วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การล่มสลายทางอำนาจของอมาตย์ศักดินาเกิดขึ้นได้อย่างไรในระยะเวลาเพียง 3 ปี

ที่มา thaifreenews

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า วัฒนธรรมทางความคิดของคนในประเทศไทยถูกครอบงำโดยระบบอุปถัมภ์มาอย่างยาวนาน เป็นระยะเวลาหลายร้อยปี และระบบอุปถัมภ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้นมิได้ถูกขัดขวางโดยกระบวนการ ประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อการกดขี่ที่ได้รับ, หรือกระบวนการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจในอดีต......

ด้วย เหตุนี้ทัศนะความคิดของคนไทยที่ถูกผูกติดอยู่กับระบบอุปถัมภ์, ความกตัญญูรู้คุณ, บุญญาบารมี, รวมถึงความไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงอย่างครอบคลุม ทำให้อำนาจของอมาตย์ศักดินา ยังคงสามารถครอบงำความคิดของคนไทยอยู่ได้อย่างไม่ถูกกระทบกระเทือน และสิ่งนี้ก็คืออำนาจที่สามารถควบคุมประชากรได้โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้อาวุธ มาบังคับข่มขู่แต่อย่างใด......

“แข่งเรือแข่งพายแข่งได้..แต่แข่ง บุญวาสนาแข่งไม่ได้”...... “ชาดจะดีไม่ต้องทาสีก็แดง”..... “เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด”.... “ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน”ฯลฯ.... ความคิดเหล่านี้เป็นความรู้สึกพื้นฐานที่ฝังอยู่ในความคิดของคนไทยแทบทุกคน อยู่แล้วโดยธรรมชาติ.... ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพื้นฐานความคิดของคนไทยเป็นคนที่นอบน้อม ว่านอนสอนง่าย ให้ความเคารพต่อผู้นำและผู้ที่ปกครองโดยเป็นการยอมรับโดยดุษฎีว่า “ตนเองไม่มีวาสนาบารมีเอง”....

อำนาจของอมาตย์ศักดินาถูกกระทบ กระเทือนอย่างรุนแรงครั้งแรกก็คือ การปฏิวัติในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎร์ซึ่งที่จริงก็คือเหล่าทหารและผู้นำทางความคิดของคนในรุ่นนั้น ....แต่การปฏิวัติครั้งนั้นก็มิได้ขุดรากถอนโคนความมีอำนาจของอมาตย์ศักดินา ออกไปจากสังคมไทยอย่างแท้จริง โดยยังคงยอมให้อำนาจอมาตย์ศักดินาเข้ามามีบทบาทในการเกี่ยวข้องกับการบริหาร ประเทศต่อไปในบางด้านอยู่ และแล้วในที่สุดด้วยระบบความคิดที่ผูกติดอยู่กับอุปนิสัยและความรู้สึกของคน ไทย ประกอบกับอำนาจทางทหารบางส่วนที่อมาตย์ยังคงพอมีอยู่ ก็สามารถดึงอำนาจทางการเมืองกลับมาเป็นของเหล่าอมาตย์ศักดินาได้อย่างสิ้น เชิง อำนาจของคณะราษฎร์และเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง......

ครั้ง ที่สองที่อำนาจอมาตย์ศักดินาถูกสั่นคลอนก็คือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในยุคสมัยที่ความคิดเรื่องประชาธิปไตยแพร่หลายไปทั่วทั้งโลก โดยสถานการณ์สงครามเย็นระหว่างโลกเสรี และคอมมิวนิสต์กำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง....แต่ที่สุดแล้วด้วยระบบทางความ คิดของคนไทยที่ยอมรับในเรื่อง “บุญญาบารมี, วาสนา” ก็กลับทำให้กระบวนการประชาธิปไตยที่กำลังต่อสู้เพื่อให้ได้มานั้นก็ถูกระบบ ความคิดลักษณะนี้ทำลายไปอีก โดยในที่สุดระบบความคิดแบบประชาธิปไตยก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และนำเอาอำนาจของอมาตย์ศักดินาเข้ามาปกครองโดยประดิษฐ์ถ้อยคำสวยหรูว่านี่ คือ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ”

ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 เป็นต้นมาประชาชนไทยเริ่มมีความรู้มากขึ้น จากการที่เริ่มมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นและเข้ามาทำให้ข้อมูลข่าวสารเริ่มถูกเปิดเผยมากขึ้น การรับรู้ของคนไทยเริ่มเปลี่ยนไปและเริ่มมองเห็นว่า การปกครองโดยมีอำนาจของอมาตย์ศักดินาเข้ามามีอิทธิพลอยู่เหนืออำนาจประชาชน (ตามแนวทางประชาธิปไตยที่แท้จริง) นั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเลวร้ายในทุก ๆ มิติของสังคมไทย....ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปี 40 จึงถูกร่างขึ้นมาโดยใช้เวลากว่า 4 ปี กว่าจะประกาศบังคับใช้ได้.....

และด้วยรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 นี้เองทำให้เกิด พรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่สามารถนำเอานโยบายที่ประกาศเอาไว้มาใช้ให้เกิดผล ได้จริงคือ พรรคไทยรักไทย.... และด้วยรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 นี้เองทำให้เกิด นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่สามารถสร้างคุณานุปการอย่างล้นเหลือให้กับประชาชนไทย ที่เป็นคนยากจน คนด้อยโอกาส รวมทั้งพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นสู่แนวหน้าของอาเซียนได้อย่างสง่า ภาคภูมิ ซึ่งนายกคนนั้นคือ ทักษิณ ชินวัตร.....

การเกิดขึ้นและการ เข้ามาสู่อำนาจของนายกทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย สร้างความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงให้กับกระบวนการทางอำนาจที่ครอบงำประเทศไทย นี้อย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะรัฐบาลไทยรักไทย ได้นำเอาแนวทางการปกครองด้วยรูปแบบประชาธิปไตยที่มีมากกว่าเดิมมาใช้อย่าง เต็มที่.... ไม่ว่าจะเป็นการนำนโยบายที่หาเสียงเอาไว้มาปฏิบัติจริง....การบริหารนโยบาย โดยทางรัฐสภาที่ถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญ.... รวมถึงการบริหารงานทางเศรษฐกิจที่เป็นแนวคิดในเชิงรุกมากกว่าทำตามระบบ ราชการที่เชื่องช้าในอดีต.... สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกอย่างใหญ่หลวงต่อ ประชาชนผู้ด้อยโอกาส และเป็นคนชั้นล่างของสังคม....

การรัฐประหาร วันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เพียงแค่การรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจของอมาตย์ศักดินาดัง ที่เคยเป็นมาในอดีตเท่านั้น.... แต่การรัฐประหารในครั้งนี้ คือการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจอย่างแท้จริง มาสู่การปกครองด้วยอำนาจอมาตย์ศักดินาอย่างเปิดเผย...กลายเป็นการต่อสู้กัน ด้วยระบอบการปกครอง 2 ระบอบ คือประชาธิปไตยที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน กับเผด็จการอมาตย์ศักดินา (ในคราบประชาธิปไตย) ที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ที่คนเพียงกลุ่มเดียว....

แม้ ว่า คมช. จะสลายตัวไปแล้วแต่อำนาจอมาตย์ศักดินาที่เป็นผู้ขับเคลื่อนให้เกิดการยึด อำนาจประชาธิปไตยไปจากรัฐบาลที่มาจากประชาชนนั้นยังคงอยู่ และแผ่ขยายเงื้อมมืออำมหิตครอบคลุมและสำแดงไปในทุกส่วนของสังคมไทย...ระบบ กฎหมายที่ใช้อำนาจการพิจารณา 2 มาตรฐาน, การหนุนหลังผู้ก่อการร้ายทำลายประเทศชาติด้วยการบุกยึดสนามบิน, ยึดทำเนียบรัฐบาล, หรือแม้กระทั่งการนำกำลังทหารออกมาสลายการชุมนุมด้วยกำลังอาวุธอย่างนอง เลือด โดยไม่มีความผิดใด ๆ...เหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของอำนาจเผด็จการอมาตย์ศักดินา ที่แผ่อิทธิพลเหนือสังคมไทยอย่างชัดเจน.....

