วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

เมื่อ"เขา"ตาย

ที่มา Thai E-News


โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
26 กันยายน 2552

หมายเหตุไทยอีนิวส์:รศ.ใจ อึ๊งภากรณ์ ได้เขียนบทความนี้ โดยที่ระบุถึง"เขา" ซึ่งเราก็ไม่อาจทราบได้ว่าหมายถึงผู้ใด แต่ใจระบุถึงระบบอำมาตย์ ก็อาจเป็นไปได้ที่ใจจะหมายถึงพลเอกเปรม ซึ่งเป็นแกนกลางของอำมาตย์ และมีกระแสข่าวลือเรื่องสุขภาพหนาหูในช่วงนี้ แต่หากจะหมายความถึงผู้อื่นนอกเหนือจากพลเอกเปรม ก็อาจเป็นไปได้ที่ใจจะหมายถึงคิมจองอิล ผู้นำเกาหลีเหนือ เพราะไม่มีใครเข้าข่ายเป็น"เขา"เท่ากับคนผู้นี้ในเวลานี้



ผมไม่เชื่อว่าการเขียนบทความที่มีหัวข้อแบบนี้เป็นการสาปแช่งให้ใครตายเร็วหรือช้า เพราะผมไม่เชื่อเรื่องการสาปแช่ง มันเป็นเรื่องงมงาย และการที่มนุษย์เกิดมาก็ย่อมตาย คนแก่มีแนวโน้มตายเร็ว มีแค่นี้

คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะแดงหรือเหลือง หรือสีไหน กำลังรอวันตายของเขา ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันไป เพราะเขามีความสำคัญในสังคม ทั้งบวกและลบ แล้วแต่จุดยืน แต่ประเด็นที่เราต้องมาคิดกันคือ “สำคัญอย่างไร?”

คนเสื้อแดงและคนเสื้อเหลืองจำนวนมากมองว่า เขา คือผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคม ยังกับว่าเราอยู่ในระบบเก่า ผมไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์แบบนี้ แต่ถ้ามันจริง เมื่อ เขา ใกล้ตาย ต้องมีการแย่งชิงอำนาจกันเพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำคนต่อไป มันจะเกิดจริงหรือ? ทหารของผู้หญิงจะรบกับทหารของผู้ชายหรือทหารของนัมเบอร์สองจริงหรือ? ทหารของนายพลอาวุโสจะแต่งตั้งนายพลอาวุโสเป็นผู้นำแทนหรือ? ไม่น่าจะใช่

มันอาจจะแย่งกัน แต่สิ่งที่แย่งกันคือ ว่าใครจะมีสิทธิ์ใช้สถาบันเพื่อสร้างความชอบธรรมกับตนเองมากกว่า

เมื่อ เขา ตาย ผมเดาว่าจะมีการสร้างพิธีงานศพมโหฬาร ใหญ่โต สิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล และจะใช้เวลาอย่างน้อยสองเท่าเวลาที่เขาใช้กับ... อาจถึงห้าปีก็ยังได้ อาจมีงานต่อทุกปีให้ครบสิบปีก็ได้ งานศพนี้จะมีวัตถุประสงค์เดียว (ไม่ใช่เพราะว่าคนทั้งหลายต้องใช้เวลาทำใจท่ามกลางความเศร้าหรอก) แต่เพื่อเสริมสร้างลัทธิอำมาตย์ ที่จะนำมาข่มขู่กดขี่เรา การเสริมสร้างลัทธิอำมาตย์เป็นอาวุธทางความคิดที่สำคัญที่สุดของฝ่ายอำมาตย์ เพราะเวลาอำมาตย์ทำรัฐประหาร ทำลายประชาธิปไตย สร้างสองมาตรฐานทางกฎหมาย ใช้ความรุนแรง กลั่นแกล้งเข่นฆ่าประชนชน ก็ทำในนาม เขา ตลอด โดยคิดว่าถ้าอ้าง เขา แล้วเราพลเมืองทั้งหลายจะเกรงกลัวหรือเกรงใจ และถ้าแค่นั้นไม่สำเร็จ ก็ยังมีกฎหมายหมิ่นฯ กฎหมายหมิ่นศาล กฎหมายคอมพิวเตอร์ และกฎหมายความมั่นคงไว้ปราบเราอีก และถ้าแค่นั้นไม่พอก็ยิงประชาชนท่ามกลางเมืองได้

