บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551

‘ทักษิณ'เผยต้องการกลับไทยเฉกเช่นบุคคลธรรมดา

วันนี้ (30 มี.ค.) พล.ต.ท.รชต เย็นทรวง ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 กล่าวถึงมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางจากประเทศอังกฤษ กลับเข้าประเทศไทยด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 917 ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 15.50 น.ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 ได้เตรียมกำลังดูแลไว้พร้อมแล้วซึ่งเป็นชุดที่ดูแลความปลอดภัยครั้งที่ผ่านมาแต่จะลดกำลังลงบางส่วน เพราะจากการประเมินทางข่าวพบว่าไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง หรือเหตุการณ์ความไม่สงบ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ประมาทยังคงวางกำลังตำรวจในพื้นที่ดูแลอย่างเข้มงวด รวมทั้งการเดินทางไปยังเมืองทองธานีก็มีกำลังเจ้าหน้าทั้งในและนอกเครื่องแบบดูแลไว้เรียบร้อยแล้ว
ด้าน พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดูแลรักษาความปลอดภัยได้วางแผนตรึงกำลังดูแลความปลอดภัยไว้เรียบร้อยแล้ว โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ร้องขอว่า อย่าจัดกำลังมาดูแลมาก เพราะไม่อยากให้ใช้บุคลากรสิ้นเปลืองและการเดินทางกลับเข้ามาครั้งนี้ไม่อยากให้ทุกหน่วยวุ่นวายต้องการมาเพียงบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางด้านบรรยากาศบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิขณะนี้ยังคงเป็นปกติ ไม่มีกลุ่มคนรักทักษิณหรือกองเชียร์มารอรับการเดินทางกลับ


จาก hi-thaksin

‘บลูมเบิร์ก'ตีข่าว!ปฏิวัติไทยล้มเหลว

สำนักข่าวบลูมเบิร์กของสหรัฐอเมริการายงานการให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้วภายหลังจากที่ประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการทหารเป็นเวลานานถึง 17 เดือนโดยระบุว่า แผนการปฏิวัติรัฐประหารครั้งใหม่จะประสบความล้มเหลว

‘ผมไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการพูดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหาร' นายสมัครกล่าวต่อบรรดาผู้สื่อข่าว และเสริมว่า เขามั่นใจว่าแผนการดังกล่าวนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากตนและพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกติดต่อกันอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม นายกฯปฏิเสธให้รายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มผู้ไม่หวังดีดังกล่าวที่พยายามบั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาล โดยที่ผ่านมานายกฯ ได้รับใบปลิวที่ลงชื่อบรรดาผู้วางแผนรัฐประหารไว้ด้วย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานต่อว่า นายสมัคร กลายเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พปช.) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการก่อตั้ง และรวมตัวกันจากบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนที่ยังคงจงรักภักดีต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯที่ถูกยึดอำนาจโดยกองทัพจากการปฏิวัติรัฐประหารโดยปราศจากการนองเลือดเมื่อวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 ที่ผ่านมา ขณะที่พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งเข้าร่วมในการปฏิวัติรัฐประหารในครั้งนั้นเคยกล่าวถึงการยึดอำนาจรัฐบาลอีกครั้งก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาว่า ‘เป็นเรื่องน่าขันที่สุด'

สำนักข่าวบลูมเบิร์กยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ประเทศไทย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอับดับที่ 2 ในกลุ่มสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนได้ผ่านเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารมาแล้ว 18 ครั้งนับตั้งแต่ที่มีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขเมื่อปี 2475 หรือเมื่อ 76 ปีมาแล้ว

บลูมเบิร์กยังอ้างความเห็นของนายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์รัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระบุว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีเงื่อนไขทั้งทางการเมืองและทางสังคมที่จะนำไปสู่การก่อรัฐประหารเหมือนเมื่อก่อนหน้าที่จะเกิดการยึดอำนาจครั้งหลังสุดเมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวจนเป็นที่น่าสังเกตของทหารมานานหลายเดือนแล้ว

นอกจากนี้ บลูมเบิร์กยังอ้างความเห็นของนายสมัครที่กล่าวย้ำถึงแผนการของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะแก้ไขกฏหมายรัฐธรรมฉบับปัจจุบัน ซึ่งอนุญาตให้ทำการยุบพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้ถ้าหากบรรดากรรมการบริหารของพรรคการเมืองใดก็ตามทำผิดกฏหมายเลือกตั้ง ขณะที่รัฐธรรมนูญดังกล่าวถูกร่างโดยองค์กรที่ตั้งขึ้นมาโดยกองทัพภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจเมื่อปี 2549

ก่อนหน้านี้ ศาลฏีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีมติรับรับฟ้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต.ให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฏร และอดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเนื่องจากกระทำความผิดตามกฏหมายเลือกตั้ง

