เวลานี้เห็นได้ชัดถึงนํ้าอดนํ้าทนของนักมวยทั้ง2 ฝั่ง...ฝ่ายหนึ่งกำลังอ่อนล้าโรยแรง ขณะที่อีกฝ่ายถูกละเลงหมัดชกจนหน้าน่วมบวมตุ่ยแต่ก็ยังยืนหยัดสามารถปักหลักไม่มีล้มตั้งแต่อดีต...บุคคลสำคัญ อาทิจอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลถนอมกิตติขจร พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์รวมไปถึง ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์จำเป็นต้องระหกระเหินเร่ร่อนลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ เพราะ“เกมการเมือง” ทำให้ไม่มีที่ยืน...ถูกบีบบังคับให้จนตรอกมองแล้วไม่ผิดแผกแตกต่างอะไรไปจากอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณชินวัตร” ในยุคประชาธิปไตยแห่งผู้ปฏิวัติ 19 กันยา 2549แต่ประวัติศาสตร์ที่เป็นตำราสอนให้คนได้คิดได้อ่าน...ในความเหมือนย่อมมีความแตกต่างซึ่งความแตกต่างที่ว่า...ก็เป็นหนึ่งในกระบวนการพัฒนา“ประชาธิปไตย” ของประเทศไทย...เป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มคนและความคิดของ “สองฝ่าย”ผลัดกันขึ้น...ผลัดกันลง แลกกันคนละหมัด อยู่ที่การช่วงชิงจังหวะโดยมีบรรดา “นักการเมือง” เป็นองค์ประกอบเวลานี้เห็นได้ชัดถึง “นํ้าอดนํ้าทน”ของนักมวยทั้ง 2 ฝั่ง...ฝ่ายหนึ่งกำลัง“อ่อนล้าโรยแรง” ขณะที่อีกฝ่ายถูกละเลงหมัดชกจนหน้าน่วมบวมตุ่ยแต่กระนั้นก็ยืนหยัดจนสามารถ“ปักหลักไม่มีล้ม”ไม่มีใครเป็นผู้ทำนายอนาคตได้ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” จะได้กลับมายังถิ่นฐานบ้านเกิด หรือได้กลับเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งบริหารประเทศอีกหรือไม่?แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้สามารถ “ยืนหยัด” และได้รับการ “ยอมรับ” เป็นผลเนื่องมาจากมวลชนคนส่วนใหญ่จากกระแสโลกภายนอก รวมถึงประชาชนภายในชาติในเรื่องที่ผ่านมา...โดยเฉพาะการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนมีบางบุคคลกล่าวว่า...นี่เป็นแผนการ“เชิงสูง” ในการใช้ประชาคมโลกเข้าปิดล้อมประเทศทำให้รัฐบาลนำโดยนายกรัฐมนตรี“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะประธานอาเซียน หมดหนทางในการใช้เวทีนานาชาติแสดงภาวะความเป็น“ผู้นำ”
งานเลี้ยงย่อมต้องเลิกรา...หากแต่งานนี้ประเทศชาติมิอาจหา “มูลค่าเพิ่ม”อะไรนอกจากการ “จับมือถ่ายรูป”ผลงานเหน็ อยวู่า่ อะไรเปน็ อะไร...รัฐบาลมีหน้าที่เต็มในการจัดงานประชุม...ขณะทฝี่ า่ ยตรงขา้ มอยา่ ง กลมุ่ ชนคนเสื้อแดง ก็ได้แสดงสัญญาในคำมั่นว่าจะไม่มีการเข้าไปร่วม “ขัดขวาง”การติด “ภารกิจ” ของเหล่าผู้นำชาติที่มิอาจเข้าร่วมฟังการหารืออย่างเป็นระเบียบแบบแผน...เชื่อเถิดว่านี่เป็น“กำลังใจอย่างแรงกล้า”เพื่อให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ทำงานบริหารราชการแผ่นดินได้ต่อไปความสำคัญและความยิ่งใหญ่ของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนก็คือ ตัวบุคคลซึ่งมาในฐานะ “ผู้นำ”ของแต่ละชาติแม้จะติดภารกิจสำคัญขนาดไหน...แต่งานนี้ต้อง ใส่สูท...รองเท้าหนังเดินทางมาร่วมงานให้จงได้นี่คือ “มารยาท” ที่เหล่าประชาคมโลกในพื้นที่ทวีปนี้ต้องการ “สื่อสาร”ไปถึงรัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วยความสุภาพนอบน้อมทักษิณ ชินวัตร...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีในอดีต กับ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน...ทำไม ? ผู้นำเหล่านั้นถึงแสดงออกด้วยท่าทีและความร่วมมือที่แตกต่างกันต่อจากนี้...จะเข้าสู่ช่วงที่ลำบากยากยิ่งของประชาธิปัตย์ เพราะผู้นำไม่สามารถบริหารงานได้...เหล่าสาวกภายใต้ “ร่มใบประชาธิปัตย์” ก็คอยแต่“กอบโกย” สร้างปัญหาไม่หยุดหย่อนโดยเฉพาะ “นานาอารยประเทศ”ก็เริ่มไม่เอาด้วยกับรัฐบาล โดยเฉพาะการแสดงออกด้วยท่าทีที่ชัดเจนถามว่า...แบบนี้มันจะเหลืออะไร...นอกจากที่ “รกร้างว่างเปล่า”“ทักษิณ ชินวัตร” เหมือนได้สมัครพรรคพวกเพิ่มขึ้นทีละคนสองคน...แม้ไม่จำเป็นต้องไปนั่งบอกนั่งกล่าวแก่ทุกคนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น“ประชาธิปัตย์” ต้องคิดทบทวนรวมทั้งต้องรีบปรับปรุงแก้ไข...ทำไม?ตัวเองยิ่งลงมือทำ แต่มันกลับยิ่งแย่ลงเพราะเมื่อใดหาก ฝ่ายอมาตย์ที่ทั้งยัน ทั้งช่วยประคับประคองคิดกลับหลังหัน เพราะช่วย “คํ้ายัน”ประชาธิปัตย์ต่อไปไม่ไหวตัดหางปล่อยวัด...ปล่อยให้มันเป็นไปตามมีตามเกิดถึงวันนั้นพวกท่านจะทนทุกข์ทรมาน...เพราะแม้แต่เสียงมวลชนยังเป็นเรื่องที่ “ต้องสร้างใหม่”ฉลาดกว่า...คิดก่อนสมองกร่อน...รอลอกภาวนา...ไม่อยากให้เกิดเรื่องเลวร้าย...อยากตายเร็ว หรือ อายุยืน เป็นสิ่งที่“ประชาธิปัตย์” ต้องเลือกเอา!!