อำนาจดิบแท้ของอำมาตย์อยู่ที่ทหาร เวลาทหารทำอะไรในอดีต เช่นรัฐประหาร มันไม่ใช่การทำตามคำสั่งของ เขา เพราะ เขา เป็นคนขี้ขลาดทางการเมือง เป็นคนไร้จุดยืนที่แน่นอน และไม่มีศักยภาพที่จะนำอะไร เขาเป็นคนไปตามกระแส เป็นหุ่นเชิดได้ดี ตอนมีนายกที่ประชาชนเลือกมาก็ชม ตอนเผด็จการทหารขึ้นมาก็ชมทหาร พูดให้คนไปตีความเองได้ตามความต้องการ เพื่อจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ยินดีให้คนกราบไหว้ และยินดีสะสมความร่ำรวย

ดังนั้นเวลาทหารตัดสินใจทำอะไร ก็ทำพิธีเหมือนกับจะไปรับคำสั่ง แต่แท้จริงไป “แจ้ง” ว่าจะทำอะไร เขาก็พยักหน้าหรืออาจไม่ให้พบแต่แรก แล้วแต่ว่าความเห็นส่วนใหญ่ของทหารอื่นและผู้ใหญ่อื่นๆจะว่าอย่างไร ตรงนี้นายพลอาวุโสเป็นผู้ประสานงาน แต่ไม่มีอำนาจพิเศษ พอทหารเห็นเขาพยักหน้า ก็รีบออกมาแจ้งสังคมว่าสิ่งที่เขาทำ ทำไปตาม “คำสั่ง” ทั้งนี้เพื่อหลอกให้เราคิดว่ามีความชอบธรรม หรือหลอกให้เรากลัว

เมื่อ เขา ตาย ทหารจะยังมีอำนาจอยู่ ปืนและรถถังไม่ได้หายไปไหน และเมื่อทหารชั้นผู้ใหญ่ตกใจที่เขาตาย ก็ไม่ใช่เพราะ “ไม่รู้จะรับคำสั่งจากใคร” แต่ปัญหาของเขาคือ “ไม่รู้จะหากินกับการสร้างความชอบธรรมจากใครต่อ” มันต่างกันมาก ผมเดาว่าเมื่อ เขา ตาย ทหารจะต้องการยืดงานศพให้ยาวนาน ภาพ เขา จะเต็มบ้านเต็มเมือง และใครที่คิดต่างจากทหารหรืออำมาตย์ หรือใครที่อยากได้ประชาธิปไตยแท้ ก็จะถูกโจมตีว่าต้องการ “ล้มเขา” ทั้งๆ ที่ เขา ตายไปแล้ว ใช่ครับมันไม่สมเหตุสมผล แต่ลัทธิของอำมาตย์มันไม่ต้องสมเหตุสมผลทุกครั้งอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ในขณะที่มีงานศพยาวนานพร้อมการคลั่งและเชิดชูคนที่ตายไปแล้ว ก็จะมีการเข็นทายาทออกมารับหน้าที่ใหม่ ปัญหาของอำมาตย์คือไม่มีใครเชื่อว่าทายาทเป็นคนดีหรือมีความสามารถ ไม่เหมือนเขา ไม่มีใครรัก แม้แต่คนเสื้อเหลืองเองก็ไม่เคารพ แต่การจัดงานศพยาวๆ การ “ไม่ลืมเขา” จะกลายเป็นเครื่องมือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากทายาท นอกจากนี้อำมาตย์ยังมีคนอื่นๆแวดล้อมเขา อีกด้วย เข็นออกมารับงานได้ แต่ประชาชนก็ไม่รักเท่าไร ตั้งแต่ไปมีส่วนในกิจกรรมของพวกพันธมิตรฯ ดังนั้นในเรื่องทายาทและคนแวดล้อมใกล้ชิด ก็ต้องย้ำเสมอว่า “เป็นทายาทเขา เป็นคนใกล้ชิดเขา” เพื่อไม่ให้เราลืมความดีงามของ เขา

ทั้งทายาทและคนใกล้ชิดเขา มีภาพว่าเป็นคนโหดร้าย อาจจริง แต่จะโหดร้ายแค่ไหนก็ไม่มีอำนาจมากกว่าที่เขามีหรือเคยมี ซึ่งเขาก็ไร้อำนาจ แต่เราจะเห็นละครของทหารและข้าราชการ “ไปเข้าพบ” เพื่อ “รับคำสั่ง” ตามเคย บางครั้งอาจเป็นคำสั่งจริงในเรื่องแปลกๆ ตลกๆ ที่ไม่ค่อยมีความสำคัญกับบ้านเมือง ทหารก็คงทำไปเพื่อเอาใจและสร้างภาพ แต่ในประเด็นสำคัญหลักๆ ทหารและอำมาตย์ส่วนอื่นจะตัดสินใจก่อน แล้วไป “แจ้ง” ให้ทายาทและคนใกล้ชิดทราบ และออกมาโกหกว่ารับคำสั่งมา

ถ้าทายาทของเขาไม่ได้รับความเคารพในสังคม ทำไมไม่นำคนอื่นที่พอจะเป็นทายาทได้ขึ้นมาแทน? ถ้าเขามีอำนาจจริง ทำไมเขาไม่ประกาศว่า คนอื่นที่สังคมยอมรับจะเป็นทายาทแทนเขาก่อนตาย? คำตอบคือ เขาไม่กล้า และที่สำคัญการนำคนอื่นขึ้นมาเป็นทายาทโดยทหาร จะส่งสัญญาณอันตรายว่า ระบบนี้ไม่ได้อิงจารีตอันเก่าแก่จริง ให้ใครเป็นได้แทนคนที่คนไม่ยอมรับที่ยังมีชีวิต ยิ่งกว่านั้นจะส่งสัญญาณว่าในระบบที่ว่านี้ ถ้าทายาทไม่ดีไม่เหมาะสม ก็เปลี่ยนคนได้อีกด้วย ถ้าเปลี่ยนคนได้ก็ยกเลิกไปเลยได้เหมือนกัน อย่าลืมว่าระบบนี้มีบทบาทหลักในการเป็นลัทธิความคิดที่ใช้ครอบงำเรา มันไม่ใช่อำนาจดิบ ดังนั้นผลในทางความคิดเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากนี้ทายาทอาจเป็นคนที่ถูกใช้ได้ดีกว่าทายาทคนอื่นที่สังคมยอมรับก็ได้

เมื่อ เขา ตาย สังคมจะไม่ปั่นป่วนกว่าที่เป็นอยู่แล้ว อย่าไปโง่คิดว่า “ผู้นำทางจิตวิญญาณหายไป” เพราะเขาเลิกเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณนานแล้ว และไม่ได้ศูนย์รวมของทุกคนด้วย แต่สิ่งที่จะปั่นป่วนหนักคือหัวใจของพวกอำมาตย์และเสื้อเหลือง ต่างหาก พวกนี้จะคลั่งมากขึ้น อันตรายมากขึ้น แต่อันตรายท่ามกลางความกลัว เขาจึงมีจุดอ่อน

เมื่อ เขา ตาย คนจำนวนมากที่เกรงใจ เขา อาจรักเขา จะไม่เกรงใจหรือรักทายาทเลย ความปลื้มในระบบจะลดลงอีกในสายตาคนส่วนใหญ่


แต่เมื่อ เขา ตาย คนเสื้อแดงที่ไม่เอาระบบอำมาตย์ เพราะอยากได้ประชาธิปไตยแท้ จะไม่ประสบผลสำเร็จง่ายๆ โดยอัตโนมัติ เพราะฝ่ายอำมาตย์จะไม่เลิก อำนาจทหารจะยังมี และการรณรงค์คลั่งระบบอำไมตย์จะเพิ่มขึ้น

ในมุมกลับ เมื่อ เขา ตาย อำมาตย์จะปั่นป่วน และมันเป็นโอกาสที่เราจะสู้ทางความคิดอย่างหนัก เพราะแหล่งความชอบธรรมเขาจะอ่อนลง เราจะต้องถามว่าทำไมต้องมีระบบนี้ต่อภายใต้ทายาทหรือคนใกล้ชิดของเขา?

พลเมืองที่รักประชาธิปไตยไม่สามารถรอวันตายของเขาได้ เพราะมันจะมีทั้งภัยและโอกาสตามมา เราหลีกเลี่ยงการวางแผน การจัดตั้งคน และการผนึกกำลังมวลชนไม่ได้ ประชาธิปไตยจะไม่หล่นจากต้นไม้ เหมือนมะม่วงสุก เราต้องไปร่วมเด็ดมันลงมากิน และเราจะต้องสอยอำมาตย์ทั้งหมดลงมา

เพื่อไม่ให้ทำลายประชาธิปไตยอีก