อนึ่ง การออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหารครั้งใหม่ของนายกฯสมัครส่งผลให้ค่าเงินบาททั้งในประเทศ และต่างประเทศอ่อนค่าลงเล็กน้อยใกล้แตะระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนต่างรู้สึกวิตกกังวลต่อเรื่องดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดี หลังจากที่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งการชี้แจงอย่างละเอียดมากขึ้น และโอกาสที่แทบเป็นไปไม่ได้ในการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ค่าเงินบาทกลับมาทรงตัวเหมือนเดิม

จาก hi-thaksin

'ทักษิณ' มาแน่บ่ายวันนี้ 'อนุพงษ์' ชี้ทหารไม่เกี่ยว [30 มี.ค. 51 - 13:04]

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าววันนี้ (30 มี.ค.) ว่า กองทัพบกไม่ได้มีการเคลื่อน ย้ายกำลังพลในช่วงนี้ ยืนยันว่า หากมีการเคลื่อนย้ายกำลังพลจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบก่อน อย่างไรก็ตาม ข่าวเรื่องการปฏิวัติตนได้ยืนยันกับนายกรัฐมนตรีไปแล้วว่า ไม่เกิดเรื่องดังกล่าว แน่นอน

“กองทัพบกยืนยันว่า ไม่มีการสั่งเคลื่อนย้ายกำลังในลักษณะเป็นการสั่งเคลื่อนย้ายกำลังในกรณีที่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยว กับวาระปกติ เช่น เกี่ยวกับการฝึก หรือ การเคลื่อน ขนย้ายปกติ ไม่มีการสั่ง ไม่ว่าจะเป็นโดยกองทัพบก หรือ หน่วยรองของกองทัพบก เช่น กองทัพภาค โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 1 ไม่มีการสั่งการในการเคลื่อนย้ายเด็ดขาด ถ้าจะมีในลักษณะของการเคลื่อนย้ายเพื่อไปฝึกที่จะมีเป็นปกติอยู่แล้ว โดยปกติจะให้มีการประชาสัมพันธ์” ผบ.ทบ. กล่าว

พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีการเดินทางกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในช่วงบ่ายวันนี้ ว่า เป็นเรื่องที่ตำรวจจะต้องดูแลความปลอดภัย ทหารไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง

ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับประเทศไทยวันนี้ เวลาประมาณ 15.55 น. ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 917 แน่นอน โดยการเดินทางกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ จะมีการหารือกับนักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคนเกี่ยวกับการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในธุรกิจพลังงาน เช่น เอทานอลและไบโอดีเซล

สภาองค์การลูกจ้างฯ ชี้ รธน.50 เน้นอำนาจตุลาการมากไป [30 มี.ค. 51 - 14:33]

วันนี้ (30 มี.ค.) สภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทยได้จัดการเสวนา ชำแหละรัฐธรรมนูญปี 2550 ณ โรงแรมแกรนด์ทาวเวอร์อินน์ กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการสะท้อนความเห็นของลูกจ้างและแรงงานที่ไม่ได้มีตัวแทนเข้าไปเป็นสมาชิกวุฒิสภา จึงไม่สามารถที่จะแสดงความเห็นผ่านตัวแทนในสภาได้

นายภักดี ธนปุระ ที่ปรึกษาสภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่สนับสนุนประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เน้นอำนาจตุลาการปกครองประเทศ ทั้งที่อำนาจตุลาการควรจะเป็นอำนาจขั้นสุดท้ายที่จะนำมาใช้ และตามระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองควรจะมีส่วนสำคัญในการบริหารประเทศ หากพรรคการเมืองไม่เข้มแข็งระบอบประชาธิปไตยก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เป็นรัฐธรรมนูญที่ล้าสมัยไม่ทันต่อโลกโลกาภิวัตน์

นายภักดี กล่าวอีกว่า ไม่เคยเห็นประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยประเทศใด มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นการบั่นทอนอำนาจของฝ่ายบริหารมากเกินไป ทำให้ฝ่ายบริหารไม่มีเสถียรภาพ

รฟท.เร่งปรับเส้นทางรางคู่อีสาน สนองนโยบาย'สมัคร'เม.ย.นี้

รฟท. กังวลต้นทุนวัสดุพุ่ง กระทบทางโครงการรถไฟทางคู่สายฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง เชื่อผู้รับเหมาหาทางออกได้ พร้อมเร่งปรับแผนรถไฟทางคู่ระยะทางที่ 2 ขานรับนโยบาย “สมัคร” ก่อน เม.ย. นี้

นายนคร จันทรศร รักษาการผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวถึงการลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ตอนฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง กับกลุ่มกิจการร่วมค้าทีเอสซี ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไทยพีค่อนและอุตสาหกรรม จำกัด บริษัท เสริมสงวนก่อสร้าง จำกัด บริษัท ช.ทวีก่อสร้าง จำกัด ระยะทาง 78 กม. วงเงิน 3,926 ล้านบาท โดยยอมรับว่าเป็นห่วงสถานการณ์ราคาต้นทุนวัสดุที่ปรับเพิ่มขึ้น อาจกระทบต่อค่าก่อสร้างที่ผู้รับเหมาเสนอไว้ แต่การทำโครงการมีความเสี่ยง ซึ่งเมื่อเซ็นสัญญากันแล้วผู้รับเหมาก็ต้องรับความเสี่ยง และต้องหาวิธีการบริหารจัดการให้ดี

