วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อำนาจปกครอง ระบอบ ‘ฟาสซิสต์’

ที่มา บางกอกทูเดย์

ถึงวันนี้...มีใครบ้างจะเชื่อว่า ประเทศไทยปกครองด้วย“ระบอบประชาธิปไตย”ในเมื่อประชาชนยังถูกกลุ่มบุคคลที่เรียกตนว่า“ผู้มีอำนาจ” กดขี่ข่มเหงจนโงหัวไม่ขึ้น...ประเทศไทยเรามีดีทุกอย่างเว้นเสียแต่ “คนไทย” ไม่ได้เป็นเจ้าของครอบครองสิ่งมีค่าโดยสมบูรณ์การปกครองทางการเมืองในประเทศไทยทุกวันนี้...ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการปกครองในระบอบ “เผด็จการซ่อนรูป”ซึ่งในอดีตจากปี พ.ศ.2465-2486 นายกรัฐมนตรีจอมเผด็จการแห่งประเทศอิตาลี “เบนิโต มุสโสลินี”ก็ใช้ระบอบการปกครองนี้...ปกครองผู้คนในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2“ฟาสซิสต์” มีแนวคิดสำคัญ คือ รัฐเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าตนหรือบุคคล โดยจะมีบุคคลคนหนึ่งปกครองประเทศเรียกว่า “ผู้นำเผด็จการ”มีอำนาจสิทธิในการควบคุมรัฐบาลและประชาชนซึ่งประชาชนภายในรัฐจะต้องเชื่อฟังผู้นำสูงสุด เพื่อใช้ประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัย และพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องซึ่งสอดคล้องกับประเทศไทยที่ “ผู้มีอำนาจ” ยังยึดติดว่า...ตนหรือบุคคลมีอำนาจเสมอเทียบเทียมกับรัฐ...คิดว่าตนมีอำนาจเหนือ “ประชาชน”เปรียบเสมือนการวางอำนาจการปกครองใน “ระบอบอมาตย์” ที่กำลังขับเคลื่อนประเทศให้เป็นไปอยู่ในเวลานี้จอมบงการที่มีอำนาจบาตรใหญ่...ใช้อำนาจตามอำเภอใจโดยไม่ฟังสิทธิฟังเสียงของประชาชนการเมืองไทยหลายยุคสมัย...ผู้มีอำนาจที่แท้จริงมักไม่ใช่ผู้นำ ซึ่งก็คือ “นายกรัฐมนตรี” ที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามาบริหารอำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของประชาชน

เหมือนการเลือกตั้งทุกครั้ง...เพื่อต้องการให้ประชาชนไปเลือกตั้งหวังลดความกดดันของกระแสประชาธิปไตยเพียงเท่านั้นถูกต้องหรือไม่! ที่คนไทยบางคนเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยแค่ 5 นาที เฉพาะตอนกาบัตรออกเสียงเพราะหลังจากนั้น รัฐบาลที่ประชาชนเลือกให้ปกครอง...ต้องเข้าไปอยู่ใน“ร่มเงา” คำบงการของเผด็จการที่กุมอำนาจทางการเมืองวัฒนธรรมการเมืองในบ้านเรา...ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ช่วงก่อนปฏิวัติ 19 กันยา 49 การเมืองภาคประชาชนยังคงอ่อนแอประชาชนเสพข่าวสารเพียงด้านเดียว...อีกทั้งยังขาดการวิเคราะห์วิธีคิดอย่างเป็นระบบลองนึกถึงคำขวัญของฟาสซิสต์ที่ว่า “สามัคคีคือพลัง”แล้วลองนำมาเทียบเคียงกับคำป่าวประกาศของผู้มีอำนาจในประเทศยามนี้ว่า มีความ “สอดคล้อง” กันหรือไม่??สิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการ “ความสามัคคี” คือ ความสามัคคีที่ต้องการให้คนในชาติ “รักใคร่ปรองดอง” ด้วยความสมานฉันท์ หรือเป็นความต้องการที่ไม่อยากให้เกิดความ “กระด้างกระเดื่อง”การกระทำที่ผ่านมา...ส่งผลให้เห็นภาพชัดเจน ประชาชนคนไทย “ตาสว่าง” รู้กันไปทั่วแล้วว่า “ผู้มีอำนาจ”ไม่อาจละทิ้งซึ่งสิ่ง “ลวงตา” ที่เรียกว่า “พลังอำนาจ”เมื่อความจริงเปิดเผย...ประเทศไทยกำลังย่างก้าวเข้าสู่ “ยุคชาววิไล” อีกไม่นานเกินรอเราคงได้เห็นเหล่า“อมาตย์” ต้องพบจุดจบอย่างทรมาน อันเนื่องมาจาก“ผลกรรม” ที่ทำตกไว้กับแผ่นดินเชื่อเถิดว่า...การวางอำนาจปกครองในระบอบ “อมาตย์” ที่ทำอยู่ในเวลานี้...อีกไม่นานจะถึงกาลอวสานและล่มสลาย!!ซึ่งผู้ที่ทำลายนั่นก็คือ พลังอันเข้มแข็งของ “ประชาชน”