วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บทเรียนจากสกลนคร / หัวโขน หัวคน

ที่มา สยามรัฐ

วิทยา ตัณฑสุทธิ์23/6/2552

บทเรียนจากสกลนคร

ผลการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 3 สกลนคร เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2552 ซึ่งพรรคเพื่อไทยชนะพรรคภูมิใจไทยแบบขาดลอย ทำให้มีคนในวงการเมืองวิเคราะห์ถึงสาเหตุดังนี้

ข้อแรก พรรคภูมิใจไทยประเมินกลุ่มพ..ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่ำเกินไป และยกตัวเองสูงเกินไป ซึ่งขัดต่อหลักพิชัยสงครามของซุนหวู่เรื่องรู้เขา รู้เรา จึงแพ้อย่างยับเยิน

ข้อที่สอง บารมีกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ สู้บารมีกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้ แม้พรรคภูมิใจไทยจะกุมอำนาจในกระทรวงมหาดไทยและมีแรงอัดฉีดสูง แต่ก็ยังแพ้กลุ่มที่เชียร์ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร

ข้อที่สาม พรรคภูมิใจไทยไม่ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำหลักและมีพลังมากพอที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ในศึกเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร ปรากฏว่าคนในประชาธิปัตย์ต่างวางเฉย

สิ่งที่พรรคภูมิใจไทยควรทำก็คือ ต้องทบทวนยุทธศาสตร์ในการอยู่ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถ้าภูมิใจไทยไม่สามารถกวาด สส.ภาคอีสานใต้ได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ก็จะทำให้อำนาจต่อรองของภูมิใจไทยลดต่ำลง จะหวังให้ประชาธิปัตย์ชื่นชมยินดีหรือเอาอกเอาใจเหมือนตอนที่จับมือร่วมรัฐบาลอีกไม่ได้

นั่นเป็นข้อวิเคราะห์ในเชิงกว้าง ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำคัญของพรรคภูมิใจไทย

การเมืองไทยในอนาคตจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างอุดมการณ์และความชั่วร้าย พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยจะต้องทำศึกหนักกันต่อไป เพื่อให้ประชาชนเชื่อถือศรัทธา และจะมีพรรคเกิดใหม่เป็นตัวแปรแทรกเข้ามาคือ พรรคการเมืองใหม่ของกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ กับพรรคมาตุภูมิ

พรรคการเมืองใหม่ ซึ่งเป็นพรรคของพวกม็อบเสื้อเหลือง ได้ประกาศว่าจะปฏิรูปการเมืองให้พ้นวงจรความชั่วร้าย จะยึดแนวทางความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรม ความเป็นธรรมในสังคม และพร้อมเล่นการเมืองทั้งในรูปแบบและนอกรูปแบบ โดยมีคนชั้นกลางเป็นแนวร่วม

ส่วนพรรคมาตุภูมิ เป็นพรรคของกลุ่มสีเขียว ซึ่งมีทั้งพวกที่ปลดเกษียณแล้ว และพวกที่ยังกุมอำนาจที่พร้อมให้การสนับสนุน พรรคนี้ยึดหลักความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูง และมองเห็นจุดอ่อนข้อบกพร่องของนักการเมืองในพรรคต่างๆอย่างทะลุปรุโปร่ง โดยมีกลุ่มชนชั้นนำในสังคม กับพวกอมาตยาธิปไตยซึ่งได้แก่พวกข้าราชการเป็นแนวร่วม

พรรคการเมืองใหม่และพรรคมาตุภูมิมีสิทธิแจ้งเกิด เพราะการเมืองไทยเสื่อมโทรมมานานกว่าสามปี ประชาชนอยากเห็นบ้านเมืองร่มเย็นสงบสุข ไม่มีการแตกแยกทำลายกันอีกต่อไป

แต่ไม่ว่าพรรคการเมืองไหนจะแสดงบทบาทกันอย่างไรก็ตาม สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือประชาชนไทยในยุคนี้ ได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นทุกขณะ ประชาชนไม่ต้องการนักการเมืองทุจริตโกงกิน ไม่ต้องการพวกหน้าซื่อใจคดมือถือสากปากถือศีล แต่อยากได้นักการเมืองที่ซื่อสัตย์มือสะอาด มีความรู้ความสามารถ มีความเที่ยงธรรม และไม่มีระบบสองมาตรฐาน

ถ้าพรรคการเมืองใดสนองตอบความต้องการของประชาชนได้ พรรคการเมืองนั้นจะยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคง แต่ถ้าพรรคใดละเลยเพิกเฉย หรือไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ประชาชนต้องการ พรรคการเมืองนั้นก็จะสูญหายตายจากไป