ทั้งนี้การพัฒนารถไฟทางคู่ทั่วประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุมหารือร่วมกับสำนักนโยบายแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ในการปรับเพิ่มแนวเส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งแต่สถานีโคราชขึ้นไป ซึ่งในแผนเดิมยังมีการขยายเส้นทางในส่วนนี้ไม่มาก เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าประเภทน้ำตาล และมีแผนเชื่อมต่อเส้นทางไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาวและจีนในอนาคตด้วย

รวมถึงเร่งรัดการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะทางที่ 2 สายชุมทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า–ชุมทางแก่งคอย ระยะทาง 176 กม. ซึ่งออกแบบเสร็จแล้ว แต่ติดเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งเส้นทางผ่านเขตลุ่มน้ำชั้น 1A ที่ รฟท. จะว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวน สนข. เห็นว่าควรเร่งรัดโครงการเพราะมีความจำเป็น โดยจะเร่งสรุปเสนอแนวเส้นทางเพื่อให้ทันในการประชุมคณะพัฒนาระบบการขนส่งทางรางและขนส่งมวลชน ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในเดือนเมษายนนี้

สำหรับโครงการก่อสร้างทางคู่ จะช่วยส่งเสริมการขนส่งระบบราง ซึ่งแผนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทางคู่สายชายฝั่งตะวันออก ตอนฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง ถือเป็นโครงการนำร่องในการพัฒนาระบบการจัดการสินค้าทางรถไฟเพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพ และต้นทุนการให้บริการขนส่งแบบครบวงจร


ญี่ปุ่นชะลอลงทุนในไทยดูสถานการณ์บาทแข็ง-น้ำมันแพง

ประธานหอการค้าญี่ปุ่น รับ ภาคเอกชนชะลอลงทุนในไทย ดูสถานการณ์บาทแข็ง-น้ำมันแพง ขณะปลัดก.อุตสาหกรรม เตรียมพิจารณาโควต้านำเข้าเหล็กใหม่

นาย มิทซึฮิโระ โซโนดะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า จากปัญหาราคาน้ำมันและอัตราแรกเปลี่ยนที่แข็งค่าของไทย ทำให้ประเทศญี่ปุ่นต้องชะลอดูสถานการณ์การลงทุนในช่วงนี้ไว้ก่อน แต่อย่างไรก็ตามหากนโยบายของรัฐบาลไทย ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นมีความมั่นใจที่จะร่วมลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากการตกลงเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ เจเทปา ซึ่งทั้ง 2 ประเทศจะใช้ประโยชน์ร่วมกันจากการลดภาษีเป็น 0 ในสินค้าหลายรายการอาทิ สินค้าเหล็ก

โดยนายจักรมล ผาสุขวนิชน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่า จะต้องมีการพิจารณาโควต้านำเข้าเหล็ก จากประเทศญี่ปุ่นใหม่ เพื่อให้ตรงกับความต้องการและการผลิตของผู้ผลิตในประเทศที่ไม่สามารถผลิตได้ โดยประเทศญี่ปุ่นต้องการกำหนดโควต้าการนำเข้าภายใต้ เจเทปา กว่า 7.3 แสนตัน โดยที่ผ่านมาประเทศไทยนำเข้าในช่วงแรกแล้วกว่า 4.5 แสนตัน และจะต้องมีการพิจารณานำเข้าในส่วนที่เหลืออีกครั้ง

ถึงเวลาแก้ไขกติกาที่ไร้ความเป็นธรรม

คอลัมน์: บุคคลในข่าว หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย : เห่าไฟ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถึงเวลาแก้ไขกติกาที่ไร้ ความเป็นธรรม ฉบับนี้ประจำวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551

เพิ่งเข้าใจก็วันนี้ การใช้ชีวิตอยู่ใน ประเทศที่เต็มไปด้วย ความขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะประเทศที่มีมนุษย์จำพวก ปากประชาธิปไตย แต่ ใจประชาธิปก อาศัยอยู่เยอะแยะเหมือนในเมืองไทย ยิ่งต้อง เหนื่อย กันเป็นพิเศษ เพราะคนพวกนี้ ถ้าไม่ได้ดังใจก็เอาแต่ ด่ากราดลูกเดียว คนอื่นชั่วหมด มีตัวเองเท่านั้นที่ดีเลิศประเสริฐศรี!!!

"เห่าไฟ" อยากให้คิดกันให้ดี การใช้ชีวิตอยู่ใน สังคมหมู่มาก ทุกฝ่ายต้องเคารพ กฎกติกา เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หลายคนถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญถือว่าเคารพกฎกติกาหรือไม่ ก็ต้องถามกลับไปว่า แล้วมี กติกา ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญหรือเปล่าเล่า ถ้าไม่มีกติกาให้แก้ไขแล้วไปแก้ไข ก็ถือว่า ไม่ถูกต้อง แต่หากมีกติกาให้แก้ไขได้ ก็ไม่ถือว่าทำผิดกติกา!!!