การเกิดขึ้นของกลุ่มคน เสื้อแดงแม้ในระยะแรก ๆ จะเป็นเพียงการรวมตัวกันของผู้ที่ไม่พอใจต่อการยึดอำนาจของ คมช. และต่อสู้กับเผด็จการอย่างไร้ทิศทาง.... ขาดการรวมตัวที่เป็นรูปแบบ, ขาดการนำที่ชัดเจน, ขาดยุทธศาสตร์ในการดำเนินการ, ขาดอำนาจอิทธิพลที่จะเข้ามาสนับสนุน.... แต่นานวันเข้าหลังจากผ่านการลองผิดลองถูก ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน ผ่านความเจ็บปวด, ผ่านการสูญเสียมาด้วยกัน และที่สำคัญเมื่อความจริงได้ถูกเปิดเผย และสำแดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มคนเสื้อแดงจึงไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มบุคคลที่เรียกร้องความยุติธรรมอย่าง ไรทิศทางอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นพลังมวลชนที่ขับเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันคือ เรียกร้องให้นำประชาธิปไตยและความยุติธรรมกลับคืนมาสู่ประเทศไทย....

พลัง มวลชนเสื้อแดงนี้ในระยะแรก ๆ ก็ยังคงมีความสับสนระหว่างทัศนความคิดที่ผูกติดอยู่กับระบบอุปถัมภ์, ความภักดี, และวัฒนธรรมความเชื่อที่เป็นพื้นฐานของคนไทย กับแนวคิดแบบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ....แต่หลังจากเวลาผ่าน ไปกว่า 3 ปี ประชาชนได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองว่า อำนาจของประชาชนมิได้ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมของคนไทย เพียงแต่ต้องกำจัดอำนาจนอกระบบที่เคลือบคลุม และฉกฉวยโอกาสอย่างชั่วร้ายไปเสียให้พ้นจากประเทศนี้....

การล่มสลาย ทางอำนาจของอมาตย์ศักดินามิได้เกิดมาจากกองกำลังติดอาวุธใด ๆ แต่เกิดมาจากการที่ “ประชาชนได้รับการติดอาวุธทางปัญญา” และพวกเขาได้รับประสบการณ์โดยตรงต่อผลกระทบในชีวิตของพวกเขา...โครงสร้าง, และเครือข่ายอำมาตย์ศักดินา อาจจะยังคงพลังอำนาจอยู่ แต่ไม่มีวันที่จะเติบโตต่อไปได้อีกแล้วมีแต่จะรอวันที่จะเหี่ยวเฉาและสลาย ลง เพราะถึงวันนี้ขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่เป็นความขัดแย้งต่าง ๆ ของประเทศนี้ ก็เป็นเพียงแค่การดิ้นทุรนทุรายของสัตว์ร้ายตัวใหญ่ก่อนที่จะหมดลมหายใจเท่า นั้น....

ไม่ว่าจะอย่างไรอมาตย์ศักดินาได้ล่มสลายลงทางความเชื่อ ถือ, ล่มสลายลงทางความศรัทธา, อย่างสิ้นเชิงแล้ว เหลือเพียงแค่รอการล่มสลายลงทางอำนาจปกครองอีกเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อนั้นประเทศไทยก็จะได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยมีประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจย่างแท้จริงกลับมา....เพียงแต่ว่าสัตว์ร้ายตัว ใหญ่ที่กำลังจะตายตัวนี้ จะยอมให้ตัวเองตายจากไปอย่างสงบ หรือต้องให้จากไปด้วยการต่อสู้และปะทะกันด้วยกำลังของคนในชาติเดียวกันเท่า นั้น... ซึ่งเราจะต้องคอยดูกันต่อไป

ปูนนก