทหารบก แทนที่จะเข้า ร.ร.นายร้อย จปร.กลับเข้า ร.ร.นายสิบ

“ผมมาเข้าเป็นนักเรียนนายสิบเพราะประชดแม่ โกรธว่าแม่ไม่รักเพราะผมถูกตีมากกว่าเพื่อน แต่ผมไม่ได้ดูเลยว่าตัวผมเองเกเร สารพัดที่จะทำ คิดว่าตัวเองเป็นคนดี มองเห็นแต่ตัวเองตลอด และก็โทษสิ่งแวดล้อมว่าเขาไม่รักเรา พวกพี่ๆ ล้อว่าผมเป็นเด็กเก็บจากกองขยะ ก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ พอถูกคุณแม่ตีมากก็โกรธคุณแม่หาว่าคุณแม่ไม่รัก กว่าจะหายโง่ก็แก่แล้ว”

“ผมเข้าโรงเรียนนายสิบ ผู้การชาติชายท่านจะไม่รับตอนนั้นท่านเป็นพลจัตวา ผู้บัญชาการโรงเรียนยานเกราะ พอเห็นนามสกุลท่านเรียกไปถาม คุณเป็นอะไรกับเจ้าคุณพหล ผมเป็นลูก คุณเป็นลูกแน่ๆ หรือ แน่ครับ แม่คุณชื่ออะไร ท่านผู้หญิงบุญหลง เรียกคุณชายเลย คุณชายมาเข้าทำไมนักเรียนนายสิบ ทำไมไม่เข้าโรงเรียนนายร้อย ผมสอบไม่ได้ครับ ได้สิเดี๋ยวจัดการให้ ไม่เอา แกงงเลย รองผู้บัญชาการ พ.อ.ศรี พาคุณชายไปพบท่านผู้หญิงเดี๋ยวนี้ ให้มาเข้าได้ยังไงนักเรียนนายสิบ พ.อ.ศรีท่านก็พานั่งรถไปที่บ้าน โกรธคุณแม่ ยังไงก็ไม่ยอม อยากจะแต่งเครื่องแบบ เดี๋ยวเอาเครื่องแบบให้แต่ง สิบเอกก็ได้ อยากจะขับรถถังจะพาไปฝึกขับ แต่ไม่ต้องเป็นนักเรียนนายสิบ มันโหดร้ายทารุณ รองศรีบอกว่าดื้อน่าดูเลย ตามใจอยากจะไปเรียนก็ไป ใต้เท้ายอมให้คุณชายไปเรียนหรือครับ คุณแม่บอกตามใจเขา เราก็คิดว่านักเรียนนายสิบเหมือนกับโรงเรียนทั่วไป ที่ครูพูดว่าเธออย่างนั้นเธออย่างนี้ พอไปเจอของจริงมันไม่ใช่ ตรงกันข้ามเลย”

เข้า ร.ร.นายสิบปี 2500 จบแล้วก็รับราชการเป็นทหารชั้นประทวนธรรมดา จนปี 2511 ไปรบเวียดนาม ตอนนั้นเป็นสิบเอก บอกว่าอยากได้ประสบการณ์เพราะเป็นทหารก็ต้องไปรบ แม้จะเข้าใจการต่อสู้ของคนเวียดนามและมีเชื้อสายเวียดนาม

“ตระกูลผมทั้งพ่อทั้งแม่ 4 เผ่า ไม่มีเลือดไทยเลย คุณปู่ผมพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (ถิ่น พหลโยธิน) เป็นฮกเกี้ยน คุณย่าผมเป็นมอญบางไส้ไก่ คุณตาจีนแต้จิ๋ว คุณยายญวน หลานยาลองหว่าง เฮ ผมไปเวียดนามเพื่อให้ได้ประสบการณ์ว่าฉันได้รบ คิดว่าตายก็ช่างมันเพราะไม่มีใครรักอยู่แล้ว แต่พอไปแล้วหลายสิ่งหลายอย่างสอนให้เรามองเห็นตัวเองว่าเคยทำอะไรไว้บ้าง”