ข้อสำคัญ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องผ่านขั้นตอนตามบทบัญญัติที่กำหนดเอาไว้ นั่นก็คือ ต้องใช้ เสียงข้างมากของทั้งสองสภา ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนประชาชนทั่วประเทศ หากเสียงไม่ถึงก็แก้ไม่ได้ แต่หากเสียงถึงก็มีความหมายทางอ้อมว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ เห็นชอบให้มีการดำเนินการไปตามนั้น!!!

ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นหลักในการแก้ไข กรณี กรรมการบริหารพรรค ไปทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแล้วให้ถือว่า คณะกรรมการบริหารทั้งหมดรู้เห็นเป็นใจ ต้องยุบพรรคทิ้ง เรื่องนี้สมควรแก้ไขเป็นที่สุด เพราะเป็นการเขียนกติกาออกมาแบบ สุดโต่ง บ้าเกินเหตุ คล้ายกับว่า ถ้าลูกติดคุกพ่อแม่ต้องติดคุกด้วย อย่างนี้ไม่บ้าหรือ!!!

โดยเฉพาะฝ่ายคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญถึงกับ เลอะเทอะ ไปกันใหญ่ ชอบออกมาพูดว่า ไม่ทำผิดแล้วกลัวทำไม ทั้งที่การแก้ไขคราวนี้ ไม่ใช่ทำเพื่อให้คนผิดพ้นโทษ กรรมการบริหารคนไหนทำผิด ไป ซื้อเสียง ก็ต้อง ได้รับโทษ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดทุกประการ เพียงแต่ไม่ให้ เหมารวม ไปถึงกรรมการบริหารคนอื่นที่ไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ประเด็นของเรื่องมันอยู่ตรงนี้ ฉะนั้น ต้องระวังพวกที่ชอบคัดค้านแบบ โมเมมั่วนิ่ม กันไว้ให้ดี!!!

"เห่าไฟ" เห็นด้วยว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนพวกที่เย้วๆ ออกมาคัดค้านก็แค่ฟังไว้ เพราะเอาแน่เอานอนอะไรกับคนเหล่านี้ไม่ได้ ตอนทหาร ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับ คนพวกนี้ กลับหัวเราะชอบอกชอบใจ แต่พอจะใช้เสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญตาม ครรลองประชาธิปไตย กลับตีอกชกหัวคัดค้าน จะเป็นจะตายเสียให้ได้ พ่อแม่พี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายก็ลองใช้ วิจารณญาณ กันเอาเอง ว่า ฝ่ายไหนของจริง ฝ่ายไหนของเก๊!!!

ปูดประเด็นร้อนขึ้นมาอีกแล้ว สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี บอกว่า ยังมีคนบางกลุ่มเคลื่อนไหวประชุมกันเพื่อให้มีการ ปฏิวัติยึดอำนาจ เพราะคิดว่าสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ "เห่าไฟ" ฟังแล้วรู้สึกสงสารประเทศไทยเหลือเกิน ที่ผ่านมา การปฏิวัติยึดอำนาจทำให้เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองถอยหลังลงคลองไม่ต่ำกว่า 30 ปี กว่าจะกอบกู้ ฟื้นฟูขึ้นมาได้ก็ เลือดตาแทบกระเด็น ยังไม่ทันไรก็จะเอากันอีกแล้วหรือ!!!

ส่วนสาเหตุที่คนบางกลุ่มคิดว่า สามารถปฏิวัติได้ ก็เพราะประเมินเอาไว้ว่า ยังมีคนไทยบางส่วนที่เกลียดชัง อดีตนายกฯทักษิณ ยอมละทิ้ง หลักการประชาธิปไตย แล้วหันไปให้การสนับสนุนการ ยึดอำนาจ ด้วยกำลังทหารเหมือนที่ผ่านมา คนเหล่านี้ก็คือ พวกปากประชาธิปไตยแต่ใจประชาธิปกู ดีๆนี่เอง!!!............

"เห่าไฟ" ว่า ถ้าขืนปล่อยให้บ้านเมืองตกอยู่ใน ความสับสน เพราะคนไร้หลักการ ไม่เคารพกติกาของสังคม ชอบใช้เสียงข้างน้อยหักล้างเสียงข้างมากอยู่เช่นนี้ การพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศคงเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะ รัฐบาล ที่มาจากเสียงสนับสนุนของประชาชนส่วนใหญ่ก็คงทำงาน ช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจาก ความทุกข์ยาก ได้ไม่เต็มที่ เพราะต้องคอยพะวัก พะวง พวกหลักกู ที่ไม่รู้จะสุมหัวคิดก่อ การปฏิวัติได้สำเร็จวันไหน!!!

