ที่มา thaifreenews
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า วัฒนธรรมทางความคิดของคนในประเทศไทยถูกครอบงำโดยระบบอุปถัมภ์มาอย่างยาวนาน เป็นระยะเวลาหลายร้อยปี   และระบบอุปถัมภ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้นมิได้ถูกขัดขวางโดยกระบวนการ ประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อการกดขี่ที่ได้รับ,  หรือกระบวนการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจในอดีต......
ด้วย เหตุนี้ทัศนะความคิดของคนไทยที่ถูกผูกติดอยู่กับระบบอุปถัมภ์,  ความกตัญญูรู้คุณ,  บุญญาบารมี,  รวมถึงความไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงอย่างครอบคลุม   ทำให้อำนาจของอมาตย์ศักดินา ยังคงสามารถครอบงำความคิดของคนไทยอยู่ได้อย่างไม่ถูกกระทบกระเทือน  และสิ่งนี้ก็คืออำนาจที่สามารถควบคุมประชากรได้โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้อาวุธ มาบังคับข่มขู่แต่อย่างใด......
“แข่งเรือแข่งพายแข่งได้..แต่แข่ง บุญวาสนาแข่งไม่ได้”...... “ชาดจะดีไม่ต้องทาสีก็แดง”..... “เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด”.... “ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน”ฯลฯ....  ความคิดเหล่านี้เป็นความรู้สึกพื้นฐานที่ฝังอยู่ในความคิดของคนไทยแทบทุกคน อยู่แล้วโดยธรรมชาติ....  ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพื้นฐานความคิดของคนไทยเป็นคนที่นอบน้อม ว่านอนสอนง่าย  ให้ความเคารพต่อผู้นำและผู้ที่ปกครองโดยเป็นการยอมรับโดยดุษฎีว่า  “ตนเองไม่มีวาสนาบารมีเอง”....
อำนาจของอมาตย์ศักดินาถูกกระทบ กระเทือนอย่างรุนแรงครั้งแรกก็คือ  การปฏิวัติในวันที่ 24 มิถุนายน 2475  โดยคณะราษฎร์ซึ่งที่จริงก็คือเหล่าทหารและผู้นำทางความคิดของคนในรุ่นนั้น ....แต่การปฏิวัติครั้งนั้นก็มิได้ขุดรากถอนโคนความมีอำนาจของอมาตย์ศักดินา ออกไปจากสังคมไทยอย่างแท้จริง    โดยยังคงยอมให้อำนาจอมาตย์ศักดินาเข้ามามีบทบาทในการเกี่ยวข้องกับการบริหาร ประเทศต่อไปในบางด้านอยู่    และแล้วในที่สุดด้วยระบบความคิดที่ผูกติดอยู่กับอุปนิสัยและความรู้สึกของคน ไทย  ประกอบกับอำนาจทางทหารบางส่วนที่อมาตย์ยังคงพอมีอยู่   ก็สามารถดึงอำนาจทางการเมืองกลับมาเป็นของเหล่าอมาตย์ศักดินาได้อย่างสิ้น เชิง  อำนาจของคณะราษฎร์และเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง......
ครั้ง ที่สองที่อำนาจอมาตย์ศักดินาถูกสั่นคลอนก็คือ   เหตุการณ์ 14 ตุลาคม  2516  ในยุคสมัยที่ความคิดเรื่องประชาธิปไตยแพร่หลายไปทั่วทั้งโลก  โดยสถานการณ์สงครามเย็นระหว่างโลกเสรี และคอมมิวนิสต์กำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง....แต่ที่สุดแล้วด้วยระบบทางความ คิดของคนไทยที่ยอมรับในเรื่อง  “บุญญาบารมี, วาสนา”  ก็กลับทำให้กระบวนการประชาธิปไตยที่กำลังต่อสู้เพื่อให้ได้มานั้นก็ถูกระบบ ความคิดลักษณะนี้ทำลายไปอีก  โดยในที่สุดระบบความคิดแบบประชาธิปไตยก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงในวันที่  6 ตุลาคม  2519  และนำเอาอำนาจของอมาตย์ศักดินาเข้ามาปกครองโดยประดิษฐ์ถ้อยคำสวยหรูว่านี่ คือ  “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” 
ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535  เป็นต้นมาประชาชนไทยเริ่มมีความรู้มากขึ้น จากการที่เริ่มมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นและเข้ามาทำให้ข้อมูลข่าวสารเริ่มถูกเปิดเผยมากขึ้น  การรับรู้ของคนไทยเริ่มเปลี่ยนไปและเริ่มมองเห็นว่า  การปกครองโดยมีอำนาจของอมาตย์ศักดินาเข้ามามีอิทธิพลอยู่เหนืออำนาจประชาชน  (ตามแนวทางประชาธิปไตยที่แท้จริง)  นั้น  เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเลวร้ายในทุก ๆ มิติของสังคมไทย....ด้วยเหตุนี้  รัฐธรรมนูญฉบับปี 40  จึงถูกร่างขึ้นมาโดยใช้เวลากว่า 4 ปี  กว่าจะประกาศบังคับใช้ได้.....