“พอกลับจากเวียดนาม ลงจากเครื่องบิน คุณแม่ยืนรอรับวิ่งไปถึงกราบที่เท้าเลย บุญคุณแม่นี้ใหญ่หลวง เรานี่เลวมาตลอดเลย ไม่เคารพรัก ผมถูกยิงหมวกทะลุ หัวไหล่ทะลุ ตอนนั้นหลับอยู่เวียดกงเข้าตี ฝันว่าคุณพ่อกับคุณแม่มายืนในที่สลัวๆ มาเรียก-แมว! (ชื่อเล่น) ตื่น ข้าศึกกำลังเข้าตี ผมลืมตาเฮ้ยของจริง ปืนครกหล่นปั๊บระเบิดตูมสะเก็ดเฉียดจมูกไปหน่อยเดียว ผมเป็นพลขับรถ คว้าเสื้อเกราะ ใส่รองเท้าแบบไม่ต้องผูกเชือก วิ่งไปเตรียมขับรถ ปรากฏว่าข้างหน้ายิงมากราวใหญ่ขึ้นรถข้างหน้าไม่ได้ ก็มาขึ้นข้างหลัง ต้องกลายเป็นผู้อำนวยการสั่งยิงวันนั้น เพราะผู้หมวดไม่อยู่ บอกระยะเพื่อนให้ยิง ทางนี้ 500 เมตร 10 นัด ขับรถไปยิงไปด้วยขับไปด้วย”

เป็นทหารสังกัด ม.พัน 4 หน่วยที่มีบทบาททางประวัติศาสตร์ เป็นหนึ่งในลูกน้องของ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร สอบจากนายทหารชั้นประทวนขึ้นเป็นร้อยตรี เลื่อนตำแหน่งจนเป็นพันตรีผู้บังคับกองร้อย แล้วลาออกจากราชการเมื่อปี 2529 หลังกบฎ 9 กันยาหน่อยเดียว เพราะถูกไม่ไว้วางใจแม้จะไม่ได้ร่วมกับนายเก่าก่อกบฎ

“แกเป็นผู้พัน ผมเป็นจ่า” เล่าถึง พล.ต.มนูญกฤต “เดิมตอนเป็นนักเรียนนายร้อยผมเรียกแกพี่เปี๊ยกๆ พอจบโรงเรียนนายร้อยแกไปอยู่โคราช ม.พัน 8 เจอหน้ากันก็หวัดดีครับพี่เปี๊ยก แกก็ดีกับผม สมัยนั้นแกยังไม่มีบทบาทด้านการเมือง”

“เมษาฮาวายผมเกี่ยว แต่ครั้งหลังผมไม่เกี่ยว เพราะผมเห็นแล้วว่าไม่ได้ประโยชน์ เมษาฮาวายนี่อย่าว่าแต่ประตูเลย รูแพ้สักนิดก็ไม่มี เพราะทุกฝ่ายเอาหมด ผมไปเป็นผู้บังคับกองร้อยรถถังขนาดใหญ่อยู่ที่สระบุรี มนูญสั่งให้ผมเตรียมรถถัง มีหน้าที่ลงมาล้อมดอนเมือง วันนั้นผมก็เตรียมรถถัง ตั้งแถวไว้เรียบร้อย เช้าขึ้นประกาศปฏิวัติ พอเที่ยงกว่าๆ ในหลวงเสด็จไปโคราช โห ขบวน 60-70 คัน ยาว 2กิโลได้ พอตกเย็นพล.ต.อาทิตย์ รองแม่ทัพภาค 2 พูดวิทยุ อยู่สระบุรีฟังชัดทั้ง 2 สถานี โรคประสาทจะกินผม”

โชคดีที่ไม่มีคำสั่งให้ลงไปกรุงเทพฯ ครั้งนั้นจึงรอดไป ไม่อยู่ในกลุ่มกบฎ แต่มาโดนครั้งหลัง

