วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"ผมเป็นข้าราษฏร" โดย........จักรภพ เพ็ญแข

ที่มา thaifreenews



เขียนโดย จักรภพ เพ็ญแข
วันพฤหัสบดีที่ 02 กรกฏาคม 2009 เวลา 02:51 น.

alt “ทำไมต้องกัมพูชา?”


ใคร อยากจะรบกับกัมพูชาเต็มแก่เพราะกรณีปราสาทพระวิหารก็ดี เพราะเชื่อว่าเขาอนุเคราะห์คุณทักษิณในทางการเมืองก็ดี หรือเพราะหาเหตุแห่งความล้มเหลวไม่เป็นท่าของเมืองไทยในวันนี้ไม่พบเลยอยาก โทษคนอื่นว่าเขาเป็นต้นเหตุก็ดี โปรดฟังทางนี้ก่อน

การหาเหตุทะเลาะกับเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ถึงขนาดขู่เข็ญจะยกทัพข้ามพรมแดน ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย หากเป็นสันดานเก่าแก่หลายร้อยปี และเป็นสันดานชนิดแก้ไม่หายของชนชั้นปกครองเมืองไทย

ไม่ได้เกี่ยวกับประชาชนชาวไทยและชาวกัมพูชาทั้งนั้น

ลองทบทวนดูสิครับว่าเหตุพิพาทคราวนี้เกิดขึ้นอย่างไร?

อ่านต่อ และแสดงความคิดเห็น

เริ่มต้นก็ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแต่งเรื่องขึ้นมา “เล่น” โดยทำประหนึ่งว่าได้เกิด “การสูญเสียบูรณภาพแห่งดินแดน” ขึ้นมาแล้ว ช่วยกันตีฆ้องร้องป่าวกันราวกับคนบ้า ทำทุกอย่างเพื่อให้กระทบต่อรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีประชาธิปไตย ๒ ท่านคือคุณสมัคร สุนทรเวชและคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถึงขนาดส่งคนปีนข้ามรั้วไปนั่งสมาธิอยู่ในบ้านเขาก็ยังอุตส่าห์ทำ


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต้องลาออกไปหนึ่งคน และรัฐบาลของประชาชนก็อยู่ไม่ได้

จากนั้นก็สั่งให้ทหาร “เล่น” ต่อ ด้วยการส่งกำลังจากกองทัพภาคที่สอง ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายถือปฏิบัติตลอดมาว่าจะไม่ละเมิดกัน จนเกิดยิงกัน งามหน้ามาจนถึงวันนี้ว่าฝ่ายไทยสูญเสียไปกว่า ๒๐ ชีวิตในขณะที่ฝ่ายเขาไม่เสียทหารเลยสักนาย

ก็กำลังของเขาอยู่ในที่สูงคือรอบองค์ปราสาท พอฝ่ายไทยฮึกเข้าไปเขาก็สอยร่วงหมด

บัดนี้กำลังฝ่ายไทยก็ยังตรึงอยู่ตามตะเข็บชายแดน จะบุกเข้าไปก็ไม่กล้า เพราะขาดเหตุผลด้วยประการทั้งปวง จะถอยกลับก็ไม่ได้ เพราะคนสำคัญคอยสั่งการอยู่ในที่สูงว่าเอามันให้ได้

ประชาชนใน พื้นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ รักพื้นที่ทำมาหากินของตน ต้องเกิดปะทะกับคนใส่เสื้อเหลืองที่ถูกเขาหลอกให้ขึ้นไป “รักษาเอกราช” ที่ไม่เคยสูญเสียถึงเชิงเขาพระวิหารโน่น คนไทยด้วยกันต้องหลั่งเลือดสังเวยเหตุการณ์ที่ไม่สมควรแก่เหตุเลยสักนิด

alt

ขณะ ที่ทุกอย่างตึงเครียดขึ้นทุกวัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนกัมพูชาสองวัน นัยว่าจะได้สางปัญหาต่างๆ ในเรื่องปราสาทเสียให้เรียบร้อย ปรากฏว่าไปถึงแล้วก็ทำเป็นบ้าใบ้ นายกรัฐมนตรีฝ่ายเขาคือสมเด็จฮุนเซ็นเสนออ้าซ่าว่าจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่อง ปราสาทก็พูดได้ เขายินดีรับฟังทั้งนั้น แต่ฝ่ายไทยกลับตัดบทเอาดื้อๆ ว่าไม่สามารถหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยได้

