วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิถีประชาธิปไตยเพื่อความสงบสุข(ตอน2):การปฏิวัติสังคม

ที่มา Thai E-News


โดย ทหารอาชีพ
1 กรกฎาคม 2552

การเดินงานด้านการเมือง จะมีสามส่วนคือ แกนนำที่มีวินัย หน่วยปฏิบัติหรือกองทัพ และ แนวร่วม


การปฏิวัติในสังคมต่างๆ

การศึกษาการเปลี่ยนแปลงสังคมในต่างประเทศแล้วนำมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย มีความหมายสำคัญทั้งในแง่ที่จะตรวจสอบปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

แนวโน้มโดยสรุปจากประสบการณ์คือ ประวัติศาสตร์จะพัฒนาไป ประชาชนจะมีอำนาจเสมอ ในขณะเดียวกันถ้าสร้างเงื่อนไขชุดเดียวกันซ้ำ ก็จะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเช่นกัน เพียงแต่มีรายละเอียดที่ต่างกันในแต่ละพื้นที่เท่านั้น ผู้ปฏิบัติงานสามารถจำลองแนวคิดดังกล่าวในระดับจังหวัด ตำบลและหมู่บ้านเพื่อจำกัดปัญหาของฝ่ายเรา และขยายผลเงื่อนไขของฝ่ายตรงกันข้าม

อย่างไรก็ตามหากจะสรุปทิศทางความขัดแย้งแล้วจะพบว่า ฝ่ายที่อยู่กับประชาชนเป็นฝ่ายประสบชัยชนะเสมอ หน้าที่ของฝ่ายเราคือการดึงประชาชนมาเป็นน้ำให้กับฝ่ายเราซึ่งเป็นปลาให้ได้มากที่สุด การศึกษาปัจจัยและเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงสังคมทั้งในตะวันตก และตะวันออกนั้นขอให้ศึกษาจากเอกสารและเวปไซท์ในเรื่องต่อไปนี้

- การปฏิวัติในอังกฤษ
- การประกาศอิสรภาพของสหรัฐ
- การปฏิวัติในฝรั่งเศส
- การปฏิวัติในรัสเซีย
- การปฏิวัติในจีน
- การปฏิวัติในอิหร่าน
- การปฏิวัติในฟิลิปปินส์
- การเมืองในยุโรปเหนือ ได้แก่ สวีเดน นอร์เวย์ และฮอลแลนด์
- วิวัฒนาการของมนุษย์
- ลังกาสุกะ (ปัตตานี) และ ชาวสยาม


ทั้งนี้ควรศึกษาถึงปัจจัย และสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแต่ละสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่จะทำไปสู่การปฏิวัติสังคม เพราะการทราบสาเหตุ จะสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่รุนแรงหรือค่อยเป็นค่อยไปได้อย่างเหมาะสม ในพื้นที่ซึ่งมีความขัดแย้งอย่างรุนแรง

การจัดตั้งมวลชนที่เข้มแข็งและการมีหน่วยกำลังที่มีประสิทธิภาพ มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่า มีคุณภาพมากกว่าและทั้งแกนนำ มวลชนตลอดจนหน่วยกำลังมีความคิดทางการเมืองที่ก้าวหน้า คือปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

เป้าหมาย

- เป้าหมายระดับชาติคือมีแนวร่วมพื้นฐานในระดับล้าน หรือ หลายล้านคน และมีกองกำลังประชาชนติดอาวุธที่เข้มแข็งพร้อมเข้าปฏิบัติการในจำนวนที่เหมาะสมโดยมีอาวุธ และเทคโนโลยีที่เหนือกว่า และมีแนวร่วมทางตรงร้อยละ 25 ของประชากรทั้งประเทศ มีการสื่อสารทั่วถึงระหว่างแกนนำและมวลชน ทำการชุมนุมย่อยสะสมกำลังมากกว่าชุมนุมใหญ่เพื่อแสดงพลัง มีระบบสื่อสารที่รวดเร็วและปิดลับระหว่างแกนนำในทุกระดับ เมื่อหมุนเวียนการชุมนุมย่อยจนมั่นใจและได้จำนวนแล้วจึงรุกใหญ่ครั้งเดียว