“เพราะความหูเบาของผู้ใหญ่ หาว่าผมซ่องสุมกำลังปฏิวัติ เชื่อหรือว่าผมทำ เชื่อ เชื่อเพราะอะไร เพราะว่าแมวเป็นลูกคุณพ่อและเป็นลูกน้องมนูญ แค่ 2 อย่างนี้หรือผมต้องปฏิวัติ พี่เห็นไหมผู้การมนูญ ตอนนั้นเขา พ.อ. เขายศอะไร เขาจบมาจากไหน แล้วผมจบมาจากไหน เขายังทำไม่สำเร็จ ผมนี่อย่าว่าแต่ชวนคนเลย ชวนหมา หมาก็ยังไม่เอากับผม แล้วพี่คิดหรือว่าการปฏิวัติทำให้ประเทศเจริญ ไม่จริงหรอก มีปฏิวัติกี่ครั้งผมบอกเลย มีครั้งเดียวที่ผมเชื่อ 24 มิ.ย.2475 เพราะครั้งนั้นมันไม่มีหรอกนิรโทษกรรม ถ้าไม่สำเร็จผมก็ไม่ได้เกิด เพราะ 7 ชั่วโคตร เพราะฉะนั้นพ่อผมทำด้วยความมุ่งหมายสูงสุด ไม่เหมือนอย่างไอ้พวกนี้ทั้งหลายแหล่ที่มันปฏิวัติโดยอ้าง 3 ประ เหมือนเป็นนะโมตัสสะ ประเทศชาติ ประชาธิปไตย ประชาชน แต่ 3 ประนี้ไม่เคยได้ประโยชน์จากการอ้างของมันเลย”

ย้อนไปสมัยที่สอบนายทหารได้ ก็สอบได้ด้วยตัวเอง หลังจากเป็นนายสิบถึงสิบกว่าปี


“ผมสอบนายทหารได้ปี 2517 ทั้งเหล่าทหารม้าไปสอบที่ศูนย์การทหารม้า สระบุรี 425 คน เอา 12 คน วันแรกแต่ละคนคุยนักคุยหนารู้ข้อสอบ มีเส้นสาย เราก็คิดว่าปีนี้หาประสบการณ์ ปีหน้าค่อยสอบใหม่ แต่รุ่งขึ้นหายไป 300 พวกที่หลบจากดอยลงมาพัก อยู่บนดอยเสี่ยงกับผกค. ลงมาพัก 7 วันยังดี แล้วเขาจะเอาเวลาที่ไหนดูหนังสือ ไม่เหมือนกองพันทหารม้าที่ 4 เป็นจอมหลักการ มีวินัย มีความรู้ ก็สอบได้ที่ 1 ใน 425 คน”

“นายเปรมท่านเป็นผบ.ศม. (ศูนย์การทหารม้า) วันนั้นท่านแจกประกาศนียบัตรหลักสูตรนายสิบอาวุโส ท่านถามว่านี่เราสอบยังไงถึงได้ที่หนึ่ง ผมก็บอกผมได้ที่ 4 ครับ เพราะผมได้ที่ 4 ของนายสิบอาวุโส ท่านก็ยิ้มพยักหน้า พวกอาจารย์ทั้งหลายแหล่ก็มานั่งเลี้ยงโต๊ะจีนมื้อกลางวัน ดีใจด้วยนะๆ อาจารย์ดีใจกับผมเรื่องอะไรครับ อ้าวไม่รู้เหรอ เราน่ะสอบนายทหารได้ที่ 1 คะแนนรวม 92 กว่า”

“ผมสอบได้ปี 2517 ทำหน้าที่นายทหาร 1 ปี ติดนายทหารปี 2518 ไปเป็นผู้หมวดรถถังอยู่อีกองร้อยหนึ่ง มีนายทหารที่ท่านชอบผม จบโรงเรียนเสธมา เป็นผู้กองลาดตระเวน ท่านก็บอกกับผู้พันมนูญ พี่นูญผมขอแมวมาอยู่ลาดตระเวนด้วยกัน ผู้พันมนูญก็บอกแมว อุดมชัยเขาอยากจะได้แมวไปอยู่ ลว.ไปไหม แล้วแต่ผู้พันครับ งั้นพรุ่งนี้ไปอยู่กับเขาเลย ผมก็เลยไปอยู่ลาดตระเวน ได้วิชาความรู้มาอีกเยอะ ก็คือพล.อ.อุดมชัย องคสิงห์ ที่เป็นเลขารัฐมนตรีกลาโหม คุณสมัคร”