แต่นับจากนี้ไป ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ คงยอมให้ เสียงส่วนน้อย มาทำตัวกร่างคับบ้านคับเมืองไม่ได้อีกแล้ว เพราะยิ่งปล่อยก็ยิ่งได้ใจ ทำให้บ้านเมืองเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่า "เห่าไฟ" จำได้ว่าในยุคปฏิวัติยึดอำนาจมีการก่อม็อบประท้วง แต่ โดนตำรวจ สลายม็อบ จับแกนนำไปดำเนิน คดีได้อย่าง ราบคาบ ฉะนั้น ยุคประชาธิปไตยก็จะใช้แบบเดียวกัน ใครก่อม็อบ ป่วนบ้านเมืองใช้ถ้อยคำหมิ่นประมาทผู้ นำรัฐบาลก็ต้องโดนเยี่ยงเดียวกัน!!!

ส่วนกลุ่มบุคคลที่ คิดการใหญ่ เคลื่อนไหวยึดอำนาจจาก รัฐบาลประชาธิปไตย หาก มีหลักฐานก็ต้องดำเนินคดี ขั้นเด็ดขาด ทุกรายไป แต่หากไม่มีหลักฐานแล้วสามารถก่อการสำเร็จก็ต้องไป เผชิญหน้า กับประชาชนส่วนใหญ่ที่ไปลงคะแนนเลือกรัฐบาลชุดนี้มา ใครก็ตามที่คิดจะ กดหัวประชาชน ไม่ให้ออกมาประท้วงต่อต้านคณะปฏิวัติเหมือนคราวที่แล้ว ก็ลองดูเถอะ แล้วจะรู้ว่า พลังของเสียงข้างมากน่ากลัวแค่ไหน!

การยุบพรรคการเมือง......ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

เขียนโดย : ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อตุลาการรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้มีการยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง
111 คน เป็นเวลา 5 ปีนั้น ผมกลับมีความเห็นว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญไม่ควรวินิจฉัยอย่างนั้น ถ้าตุลาการรัฐธรรมนูญยึดหลักการกฎหมายและรัฐศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน

แม้ว่ากฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองซึ่งเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญปี 2540 จะมีบทบัญญัติว่า พรรคการเมืองอาจจะถูกยุบได้ แต่ก็ยังมีเงื่อนไขที่ยากกว่าที่ปรากฏในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในการมีคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ ใช้กฎหมายย้อนหลังในทางที่เป็นโทษ โดยการตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน เป็นเวลา 5 ปี ทั้งที่อาจจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างวานพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเพียง 2-3 คน

กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองประกอบรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดเข้มงวดลงไปอีกในเรื่องการยุบพรรคการเมือง และการตัดสิทธิทางการเมือง กรรมการบริหารทั้งหมดในกรณีที่พรรคการเมืองถูกยุบ

กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 แล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยน้อยกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 ทั้งในแง่ที่มา เนื้อหาสาระ และจุดมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญในขณะที่มีการยกร่าง

แม้ว่าจะมีการจัดให้มีการลงประชามติ เพื่อให้ได้ชื่อว่ามีการยึดโยงกับประชาชนแล้วว่าจะ "รับ" หรือ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เพราะการตัดสินใจในการลงคะแนนว่ารับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้น ไม่ได้อยู่ในเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่จะยืดเวลาของรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร หรือจะให้รัฐบาลในขณะนั้นสิ้นสุดลง และกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว จึงลงมติรับไปก่อนแล้วค่อยแก้ไขภายหลัง กระนั้นก็ตามคนที่ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็มีมากถึงกว่า 10 ล้านคน

การเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน หรือแม้จะยกเลิกไปทั้งหมดแล้วกลับไปใช้รัฐธรรมนูญประจำปี 2540 ทั้งฉบับ โดยมีการแก้ไขบางส่วน ก็มีความชอบธรรมในสายตาของผม ถ้าไม่มองด้วยแว่นตาที่มีอคติต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล แต่มองด้วยสายตาที่มุ่งจะพัฒนาการเมืองระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข บุคคลหรือคณะบุคคลมาแล้วก็ไป แต่ระบบควรจะรักษาไว้ให้ยั่งยืนและพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ใครผิดใครถูกอย่างไรก็ดำเนินการไปตามระบบ

ระบบที่ว่านั้นนอกจากเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ อีกทั้งต้องสอดคล้องเป็นสากลด้วย โลกในสมัยใหม่นี้เราคงจะฝืนกระแสและมติของประชาคมโลกไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจของเราต้องเกี่ยวข้องพึ่งพาประชาคมของโลกมากขึ้นๆ ประชาชนคนไทยคงไม่ยอมให้เราถอยหลังได้ ถ้าจะถอยออกจากประชาคมเศรษฐกิจและการเมืองของโลก เราต้องยอมลดระดับทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนลง

คนไทยคงยอมไม่ได้ถ้าเห็นประชาชนฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชามีสิทธิเสรีภาพ มีระบอบประชาธิปไตยพัฒนามั่นคงกว่าประเทศไทย มีระบอบการปกครอง มีรัฐธรรมนูญที่เป็นสากลมากกว่าระบอบของเรา เท่าที่เห็นคนไทยปรับตัวกับกระแสความคิดทางด้านสากลได้ง่ายและรวดเร็วมาก เร็วและมากจนรอไม่ได้และเป็นจุดที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองได้ง่ายกว่าประเทศอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนบ้านของเราด้วยซ้ำ

ประเด็นที่ว่ากฎหมายควรให้อำนาจ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคได้หรือไม่นั้น ผมคิดว่ากฎหมายไม่ควรให้อำนาจ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญไว้มากมายอย่างนั้น ยกเว้นเพียงสองสามกรณี เช่น พรรคประกาศหรือกระทำอย่างโจ่งแจ้งว่า พรรคมีวัตถุประสงค์ที่จะทำลายล้างระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือมีนโยบายวัตถุประสงค์จะแบ่งแยกดินแดน หรือจะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเป็นระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เท่านั้นก็พอแล้ว เงื่อนไขที่อ่อนกว่านี้ เช่น กรรมการบริหารบางคน หรือแม้แต่หัวหน้าพรรคไปทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ความรับผิดก็ควรอยู่แค่บุคคลที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ควรขยายไปให้กรรมการบริหารคนอื่น หรือพรรคการเมืองทั้งพรรค ทั้งที่ไม่ได้มีการพิสูจน์ว่ามีส่วนรู้เห็นต้องรับผิดไปด้วย

พรรคการเมือง ซึ่งเป็น "นิติบุคคล" ต้องการเวลาในการพัฒนาให้เป็นสถาบันที่มีความเป็นมาอันยาวนาน มีประวัติศาสตร์ทั้งด้านดีและไม่ดี ทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ ตามยุคและสมัย หรือตามความสามารถของผู้นำพรรค แต่ก็มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน

ที่สำคัญพรรคการเมืองต้องพยายามนึกเสียว่าเป็นของสมาชิกพรรค ซึ่งมีเป็นจำนวนล้านๆ คน ไม่ใช่ของกรรมการบริหารพรรค แม้ว่าในช่วงต้นๆ ของประวัติความเป็นมาของพรรค คณะผู้ก่อตั้งพรรคจะมีบทบาทและอิทธิพลสูง แต่นานๆ ไปอำนาจและอิทธิพลของคณะผู้ก่อตั้งก็จะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ การพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันจึงจะเกิดขึ้นได้ ส่วนบุคคลหรือคณะบุคคลมาแล้วก็ไป แต่พรรคการเมืองยังต้องคงอยู่เพื่อรักษาประวัติศาสตร์อันยาวนานของพรรคไว้

ลองนึกดู ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เกิดมีกรรมการบริหารบางคนไปทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง แล้วพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบไปโดย กกต.ไม่เกิน 5 คน กับตุลาการรัฐธรรมนูญไม่เกิน 9 คน เราจะรู้สึกเสียดายและสังคมเสียหายและสูญเสียขนาดไหน แม้ว่าประวัติศาสตร์อันยาวนานของประชาธิปัตย์นั้น บางช่วงบางตอนก็มีทั้งดีและไม่ดี เราเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ประสบความสำเร็จและล้มเหลว พรรคที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่างพรรคประชาธิปัตย์เป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทยทุกคนต้องหวงแหน และรักษาเอาไว้ ใครทำผิดผู้นั้นก็รับผิดไป พรรคและกรรมการบริหารที่เหลือไม่สมควรต้องมารับผิดชอบด้วย มิฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะกลายเป็นแต่เพียงตำนานไป ฉันใดก็ฉันนั้น พรรคไทยรักไทยก็เช่นกัน ซึ่งน่าเสียดายและจะเสียใจมากถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นกับพรรคประชาธิปัตย์

ที่พูดนี้มิได้มีเจตนาให้ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญไม่ยึดถือกฎหมายเป็นหลัก เมื่อมีกฎหมายก็ต้องปฏิบัติไปตามกฎหมาย แต่เราก็มีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วยกับหลักการและเนื้อหาของกฎหมายบางฉบับ และมีสิทธิที่จะแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลการเมืองหรือการบริหาร เช่น ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง หรือแม้แต่คำวินิจฉัยของศาลยุติธรรม แต่เมื่อคำวินิจฉัยออกมาแล้วก็ต้องเคารพปฏิบัติตาม เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันศาล

การไปบัญญัติไว้ในกฎหมาย ให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองได้ นอกจากจะขัดกับหลักการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ขัดกับหลักนิติธรรม แล้วก็ยังขัดกับธรรมชาติความเป็นจริงของการเมือง ไม่ว่าที่ประเทศไหนๆ ไม่แน่ใจว่ามีประเทศใดที่มีบทบัญญัติทำนองนี้ ดังนั้นหลักอันนี้จึงไม่น่าจะเป็นหลักสากล แล้วก็ไม่ได้ผลในทางปฏิบัติ สมาชิกอื่นๆ ของพรรคที่ถูกยุบและมิได้เป็นกรรมการบริหารก็อาจจะก่อตั้งพรรคใหม่ หรือไปซื้อหัวของพรรคเล็กๆ ที่จัดตั้งไว้ขายก็ได้ ก็เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ ใครๆ ก็รู้ ถ้าไม่ชอบให้เรียกว่า "นอมินี"