และด้วยรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 นี้เองทำให้เกิด  พรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่สามารถนำเอานโยบายที่ประกาศเอาไว้มาใช้ให้เกิดผล ได้จริงคือ พรรคไทยรักไทย....  และด้วยรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 นี้เองทำให้เกิด  นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่สามารถสร้างคุณานุปการอย่างล้นเหลือให้กับประชาชนไทย ที่เป็นคนยากจน  คนด้อยโอกาส  รวมทั้งพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นสู่แนวหน้าของอาเซียนได้อย่างสง่า ภาคภูมิ ซึ่งนายกคนนั้นคือ  ทักษิณ  ชินวัตร.....
การเกิดขึ้นและการ เข้ามาสู่อำนาจของนายกทักษิณ  ชินวัตร  และพรรคไทยรักไทย  สร้างความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงให้กับกระบวนการทางอำนาจที่ครอบงำประเทศไทย นี้อย่างไม่เคยมีมาก่อน  เพราะรัฐบาลไทยรักไทย  ได้นำเอาแนวทางการปกครองด้วยรูปแบบประชาธิปไตยที่มีมากกว่าเดิมมาใช้อย่าง เต็มที่....  ไม่ว่าจะเป็นการนำนโยบายที่หาเสียงเอาไว้มาปฏิบัติจริง....การบริหารนโยบาย โดยทางรัฐสภาที่ถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญ.... รวมถึงการบริหารงานทางเศรษฐกิจที่เป็นแนวคิดในเชิงรุกมากกว่าทำตามระบบ ราชการที่เชื่องช้าในอดีต.... สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกอย่างใหญ่หลวงต่อ ประชาชนผู้ด้อยโอกาส  และเป็นคนชั้นล่างของสังคม....
การรัฐประหาร วันที่ 19 กันยายน 2549  ที่ผ่านมานั้น   ไม่ใช่เพียงแค่การรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจของอมาตย์ศักดินาดัง ที่เคยเป็นมาในอดีตเท่านั้น....   แต่การรัฐประหารในครั้งนี้  คือการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจอย่างแท้จริง  มาสู่การปกครองด้วยอำนาจอมาตย์ศักดินาอย่างเปิดเผย...กลายเป็นการต่อสู้กัน ด้วยระบอบการปกครอง 2 ระบอบ คือประชาธิปไตยที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน   กับเผด็จการอมาตย์ศักดินา (ในคราบประชาธิปไตย)  ที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ที่คนเพียงกลุ่มเดียว....
แม้ ว่า คมช. จะสลายตัวไปแล้วแต่อำนาจอมาตย์ศักดินาที่เป็นผู้ขับเคลื่อนให้เกิดการยึด อำนาจประชาธิปไตยไปจากรัฐบาลที่มาจากประชาชนนั้นยังคงอยู่  และแผ่ขยายเงื้อมมืออำมหิตครอบคลุมและสำแดงไปในทุกส่วนของสังคมไทย...ระบบ กฎหมายที่ใช้อำนาจการพิจารณา  2 มาตรฐาน,  การหนุนหลังผู้ก่อการร้ายทำลายประเทศชาติด้วยการบุกยึดสนามบิน,  ยึดทำเนียบรัฐบาล,  หรือแม้กระทั่งการนำกำลังทหารออกมาสลายการชุมนุมด้วยกำลังอาวุธอย่างนอง เลือด  โดยไม่มีความผิดใด ๆ...เหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของอำนาจเผด็จการอมาตย์ศักดินา  ที่แผ่อิทธิพลเหนือสังคมไทยอย่างชัดเจน.....
การเกิดขึ้นของกลุ่มคน เสื้อแดงแม้ในระยะแรก ๆ จะเป็นเพียงการรวมตัวกันของผู้ที่ไม่พอใจต่อการยึดอำนาจของ คมช. และต่อสู้กับเผด็จการอย่างไร้ทิศทาง....  ขาดการรวมตัวที่เป็นรูปแบบ, ขาดการนำที่ชัดเจน,  ขาดยุทธศาสตร์ในการดำเนินการ,  ขาดอำนาจอิทธิพลที่จะเข้ามาสนับสนุน....  แต่นานวันเข้าหลังจากผ่านการลองผิดลองถูก  ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน  ผ่านความเจ็บปวด,  ผ่านการสูญเสียมาด้วยกัน  และที่สำคัญเมื่อความจริงได้ถูกเปิดเผย และสำแดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ   กลุ่มคนเสื้อแดงจึงไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มบุคคลที่เรียกร้องความยุติธรรมอย่าง ไรทิศทางอีกต่อไป  แต่กลับกลายเป็นพลังมวลชนที่ขับเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันคือ  เรียกร้องให้นำประชาธิปไตยและความยุติธรรมกลับคืนมาสู่ประเทศไทย....
พลัง มวลชนเสื้อแดงนี้ในระยะแรก ๆ ก็ยังคงมีความสับสนระหว่างทัศนความคิดที่ผูกติดอยู่กับระบบอุปถัมภ์, ความภักดี,  และวัฒนธรรมความเชื่อที่เป็นพื้นฐานของคนไทย  กับแนวคิดแบบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ....แต่หลังจากเวลาผ่าน ไปกว่า 3 ปี  ประชาชนได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองว่า  อำนาจของประชาชนมิได้ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมของคนไทย  เพียงแต่ต้องกำจัดอำนาจนอกระบบที่เคลือบคลุม  และฉกฉวยโอกาสอย่างชั่วร้ายไปเสียให้พ้นจากประเทศนี้....
การล่มสลาย ทางอำนาจของอมาตย์ศักดินามิได้เกิดมาจากกองกำลังติดอาวุธใด ๆ  แต่เกิดมาจากการที่  “ประชาชนได้รับการติดอาวุธทางปัญญา”  และพวกเขาได้รับประสบการณ์โดยตรงต่อผลกระทบในชีวิตของพวกเขา...โครงสร้าง,  และเครือข่ายอำมาตย์ศักดินา  อาจจะยังคงพลังอำนาจอยู่  แต่ไม่มีวันที่จะเติบโตต่อไปได้อีกแล้วมีแต่จะรอวันที่จะเหี่ยวเฉาและสลาย ลง  เพราะถึงวันนี้ขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่เป็นความขัดแย้งต่าง ๆ ของประเทศนี้  ก็เป็นเพียงแค่การดิ้นทุรนทุรายของสัตว์ร้ายตัวใหญ่ก่อนที่จะหมดลมหายใจเท่า นั้น....
ไม่ว่าจะอย่างไรอมาตย์ศักดินาได้ล่มสลายลงทางความเชื่อ ถือ,  ล่มสลายลงทางความศรัทธา,  อย่างสิ้นเชิงแล้ว  เหลือเพียงแค่รอการล่มสลายลงทางอำนาจปกครองอีกเล็กน้อยเท่านั้น   เมื่อนั้นประเทศไทยก็จะได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยมีประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจย่างแท้จริงกลับมา....เพียงแต่ว่าสัตว์ร้ายตัว ใหญ่ที่กำลังจะตายตัวนี้  จะยอมให้ตัวเองตายจากไปอย่างสงบ  หรือต้องให้จากไปด้วยการต่อสู้และปะทะกันด้วยกำลังของคนในชาติเดียวกันเท่า นั้น... ซึ่งเราจะต้องคอยดูกันต่อไป
ปูนนก