ต้องรู้ว่าลูกใคร

ออกจากทหารได้รับบำนาญเพียงเดือนละ 5 พันกว่าบาท ต่อมาปรับเป็น 8 พันกว่าบาท อาแมวบอกว่าปัจจุบันทรัพย์สินที่เหลือก็มีแต่ที่ของคุณแม่ ที่นครชัยศรี แต่ไม่มีเงินไปปลูกบ้าน

“พี่เสียหมดแล้ว เหลือผมและน้องอีก 3 คน น้องชายเป็นนายตำรวจที่ไม่ได้ท่า เพราะยศสูงสุดแค่พ.ต.ท. วันดีคืนดีเขาก็ย้ายไปต่างจังหวัดตั้งนาน เพราะรีดไถคนไม่เป็น อยู่ตรวจคนเข้าเมือง เขาล็อกทุกตำแหน่ง มีว่างไม่ใช่ไม่มี แต่ทุกตำแหน่งไม่เหมาะกับคนอย่างคุณ เพราะไม่รู้จักวันเกิดนาย รีดไถคนไม่เป็น ซองก็ไม่ต้องการ เขาวางไว้ให้บนโต๊ะก็ไม่เอา
เพราะคุณแม่บอกว่าแกจะเป็นตำรวจก็เป็นได้ แต่แกต้องรู้ว่าแกเป็นลูกใคร คุณพ่อเคยทำอะไรไว้ไหมที่สกปรก เพราะฉะนั้นแกอย่าทำ


น้องชายชื่อ พ.ต.ท.พรหมมหัชชัย “ท่านเจ้าคุณพรหมมุนีซึ่งตอนหลังเป็นสมเด็จพระสังฆราชวัดเบญจฯ ท่านเป็นคนตั้งชื่อให้ เขาเพิ่งเกษียณเมื่อเร็วๆ นี้ ตอนเขาเป็นร.ต.อ. ผมเป็นร.ท. พอผมร.อ. เขาก็ร.ต.อ. ผม พ.ต. เขาก็ร.ต.อ. จนคุณแม่ต้องไปถามรอง อตร.สมัยนั้น ว่าลูกฉันทำผิดอะไรถึงไม่ได้ยศสูงขึ้น ท่านตกใจก็เรียกกำลังพลมาดู เอ๊ะเงินเดือนเขา พ.ต.ท.แล้วทำไมยัง ร.ต.อ. ก็เรียกหัวหน้า ตม.มา ไหนเอาตำแหน่งมาดูสิ มีตำแหน่งตั้งเยอะแยะทำไมไม่ให้เขา ไปจัดการเดี๋ยวนี้ นั่นแหละติดพ.ต.ต. ไม่ถึง 6 เดือน ก็ติดพ.ต.ท.เพราะเงินเดือนเขา พ.ต.ท. แต่พอคนที่หากินทางวิทยุเสียงสามยอดเป็น อ.ตร.ก็ออกคำสั่งย้าย บอกเจ้าตัวสมัครใจ ย้ายไปอยู่วิเชียรบุรี”

“คุณพ่อผมมีแม่ 2 คน คนแรกคุณป้าพิศ เป็นพี่สาวคนโตของคุณแม่ แต่คุณป้าพิศไม่สามารถให้ลูกกับคุณพ่อได้ คุณป้าพิศก็เลยยกคุณแม่ให้กับคุณพ่อ ตอนนั้นคุณแม่ยังเด็กอยู่ ก็มีลูกกับคุณพ่อ 7 คน”

