วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

ผ่านไป10เดือนยึดสนามบิน หัวโจกโจรระรื่นเซ็นรับข้อหาเหยียบหญ้าตาย

ที่มา Thai E-News


ยึดทำเนียบยับเปลี่ยนเป็นคดีเหยียบหญ้าตาย-ไอ้ใสหน้าระรื่นระหว่างพิมพ์นิ้วมือรับคดีเหยียบหญ้าทำเนียบตายเสียหาย6ล้านจากคดียึดทำเนียบนาน4เดือน ส่วนคดีก่อการร้ายยึดสนามบินผ่านไปครบ10เดือน ตำรวจเกรงใจออกหมายเรียกรอบ2 ยังไม่ออกหมายจับ

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
25 กันยายน 2552

ครบ 10 เดือนผู้ก่อการร้ายพธม.ยึดสนามบิน ตำรวจย่องแย่งทยอยเรียกหัวโจกก่อการร้ายรอบสอง สุดหน่อมแน้มปรับวิธีทยอยเรียกคราวละ 3-5 คน ประสาทเสียกลัวม็อบมีเส้นยกพวกเขย่าขวัญ เผยออกหมายจับเลยก็ได้แต่ให้เกียรติโจรเพราะเกรงใจ รอไม่เสด็จมาในครั้งที่ 2 จะขอศาลออกหมายจับซะที อ้างเป็นไปตามหลักกฎหมาย ส่วนคดียึดทำเนียบเปลี่ยนเป็นคดีจิ๊บจ๊อยเหยียบหญ้าตายเสียหาย6ล้านแล้ว หัวโจกโจรรีบโผล่ไปรับคดี


หลังจากพันธมิตรยึดสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.2551 ไม่มีการดำเนินคดีใครเลยมาครบ10เดือนเต็มพอดี ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อช่วงบ่ายวันนี้(25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวนสน.ดอนเมือง และสภ.ราชาเทวะ จ.สมุทรปราการ นำแฟ้มสำนวนคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งมีจำนวน 42 แฟ้มมามอบให้พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผช.ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพธม. ปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง

พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า หลังจากที่ตนมอบนโยบายให้คณะทำงานของคดีพธม. ปิดสนามบินเมื่อวันที่ 16 กันยายัน ที่ผ่านมานั้น ได้พูดคุยกันเรื่องการออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาให้รับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งตามมติเดิมคือวันที่ 17 ก.ย. และ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา แต่ตนเห็นว่าไม่เหมาะสมเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว ตรงกับวันที่ 19 ก.ย. ซึ่งเป็นวันที่กลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เกรงว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อ เพราะเราก็ไม่รู้ว่ากลุ่มเสื้อแดงจะชุมนุมถึงเมื่อไหร่ การทำงานอาจลำบากและต้องแบ่งกำลังตำรวจมาดูแลในส่วนของการออกหมายเรียกในคดีปิดสนามบินอีก ตนมีความเห็นว่าน่าจะเลื่อนออกไปก่อน

พล.ต.ท.สมยศ กล่าวถึงกรณีการพิจารณาวิธีการเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาเป็นสองส่วนไม่รวมกันทีเดียวเหมือนครั้งที่ผ่านมา และพิจารณาทยอยเรียกคราวละ 3-5 คน ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนของสน.ดอนเมืองและสภ.ราชาเทวะ ซึ่งความเห็นตรงนี้ถือเป็นความเห็นเดิมของคณะทำงานที่มี พล.ต.ท. วุฒิ พัวเวส เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ซึ่งตนเห็นด้วย และคาดว่าจะเริ่มออกหมายเรียกในต้นเดือนตุลาคมนี้

“การเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาถือเป็นสิทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาว่าจะมาหรือไม่มาก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่โดยหลักการแล้วในข้อหาที่แจ้งไปนี้ มีอัตราโทษสูง ออกหมายเรียกเพียงครั้งเดียวก็สามารถออกหมายจับได้ แต่ทางคณะทำงานก็ถือว่าให้เกียรติ เพราะเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และการออกหมายเรียกสองครั้งก็ถือเป็นประเพณีปฎิบัติ จึงมีการออกหมายเรียกครั้งที่สอง หากไม่มาในครั้งที่สอง ก็ขอให้ศาลพิจารณาออกหมายจับได้ ส่วนการเปลี่ยนข้อกล่าวหาจากข้หาก่อการร้ายนั้น คงไม่สามารถทำได้เพราะเลยขั้นตอนมาแล้ว ก็ควรไปต่อสู้ แก้ข้อกล่าวหากันในชั้นศาล”

พล.ต.ท. สมยศ กล่าวต่อว่า การเข้ามาตำแหน่งหัวหน้าพนักงานสอบสวนในครั้งนี้ไม่รู้สึกกดดันอะไร เพราะทำงานในรูปของคณะกรรมการ และสำนวนส่วนใหญ่ก็เกือบเสร็จสิ้นหมดแล้ว เพียงแต่มารับช่วงให้มีการทำงานได้อย่างเรียบร้อยขึ้น นอกจากนี้พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รรท.ผบ.ตร.ก็ได้ให้นโยบายในการทำงานไว้ด้วยว่า ให้ยึดหลักกฎหมายเป็นหลัก แล้วจะสบายใจ

ในวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และ นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำพันธมิตรเดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ฐานร่วมกันบุกรุกกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมาย อาญา 358 และ 365 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า การเข้าให้ปากคำรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความระหว่างวันที่ 26 ส.ค.ถึง 3 ธ.ค.2551 ว่า แกนนำทั้ง 6 ได้ร่วมกันบุกรุกทำเนียบรัฐบาล ทำให้สวนหย่อมด้านหน้าเสียหาย เป็นมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท จากการสอบสวนทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และยื่นเรื่องขอให้คำให้การอย่างละเอียดเป็นรายลักษณ์อักษรอีกครั้งภายใน 30 วัน ซึ่งพนักงานสอบสวนพิจารณาอนุญาตปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมดชั่วคราว ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางกลับไป ส่วนนายสนธิ ลิ้มทองกุล นั้นได้ส่งทนายขอเลื่อนรับทราบข้อกล่าวหาหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