วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เสื้อแดง เป็น Social Movement ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครในประเทศนี้หยุดยั้งได้

ที่มา thaifreenews

เขียนโดย ลูกชาวนาไทย
วันศุกร์ที่ 03 กรกฏาคม 2009 เวลา 00:30 น.

alt ใครเข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ก็จะเห็นถึงคลื่นพลังของมหาชนเหยียบแสนคน ที่ยืนตากฝนต้านพายุลมแรง กลางสนามหลวงอย่างไม่ท้อถอย ไม่มีใครวิ่งหนีหรือกลับบ้าน แม้แต่จะอยู่กลางพายุฝนขนาดหนักก็ตาม

ผมไม่เคยเห็นคนจำนวนมากขนาดนี้ยอมยืนตากฝนที่ตกขนาดหนักแบบไม่ท้อถอยอย่างนี้มาก่อน ที่วัดไผ่เขียวก่อนหน้านี้แม้คนจะมากและมีพายุลมแรง แต่ประชาชนกว่าครึ่งก็มาหลังพายุฝนผ่านไปแล้ว แม้จะยอมลุยทะเลโคลน แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับสนามหลวงในวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่ประชาชนยอมยืนตากฝนเลย


อ่านเพิ่มเติมและแสดงความคิดเห็นได้ที่นี่


ท่ามกลางสายฝน ผมก็ยังได้ยินเสียงร้องเพลง เสียงปราศรัยบนเวทีไม่ได้ขาดหายไป

คลิ๊กตรงนี้ดู ปฏิบัติการ "ตากฝน 2" มิใช่ ตากสิน2 ภาพจากสนามหลวง

ผมคิดว่าขณะนี้คนเสื้อแดงได้กลายเป็นกระบวนการ หรือ ขบวนการที่เรียกกันว่า Social Movement จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในสังคมแล้วครับ มันมีสภาพเหมือนกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว ไม่ว่าใครจะมีบารมี หรือเคยมีบารมี หรือคุมอำนาจกองทัพยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม กองทัพที่รบกับประชาชนส่วนใหญ่ของตัวเอง ไม่มีทางชนะในสงครามเช่นนี้ได้ เพราะยิ่งใช้กำลังยิ่งสร้างเงื่อนไขสงครามปฎิวัติ ตายสิบเกิดแสนอย่างในอดีตที่มีคนกล่าวเอาไว้

การหยุดหรือเบี่ยงเบนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งนี้ ไม่มีทางทำได้ด้วยกำลังทหารหรือด้วยยุทธวิธีทางการทหาร

ในช่วงสงกรานต์เลือดที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นแล้ว่า การใช้ยุทธวิธีทางทหาร จัดการกับการเคลื่อนไหวทางสังคมขนาดใหญ่ทั้งสังคมนั้นทำไม่ได้ มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น และสุดท้ายสังคมจะเคลื่อนไปสู่จุดแห่งการเปลี่ยนแปลงจนได้ การยิง ฆ่าทำลาย ใช้ความอยุติธรรม ยิ่งกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีกว่าเติบโตต่อไปเรื่อยๆ

การเอาชนะกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแบบนี้ได้ จะต้องมีอุดมการณ์ที่เหนือกว่าเท่านั้น หากอาศัยแต่ กรอบความคิดเดิมของลัทธิเทวราชา กับระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เดิมมานั้น ผมไม่คิดว่าจะสามารถเอาชนะ อุดมการณ์ประชาธิปไตย ความยุติธรรมในสังคมครั้งนี้ได้

ช่วยไม่ได้ที่ ด้วยความระแวง อำมาตย์ไปจุดไฟที่สุมอยู่ใต้ขอนแห่งความไม่เท่าเทียมกัน ระเบิดขึ้นมา

ในศตวรรษที่ 21 แนวคิดบูชาตัวบุคคล ไม่อาจปรับมาใช้ได้หรอกครับ เพราะ "โลกทรรศน์" ของประชาชนเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่กรอบแบบ พุทธปนฮินดูแบบหนังสือไตรภูมิพระร่วงเดิมๆ คนรุ่นใหม่มีน้อยคนที่มีกรอบความเชื่อเรื่องบุญบารมีข้ามภพข้ามชาติแบบนั้น และมันก็ยังค้านกับคติพุทธที่บริสุทธิ์ด้วย

ผมจึงไม่กลัวว่า ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยหรือ กอ.รมน. จะวางแผนให้หัวแตกอย่างไร ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนคนที่ตาสว่างให้หลับตาไปได้หรอกครับ

ยกเว้นแต่จะเปลี่ยนกรอบแนวคิด ชิงปฎิรูประบอบประชาธิปไตยเหมือนในสมัย ร. 5 ที่ชิงปฎิรูปสังคม ก่อนตะวันตกจะมาบังคับให้ปฎิรูป

บ้านเมืองเปลี่ยนไปแล้ว กรอบแนวคิดล้าหลังแบบเดิม ไม่อาจดึงรั้งสังคมได้ อีกแล้วครับ

ผมว่าคนยุคนี้เชื่อในนิยายจักร ๆ วงศ์ ๆ น้อยมาก และการโปรประกันดา ในยุคอินเตอร์เน็ตไม่มีทางได้ผล เพราะประชาชนสามารถสื่อกันได้หลายทาง แนวคิดแบบครอบงำ เจอแนวคิดตอบโต้ที่เหนือกว่าก็พังแล้วครับ

อีกอย่าง การโปรประกันดา แต่ฝ่ายเดียว คนก็ไม่ยอมรับการยัดเหยียดความคิดแบบนั้นแล้ว เราจึงเห็นสื่อทั้งวิทยุและโทรทัศน์ทำงานไม่ได้ผลแต่อย่างใด