“คนโตพี่พาภรณ์ เสียนานแล้ว ไม่มีครอบครัว ตอนหลังท่านเสียสติ หลังจากจบอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ไปอังกฤษแล้วโดนแกล้งคุณแม่ต้องไปรับตัวกลับมา คนที่สองชื่อพรจันทร์ เป็นภรรยานายทหารเรือ พล.ร.อ.วินิจ ศรีพจนาถ คนที่ 3 พี่ชาย พล.ต.ชัยจุมพล ผมเป็นคนกลาง น้องสาวอีก 2 คน พวงแก้ว กับผจี ผจีอยู่ที่นครชัยศรี พวงแก้วอยู่กับสามีและหลานๆ ที่ลาดพร้าว”

ความจริงพระยาพหลนามสกุลพหลโยธิน แต่ลูกๆ มาเปลี่ยนเป็นพหลพลพยุหเสนา


“คุณแม่บอกว่าบรรดาศักดิ์ของคุณพ่อจะสูญหาย พหลโยธินมันเยอะ ดีก็มีชั่วก็เยอะ เพราะฉะนั้นเอาบรรดาศักดิ์ของคุณพ่อมาเป็นนามสกุล ก็ทำขอกระทรวงมหาดไทย ผมกับน้องชาย พี่ชายก็ขอใช้ มาเป็นพหลพลพยุหเสนา”

“อาแมว” รับว่า เอาใจช่วยเสื้อแดง แต่บางอย่างก็ไม่ไหวเหมือนกัน เช่นการยกม็อบไปพัทยา หรือแท็กซี่ปิดอนุสาวรีย์ชัย


“ผมเป็นทหารได้คลุกคลีกับชาวบ้าน เห็นความเดือดร้อนของเขา เพราะฉะนั้น 30 บาทรักษาทุกโรคมันอาจจะไม่ได้ดีที่สุดแต่มันก็ยังดีที่ทำให้เขาได้พบหมอ สมัยก่อนผมได้แต่ช้ำใจ เพราะผมช่วยเขาไม่ได้ เนี่ยลุงป้าไม่สบายทำไมไม่ไปหาหมอ ฉันจะเอาเงินที่ไหนไปหา เราได้ยินทีไรเราช้ำใจแต่เราช่วยเขาไม่ได้ แล้ววันดีคืนดีมีคนชื่อทักษิณบอกว่า 30 บาทรักษาทุกโรค” นี่ยอมรับตรงๆว่าชอบทักษิณในบางเรื่อง

แล้วที่เสื้อแดงจะชุมนุมวันที่ 24 ให้เป็นวันชาติ

“อย่าพรวดพราดๆ อย่าชิงสุกก่อนห่าม ตื๊อเท่านั้นครองโลก ตื๊อเข้าอย่ารุนแรง ตื๊อเข้าไปจนกว่าคนในประเทศเขาจะเห็นใจ และคนรอบๆ เราเห็นใจจนทั่วโลกเห็นใจ อองซานซุจีดูสิกี่สิบปี แกเจ็บตัวไม่เป็นไร แต่คนทั้งโลกจะมองพม่ามากแค่ไหน เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาตัวเป็นที่ตั้ง เหมือนอย่างคราวที่แล้วดันไปเอาทักษิณเป็นที่ตั้ง พวกตามล้างตามเช็ดตามกระทืบ ครอบครัวเขาเดือดร้อน ฉะนั้นค่อยเป็นค่อยไป ตื๊อ ฝ่ายนั้นเขามีคนครอบกบาลอยู่ ฝ่ายนี้ไม่มีอะไรสักอย่าง”

ตอนนี้ก็มีคนกลับมาพูดว่าคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม ไม่น่ารีบปฏิวัติ

“แล้วถามว่าเขาทำอะไรบ้างที่จะทำให้คนได้รู้จักประชาธิปไตย ไม่มีทาง ถ้าเผื่อไม่ทำมันก็ยังเป็นราชาธิปไตย ไม่มีหรอกที่ราชาธิปไตยจะเอาประชาธิปไตยมาให้”