- เป้าหมายระดับพื้นที่ (3-5 จังหวัด) มีแนวร่วมพื้นฐานในระดับแสนคน และมีกองกำลังประชาชนติดอาวุธที่เข้มแข็งพร้อมเข้าปฏิบัติการจำนวนที่เหมาะสม โดยมีอาวุธและเทคโนโลยีที่เหนือกว่า และมีแนวร่วมทางตรงและทางกลับร้อยละ 25 ของประชากรในพื้นที่ มีการนับจำนวนและแยกประเภทที่แน่นอนลงในแผนที่

- งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยต้องนำไปสู่การปรับปรุงรายได้และสวัสดิการของประชาชนที่เป็นมวลชน โดยเป็นรูปแบบของระบอบประชาธิปไตยรัฐสวัสดิการแบบยุโรปเหนือ ซึ่งขณะนี้ได้รับการยอมรับว่า เป็นสังคมที่น่าอยู่มากที่สุดในโลก

- ทุกสังคมเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เมื่อคนรับเทคโนโลยีใหม่ทำมาหากินจนเป็นการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ก็ใช้วัฒนธรรมและศาสนาที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่นี้นำเศรษฐกิจ จากนั้นเศรษฐกิจ นำการเมือง จบลงด้วยการเมืองนำการทหาร ในขั้นตอนสุดท้าย

- มีสื่อประชาสัมพันธ์ความจริงเข้าถึงอย่างทั่วถึงอย่างน้อยแนวร่วมพื้นฐาน แนวร่วมทางตรงและช่วงชิง

- ยึดแนวทางระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นกรอบแนวทางที่สำคัญ และเน้นด้านรัฐสวัสดิการเป็นเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึง โดยมีการสร้างขึ้นมาด้วยการปฏิบัติตั้งแต่ระดับหมู่บ้านขึ้นมา จนถึงระดับประเทศขึ้นอยู่กับสถานการณ์

- ทำลายความน่าเชื่อถือและกำลังติดอาวุธของฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดเวลา จนสถานการณ์สุกงอมพร้อมต่อการ รุกใหญ่อย่างรวดเร็ว

- หน่วยปฏิบัติการทั้งในส่วนกลาง และในพื้นที่มีการอ่านและจดจำเอกสารฉบับนี้ สามารถอธิบายวิธีการเดินงานมวลชนให้กับแนวร่วมพื้นฐานและแนวร่วมทางตรงได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถคัดเลือกผู้ที่เอาการเอางานที่มีไหวพริบและความเข้าใจในเอกสารนี้อย่างดีเป็นกองกำลังประชาชนได้



ภาค 1 ด้านการเมือง

แนวคิดทั่วไป

- ต้องใช้การเมืองนำการทหารเสมอ ถ้าใช้ทหารนำการเมืองคือความพ่ายแพ้ที่แน่นอน
- เมื่อมีการกดขี่ทางการเมือง การขูดรีดทางเศรษฐกิจที่ไหน จะมีการต่อสู้ที่นั่น
- พึงระลึกว่า ประชาธิปไตยไม่เคยได้มาด้วยการร้องขอ
- การต่อสู้ทางการเมืองต้องมีกระบวนการต่อสู้ 4 ประการได้แก่ ความเป็นระเบียบ จังหวะก้าวที่พร้อมเพรียงกัน มีหน่วยปฏิบัติการที่ยอดเยี่ยมมีประสิทธิภาพ และ ต้องมีอาวุธที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม


การเดินงานด้านการเมือง

- การเดินงานด้านการเมือง จะมีสามส่วนคือ แกนนำที่มีวินัย หน่วยปฏิบัติหรือกองทัพ และ แนวร่วม
- แกนนำที่มีวินัยจะเกิดเพราะ มีการศึกษาทฤษฎีการเมืองประชาธิปไตยและเชื่อว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่มีข้อยกเว้นในระดับประเทศและในระดับที่หน่วยปฏิบัติการอยู่
- แกนนำที่มีวินัยจะเกิดเพราะ ศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆ และเข้าใจดีว่าขณะนี้ กลุ่มของตนอยู่ ณ จุดไหนของการต่อสู้นั้น
- แกนนำที่มีวินัยจะเกิดเพราะ มีการวิจารณ์ตัวเอง ได้แก่ การแสดงความบกพร่องของตนต่อเพื่อนในที่เปิดเผยหรือที่ประชุมของประชาชน ในทำนองการปลงอาบัติของพระ แล้วให้คำมั่น หรือสมาทานว่าจะประพฤติตัวใหม่ และ ต้องวิจารณ์ตัวเองได้ว่า มีข้อดีในการปฏิบัติงานอะไรบ้างเพื่อให้คนอื่นๆ ปฏิบัติตาม
- แกนนำที่มีวินัยจะเกิดเพราะ อ่านทฤษฎีและประวัติศาสตร์การต่อสู้ต่างๆจนจำได้เข้าใจแล้วนำไปประเมินผลกับการปฏิบัติจริงว่า จากความจัดเจนในการทำจริงนั้น มีสิ่งใดสอดคล้องหรือ ขัดแย้ง กับทฤษฎีบ้าง จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ให้เป็นไปตามกรอบทฤษฎีที่ต้องการหรือต้องปรับทฤษฎีใหม่เนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างออกไป แล้วกำหนดเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานต่อไป
- แกนนำที่มีวินัยจะเกิดเพราะ แกนนำทุกระดับมีการติดต่อพูดคุยให้ข่าวสารกันอยู่เสมอ แกนนำในระดับย่อย พูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกับมวลชนอย่างสม่ำเสมอแล้ว รายงานไปให้แกนนำที่เป็นศูนย์กลางทราบ ตลอดเวลา แกนนำที่เป็นศูนย์กลางไม่ละเลยข้อมูลนั้น ปรึกษาหารือกำหนดแนวทางการทำงานต่าง ๆ แล้วแจ้งกลับลงไปเป็นทอด ๆ จนถึงระดับมวลชน การจับกลุ่มของแกนนำและมวลชน เป็นไปในลักษณะเครือข่าย ไม่ใช่ลักษณะนายกับลูกน้อง
- แกนนำที่มีวินัยจะเกิดเพราะ มีการทำแผนที่สถานการณ์ขึ้นในระดับแกนนำที่เป็นศูนย์กลางแล้ว กำหนดความต้องการข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ กำหนดการปฏิบัติการ กำหนดแกนนำและมวลชนในแต่ละพื้นที่อย่างละเอียด วางระบบการติดต่อสื่อสารไปยังที่ล่างสุดหรือไกลสุด และมีการวางถึงระดับแกนนำที่เป็นศูนย์กลางเพื่อให้ทราบข้อมูลพร้อม ๆ กับแกนนำในระดับพื้นที่เสมอ

- แนวร่วมมีสามประเภทคือ แนวร่วมพื้นฐานได้แก่ผู้ที่มีความขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจหลักในพื้นที่นั้นหรือบริบทนั้น แนวร่วมทางตรงได้แก่ผู้ที่เห็นใจและให้การสนับสนุนการดำเนินการของฝ่ายเรา กับแนวร่วมมุมกลับ ได้แก่ กลุ่มที่มีการกระทำเป็นคุณกับฝ่ายเราโดยไม่รู้ตัวเช่น ใช้การกลั่นแกล้งมวลชนทั่วไปแบบเผด็จการ ก็กลายเป็นการผลักดันให้ฝ่ายเราได้เปรียบเป็นต้น
- แนวร่วมพื้นฐานซึ่งมีความขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจ (ของลัทธิมาร์กซ์นับเอากรรมกร ชาวนาเท่านั้นซึ่งแคบไป และหากมาใช้ในทุกที่แล้วจะพบว่าในบางสถานการณ์ไม่ใช่กรรมกรและชาวนาที่มีความคับแค้น) จะขยายตัวจากการให้การศึกษาและการติดต่ออย่างใกล้ชิดแบบเครือข่ายและปิดลับแกนนำระดับล่าง จนมีจำนวนมากและมีจังหวะก้าวเท่ากับแกนนำ ความสำเร็จของแนวร่วมพื้นฐานคือการกล้าออกมาต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว และมีจำนวนเป็นล้านคน หากไม่มีพอยังไม่เคลื่อนไหวขั้นแตกหัก ต้องรอให้มวลชนตัดสินใจเอง
- แนวร่วมทางตรงคือผู้ให้การสนับสนุน ด้วยความเห็นใจและกำลังแรงกำลังทรัพย์ แต่ยังไม่มีความเด็ดเดี่ยว พอที่จะร่วมปฏิบัติการ แนวร่วมทางตรงเป็นกลุ่มเปิดเผย มีการขยายตัวจากการได้รับการศึกษาและการร่วมงานกับแกนนำระดับต่างๆอย่างใกล้ชิด
- แนวร่วมมุมกลับ อาจเกิดจากความไร้เดียงสา หรือความโหดร้ายของฝ่ายเผด็จการ หรือความขัดแย้งกันเองระหว่างกันของกลุ่มเผด็จการทำให้ประชาชนหันมาเป็นแนวร่วมของฝ่ายเรามากขึ้น ปกติการเกิดแนวร่วมมุมกลับจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเราเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นถ้าหากเห็นว่าคู่ขัดแย้งพยายามกระทำการที่โหดร้าย หรือ หลงระเริงในอำนาจกอบโกยผลประโยชน์อย่างไม่หยุดยั้งฝ่ายเราก็ควรส่งเสริมให้ฝ่ายมีอำนาจนั้นได้กระทำการเช่นนั้นอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดผลร้ายต่อฝ่ายคู่ขัดแย้งนั้นเอง อย่างไรก็ตามฝ่ายเราก็จะยังคงคัดค้านการกระทำของคู่ขัดแย้งอย่างเข้มแข็งต่อไปเพื่อชี้ให้ฝ่ายที่ยังไม่ตัดสินใจได้เข้ามาร่วมกับฝ่ายเรามากขึ้น
- หน่วยปฏิบัติการหรือกองกำลัง ได้แก่ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเข้มงวดและมีประวัติการถูกกระทำอย่างโหดร้ายจากฝ่ายเผด็จการ ถึงกระนั้นก็ต้องระวังแผนวัสสการพราหมณ์หรือบังทองให้จงดี
- หน่วยปฏิบัติการหรือกองกำลังทุกคนต้องมีความชำนาญในทฤษฎีทางการเมืองและกลยุทธในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเข้มขัน สามารถตัดสินใจอย่างเป็นอิสระเพื่อให้ส่วนรวมได้เปรียบทางการเมือง มีเครื่องมือสำหรับการติดต่อสื่อสารอย่างครบถ้วนทุกชุดย่อย มีผู้สั่งการที่แน่ชัด
- หน่วยปฏิบัติการหรือกองกำลังทุกคนได้รับการฝึกงานในหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเมื่อเทียบกับหน่วยปฏิบัติการหรือกองกำลังของคู่แข่งขันที่จะเผชิญหน้ากันแล้ว ต้องมีขีดความสามารถ คนต่อคนสูงกว่า เสมอ
- หน่วยปฏิบัติการหรือกองกำลัง ต้องได้รับมอบเครื่องมือ และอุปกรณ์ทุกชนิดที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับ หน่วยปฏิบัติการหรือกองกำลังของคู่แข่งขันที่จะเข้าปฏิบัติการกับฝ่ายเราเสมอไม่มีข้อยกเว้น หากไม่มีเครื่องมือพอจะต้องไม่ริเริ่มจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการหรือกองกำลังนั้น ผู้เข้าไปจัดตั้งต้องระลึกถึงเงื่อนไขนี้เสมอ