แต่พอกลับถึงบ้านก็ทำทีเหมือนได้พูดกับเขาแล้ว จัดการตามคำสั่งของคนที่เหนือขึ้นไปอีกว่า
ให้ทำหนังสือไปถึงองค์การยูเนสโกแสดงความมีกรรมสิทธิ์ของไทย

ดูสิครับ

เขา เปิดทางให้เจรจาโดยสันติ ก็ไม่ยอมพูดอะไรกับเขา พอลับหลังเขากลับทำท่าเป็นคนกล้าหาญเสียเต็มประดา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาใจคนสำคัญที่มีอำนาจล้นพ้นอยู่ในบ้านเมืองของตัว เพราะคนตรงนั้นเขาอยากปลุกคนไทยให้เกลียดชังและอยากทำสงครามกับกัมพูชาขึ้น มา เพื่อเล่นเกมคลั่งชาติที่หวังจะสร้างความนิยมยกย่องให้กับตนเองมากขึ้น

ไม่ น่าแปลกใจหรอกครับที่รัฐมนตรีกลาโหมของเขาจะบอกว่ารัฐบาลไทย “หักหลัง” และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเขาบอกเรียบๆ ว่าทางเขาพร้อมทุกอย่าง ทั้งในทางเศรษฐกิจ ทางทหาร และการเจรจาอย่างสันติ พูดอย่างนักเลงก็คือจะเอาอย่างไรกันก็ได้ สุ้มเสียงของเขาคือเหนื่อยใจอย่างหนักกับท่าทีชนิดคาดเดาไม่ได้ของไทย

อภิสิทธิ์ ก็ฝังตัวเองลึกลงไปอีกด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า “เราจะไม่ถอย” (we won’t back down) ซึ่งเป็นการแสดงออกที่สวนทางอย่างยิ่งกับความเป็นอาเซียน เพราะอาเซียนเป็นสมาคมประชาชาติที่ตกลงกันว่าเราจะไม่ทะเลาะกัน มีอะไรก็จะใช้กลไกรอมชอมให้เต็มที่ จะได้ไม่ระเบิดเถิดเทิงขึ้นมา

ผมเข้าใจล่ะครับว่าเขาพูดอย่างนั้นเพื่อหาเสียงกับใคร และเพื่อเอาใจใคร
แต่นี่คือประเทศไทยทั้งประเทศ เอามาใช้สนองตัณหาใครได้อย่างไร

ก่อนหน้านั้นก็มีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาเล่ากันลับหลัง
และแสดงอาการไม่สู้ดีของความสัมพันธ์มาก่อนแล้ว



ตอน ที่ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของพันธมิตรฯ แอบนั่งรถเข้ามายังจังหวัดเกาะกงของกัมพูชาซึ่งอยู่ติดกับจังหวัดตราดไม่นาน มานี้ วันนั้นฝนฟ้าก็ตกกระหน่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ขนาดลงจากรถไม่ได้ แถมยังเกิดฟ้าผ่าข้างรถที่นายกษิตนั่งมาอย่างน่าหวาดเสียวเป็นที่สุด คนที่นั่นเขาก็เลยพูดกันว่าฟ้าดินเขาปฏิเสธคนอย่างนี้

พอ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเอง ก็เกิดเหตุที่รู้กันทั่วไปในข่าว คือเครื่องบินขากลับเกิดเสียอยู่ที่สนามบินโปเช็นตง
ต้อง รอเป็นเวลานานเพื่อเอาเครื่องบินลำใหม่ไปรับ ระหว่างนั้นคนที่ฝ่ายอำมาตย์สั่งมาให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนนี้ก็นั่งคอตก เหงื่อแตกอยู่ในสนามบิน
เป็นที่ขบขันและหมดสง่าราศีอันควรมีควรเป็นของคนในตำแหน่งนี้
เขาก็พูดกันในหมู่การทูตอีกว่าไม่มีการเยือนครั้งใดจะอนาถยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว

ทั้งหมดนี้มาจากสาเหตุเพียงประการเดียวเท่านั้นครับ ผู้มีอำนาจจริงในสังคมไทยเขาชอบที่เราจะทะเลาะเบาะแว้งกับประเทศเพื่อนบ้าน
สมัยที่คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีและกำลังจะร่วมมือในหลายทางกับสหภาพเมียนมาร์
ข่าววงในว่าเขาก็ใช้ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น
จัดการส่งทหารไทยไปในนามชนกลุ่มน้อยไทยใหญ่
และเข้าโจมตีสังหารทหารฝ่ายเมียนมาร์ไปนับร้อยคน
เพื่อทำลายความสัมพันธ์ ในขณะที่ผู้ใหญ่ฝ่ายเขา

พลเอกหม่องเอ กำลังเยือนไทยอยู่ในขณะนั้น
กรณีมาเลเซียก็สั่งให้เล่นเรื่องพุทธกับอิสลามและกรณีคนสองสัญชาติ
จนแทบจะวางมวยกันหลายครั้ง เติมไฟเข้าไปปัญหาห้าจังหวัดชายแดนใต้ซึ่งมักจะหลอกกันว่าครอบคลุมเพียงสามจังหวัด

การหาเรื่องกับราชอาณาจักรกัมพูชาก็เกิดขึ้นตามกรอบความคิดแคบๆ อย่างนี้
ใครที่มองตัวเองว่าเป็นศูนย์กลางของจักรวาลเหมือนศักดินาเมืองไทย
และหลงละเมอไปว่าของขนาดปราสาทพระวิหารหรือนครวัตนครธมเป็นสมบัติส่วนตัว
ถึงขนาดเอาบ้านเมืองไปเดิมพันได้ ก็ประกาศสงครามแทนคนทั้งประเทศตามอกุศลมูลของตัวคือ
โลภะ โทสะ และโมหะ ได้ทั้งนั้นล่ะครับ

ผมอยากให้พวกเราที่รักประชาธิปไตยช่วยกันจดจำไว้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ไทยเราเป็นประชาธิปไตยอยู่บ้าง
ความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านรอบทิศจะแข็งแรงรุ่งเรือง
และช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชนได้อย่างดียิ่ง
แต่เมื่อใดก็ตามที่ศักดินาไทยได้ครองเมือง หรืออำมาตย์สามารถชี้นำทิศทางของชาติได้
เมื่อนั้นความสัมพันธ์และความร่วมมือกับเพื่อนบ้านจะกลับเสื่อมทรามตกต่ำ
จนถึงขั้นมีเรื่องกันในที่สุด เดือดร้อนไปจนถึงพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนนั้นเอง
โดยพวกที่มาก่อเรื่องจากส่วนกลางไม่เคยตามมารับผิดชอบเลยสักนิด

เหตุการณ์ล่าสุดกับกัมพูชาเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ชิ้นล่าสุดว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยไทยนั้น
โง่และโลกแคบ ใช้การไม่ได้และอยู่ร่วมโลกไม่ได้กับการพัฒนาประเทศไทยในสากล

ตรงกับศัพท์เดิมที่เรียกว่าดักดานนั้นแล

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 03 กรกฏาคม 2009 เวลา 00:46 น.