พรรคการเมืองก็จะพยายามลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคให้น้อยลง หรือในที่สุดอาจจะ "จ้าง" คนมาเป็นกรรมการบริหารพรรคให้ ส่วนคณะผู้นำพรรคก็หลบไปจัดการอยู่เบื้องหลัง กรรมการบริหารที่จ้างมาเป็นก็ไม่มีวันทำอะไรผิด เพราะไม่ต้องทำอะไรหรือไม่ต้องลงเลือกตั้งก็ได้

ถ้ายังขืนมีกฎหมายแบบนี้อยู่ ในระยะยาววันข้างหน้า พรรคการเมืองสำคัญๆ ก็จะมี "กรรมการบริหาร" ตัวปลอมอยู่ ไม่ต้องลงเลือกตั้ง และมี "กรรมการบริหารเงา" หรือ "กรรมการบริหารที่แท้จริง" อยู่เบื้องหลัง แล้วก็ลงเลือกตั้ง พรรคก็ปลอดภัยดี เราต้องการอย่างนั้นหรือ รัฐธรรมนูญแบบนี้ก็คงจะเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับฟันปลอม" อย่างแท้จริง อย่างที่อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เคยกล่าวเอาไว้

ถ้าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือยกเลิกฉบับนี้เสียกลับไปใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2551 โดยพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมสนับสนุนด้วย ก็จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์อันดีงามของพรรค ไม่ใช่เป็นการสร้างความเสียหายให้กับประวัติศาสตร์ของพรรคในระยะยาว เสียดายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เพราะมีที่มาที่งดงามกว่าฉบับอื่นๆ ทั้งหมด และอยากให้คงอยู่ตลอดไป ไม่ชอบส่วนไหน ส่วนไหนที่ล้าสมัยที่ปฏิบัติไม่ได้ก็แก้ไขเอา แบบรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ฉีกทิ้งทั้งฉบับแล้วร่างมาใหม่ ซึ่งแย่กว่าฉบับดังกล่าวทั้ง "ที่มา" และ "เนื้อหา"

ที่สำคัญต้องถือว่า "การแก้ไข" รัฐธรรมนูญเป็นเรื่อง "ธรรมดา" แต่การ "ฉีก" รัฐธรรมนูญเป็นเรื่อง "ไม่ธรรมดา" อาจจะถือว่าเป็น "อาชญากรรมทางการเมือง"ด้วยซ้ำ ผู้ "ฉีก" รัฐธรรมนูญควรถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต

ตอนเรียนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ อาจารย์ ดร.สมภพ โหตระกิจ และอาจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย และครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็สอนไว้อย่างนั้น อาจารย์ทั้งสองท่านล่วงลับไปแล้ว แต่คำสอนของท่านก็ยังติดตรึงอยู่ในจิตใจของพวกเรานักเรียนการปกครอง เมื่อคราวร่างรัฐธรรมนูญปี 2517 ถึงกับบัญญัติแสดงเจตนารมณ์ไว้ในรัฐธรรมนูญว่า "ห้ามมิให้นิรโทษกรรมให้กับผู้ล้มล้างรัฐธรรมนูญ" แม้จะรู้ว่าเป็นบทบัญญัติที่ไม่มีผลใช้บังคับ เพราะถ้ามีการทำรัฐประหาร คณะรัฐประหารก็ฉีก "รัฐธรรมนูญ" ทันทีเป็นอันดับแรก และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ.2519 ซึ่งขณะนั้นท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอาจารย์สอนประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 5 และ 6 ว่าด้วยครอบครัวและมรดก ท่านก็สอดแทรกสอนไม่ให้เห็นด้วยกับการ "ฉีก" รัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับอาจารย์ท่านอื่นๆ ท่านยังเคยประชดประชันรัฐธรรมนูญฉบับปี 2512 ร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีที่มาจากคณะนายทหารที่ทำการรัฐประหารในยุคนั้นว่า เป็น "รัฐธรรมนูญฉบับฟันปลอม" ไม่ใช่ฟันจริงตามธรรมชาติ ใช้เคี้ยวอาหารไม่ได้ดีเท่ากับ "ฟันจริง"

การลงโทษตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค โดยใช้กฎหมายในทางที่เป็นโทษ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอะไรอย่างชัดเจนแล้ว ยังขัดกับหลักการรับผิดไม่ว่าทางอาญา ทางแพ่ง หรือทางการเมือง ไม่ต้องพูดถึงว่าขัดกับหลักกฎหมายอย่างชัดเจน น่าเห็นใจครูบาอาจารย์ทางกฎหมายและทางการปกครองหรือนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ต่อไปจะสอนหนังสือลูกศิษย์ลูกหาอย่างไร

การลงโทษตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค เท่ากับเป็นการกีดกันบุคลากรทางการเมืองชั้นนำของพรรค ซึ่งประเทศชาติมีน้อยอยู่แล้ว และในที่สุดประชาชนก็ยังเลือกพรรคอยู่ดี แต่จะเหลือบุคลากรระดับรองลงไปมาทำงานให้กับรัฐบาลและประชาชน แล้วก็ไม่พอใจที่ผู้นำทางการเมืองไม่กี่คนที่ส่งลูกบ้าง ภรรยาบ้าง มาเป็นรัฐมนตรี ถ้าไม่ให้เขาทำเช่นนั้นจะให้เขาทำอย่างไร เพราะธรรมชาติของการเมืองในความเป็นจริง ไม่ใช่ในทาง "อุดมคติ" ก็เป็นอย่างนั้น

อันนี้ก็เป็นผลพวงจากกฎหมายและคำวินิจฉัยไม่สอดคล้องกับโลกของความเป็นจริงในทางการเมือง และไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งแสดงออกจากผลการเลือกตั้งทั่วไป ไม่ได้ตัวจริงได้ตัวแทนก็ยังดี ซึ่งไม่เห็นมีประโยชน์โภชผลอันใด มีแต่ความเสียหาย

ขณะนี้ก็มีข่าวว่าอาจจะมีการยุบพรรคอีก 3 พรรค คือ พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาฯ เพราะกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้น ถ้ากรรมการบริหารพรรคทำผิดเลือกตั้ง หรือมีส่วนรู้เห็นกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พรรคการเมืองนั้นจะต้องถูกยุบ ถ้าพรรคการเมืองถูกยุบอีก ก็ไม่ต้องทำมาหากินกันแล้ว การเมืองไทยก็จะเป็นระบบที่เละเทะ ประชาชนซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการร่างกฎหมายเล่านี้เลยก็จะเป็นผู้รับเคราะห์ เพราะระบบการเมืองที่ผิดธรรมชาติของมนุษย์น่าเบื่อหน่ายที่สุด

นายกฯ ร่วมประชุมสุดยอด 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ที่ลาว

30 มี.ค. - ภารกิจนายกรัฐมนตรีขณะนี้ อยู่ในระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอด 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 3 ณ นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในหัวข้อหลักคือการพัฒนาเชื่อมโยงโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐาน

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะร่วมประชุมร่วมกับ 6 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียนาม และยูนานของจีน ในโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS SUMMIT มีกำหนดการ 2 วัน โดยวันนี้ นายกรัฐมนตรีจะหารือทวิภาคีกับนายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน ก่อนจะร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลง 2 ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา แลกเปลี่ยนสิทธิการเจรจาระหว่างประเทศ และความตกลงว่าด้วยการเดินรถไฟร่วมกันระหว่างไทย-ลาว ส่วนวันพรุ่งนี้จะเข้าร่วมประชุม GMS SUMMIT โดยมีหัวข้อหลัก คือ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ด้วยการพัฒนาเชื่อมโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐาน

และก่อนจะเดินทางไปเยือนประเทศลาว นายกรัฐมนตรีได้ออกรายการสนทนาประสาสมัคร โดยถือโอกาสแจงกรณีเดินตลาดเช้าระหว่างเยือนประเทศต่าง ๆ ที่ผ่านมาว่า เป็นการศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจพื้นฐานและใช้เวลาว่างจากภารกิจ ไม่กระทบกับการทำงาน

ส่วนการจัดรายการ วันนี้ ใช้ชื่อหัวข้อว่า “ทุกข์ของนายกฯ หน้าใหม่” สาระสำคัญเป็นการระบายความอัดอั้นที่ต้องระมัดระวังคำพูด เพราะบางครั้งสื่อก็นำไปตีความผิดเช่น ข่าวการปฏิวัติ นายสมัคร อ้างว่า สื่อมวลชนถามนำ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้บอกชัดเจนแล้วว่าไม่มีทหารเกี่ยวข้อง และยังขีดเส้นให้สื่อที่เสนอข่าวการทุจริตในรัฐบาล นำหลักฐานมาแสดงภายใน 3 วัน มิเช่นนั้นจะถือว่าสื่อดังกล่าวเสนอข่าวเท็จ


ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-03-30 12:15:44



นายกรัฐมนตรีปัดไม่ขอพูดเรื่องกลุ่มพันธมิตรฯ

กทม. 30 มี.ค. - นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยกล่าวเพียงว่า ตนไม่รู้ ไม่ได้ติดตามดู เมื่อถามว่าประชาชนจะเกิดอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า ไม่รู้ ไม่ชี้

เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มคัดค้านเข้ามาป่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และปาหินทำร้ายผู้ชุมนุม โดยอ้างว่ามีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปก.) อยู่เบื้องหลัง นายสมัคร กล่าวว่า ไม่เห็น เมื่อถามย้ำว่าจะมีการฟ้องกลับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า ไม่ทราบ. -สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-03-30 12:57:41

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker