บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จำคุก 7 เสื้อแดงสารคามฐานวางเพลิง-ขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 5 ปี 8 เดือน

ที่มา ประชาไท

ศาลจังหวัดมหาสารคามตัดสินจำคุกจำเลยคดีวางเพลิงเผาทรัพย์ ฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินรวม 5 ปี 8 เดือน รวม 7 คน ส่วนส่วนจำเลยที่ 4 รอลงอาญา ด้านทนายเตรียมทำเรื่องขอประกันตัวจำเลยที่เหลือเพื่อสู้คดี

วันนี้ (30 ธ.ค.53) เวลา 09.30 ศาลจังหวัดมหาสารคามนัดฟังคำพิพากษาตัดสินคดีร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ โรงเรือน อันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน และร่วมกันชุมนุม หรือมั่วสุม 5 คนขึ้นไป ฝ่าฝืนข้อกำหนดพระราชกำหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 บริเวณอำเภอเมือง จ.มหาสารคาม โดยมีจำเลยในคดีทั้งสิ้น 8 คน ได้แก่ นายสมโภชน์ สีกากุล อายุ 23 ปี อาชีพรับจ้าง นายสุชล จันปัญญา อายุ 19 ปี นักศึกษา นายเดชอดุลย์ เดชบุรัมย์ อายุ 20 ปี อาชีพรับจ้าง นายไข่เขย จันทร์เปล่ง อายุ 52 ปี อาชีพค้าขาย นายชรัณย์ เอกศิริ 26 ปี อาชีพรับจ้าง นายอุทัย คงหา อายุ 33 ปี อาชีพรับจ้าง นายมนัส วรรณวงษ์ อายุ 34 ปี อาชีพรับจ้าง นายไพรัช จอมพรรษา อายุ 39 ปี อาชีพรับจ้าง โดยทั้งหมดถูกจำคุกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 7 เดือน

ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 2 ช.ม. โดยตัดสินจำคุก จำเลยที่ 1-3 และ จำเลยที่ 5-8 เป็นระยะเวลา 5 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ในขณะที่จำเลยที่ 4 ได้แก่ นายไข่เขย จันทร์เปล่ง ตัดสินให้รอลงอาญา

สำหรับบรรยากาศหลังทราบคำพิพากษา ญาติและครอบครัวของผู้ต้องขังต่างร้องไห้เสียใจ

สำหรับมูลค่าความเสียหายที่ระบุในคำฟ้อง ซึ่งอ้างถึงความเสียหายของตัวอาคารอำเภอ และพาหนะ เครื่องใช้สำนักงาน รวมถึงสาธารณะสมบัติรวมแล้ว มีมูลค่า 352,000 บาท

ทั้งนี้ ในช่วงบ่าย ทนายและคณะจะทำเรื่องขอประกันตัวผู้ต้องขังทั้งเจ็ดคนต่อศาลต่อไป

ด้าน นางบุญเลี้ยง จันทร์เปล่ง ภรรยาวัย 51 ปีของนายไข่เขย กล่าวว่า จะต้องเสียค่าปรับหนึ่งหมื่นบาท แต่ไม่มีเงินเสียค่าปรับ ขณะนี้ยังรอความช่วยเหลือภายนอก และว่า อยากให้พี่น้องร่วมคดีออกมาพร้อมกันทั้งแปดคน ไม่อยากให้นายไข่เขยออกมาคนเดียว

นางบุญเลี้ยง แสดงความกังวลด้วยว่า สามีอาจจะเป็นอันตรายเพราะสามีก็เป็นแกนนำ ทำให้รู้สึกกลัวว่าจะถูกฆ่าเหมือนกรณีแดง คชสารที่เชียงใหม่

ที่สุดแห่งปีของท่านผู้อ่านไทยอีนิวส์

ที่มา Thai E-News


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
31 ธันวาคม 2553



1.เหตุการณ์สำคัญแห่งปี'53-อำมาตย์ปราบม็อบนองเลือดเม.ย.-19พ.ค.

ไทยอีนิวส์ได้จัดทำแบบสำรวจเหตุการณ์สำคัญแห่งปี'53 มีท่านผู้อ่านตอบแบบสำรวจจำนวน 1,818 ท่าน ผลเป็นดังนี้

-เหตุการณ์อำมาตย์ปราบม็อบนองเลือด เม.ย.-19 พ.ค.53 จำนวน1,508 ท่าน คิดเป็น 82%
-รองลงมาคือกรณีที่ ศาลตลก.รธน.ไม่ยุบประชาธิปัตย์ 183 ท่าน (10%)
-เหตุการณ์ยึดทรัพย์+ไล่ล่าทักษิณ 67 ท่าน(3%)
-ฟิล์มทำแอนนี่ท้องแล้วทิ้ง 16 ท่าน(0%)
-เคอิโงะตามหาพ่อ 14 ท่าน (0%)
-หลินปิงเกิดมาน่ารัก 12 ท่าน (0%)
-พสกนิกรแห่ถวายพระพรในหลวงให้หายประชวร 8 ท่าน (0%)
-น้ำท่วมใหญ่ 7 ท่าน (0%)
-เหตุการณ์อื่นๆ 3 (0%)


Note:แม้แต่สำนักข่าวCNNก็จัดให้เหตุการณ์ประท้วงใหญ่ของคนเสื้อแดงในประเทศไทย เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดอันดับ 1 ในการจัดอันดับข่าวที่CNNถือว่าเป็น"20เหตุการณ์เปลี่ยนโลกในปี2553"

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์อื่นๆก็นับว่าสำคัญไม่น้อย สำนักวิจัยสวนดุสิตโพลล์เปิดเผยว่าที่สุดแห่งปี2553ได้แก่เหตุการณ์ประชาชนสุขใจในหลวงหายพระประชวร อย่างไรก็ตามจากการจัดสำรวจของเรา มีผู้อ่านตอบแบบสำรวจข้อนี้ไม่ถึง 1%

2.บุคคลแห่งปี53-ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง


มีท่านผู้อ่านตอบแบบสำรวจนี้ทั้งสิ้น 2,832 ท่าน ผลเป็นดังนี้

-ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง จำนวน 1,203 ท่าน (42%)
-ทักษิณ ชินวัตร 540 ท่าน(19%)
-คนเสื้อแดง 517 ท่าน (18%)
-บก.ลายจุด 246 ท่าน (8%)
-3เกลอ+แกนนำนปช. 229 ท่าน (8%)
-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 41 ท่าน(1%)
-สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา 33 ท่าน(1%)
-ประยุทธ์ จันทร์โอชา 11 ท่าน (0%)
-สรรเสริญ แก้วกำเนิด 6 ท่าน (0%)
-อื่นๆ 6 ท่าน (0%)


Note:ในการชุมนุมรำลึกวีรชนราชประสงค์ครบรอบ 6 เดือน เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนนั้น เราเห็นผู้ไปชุมนุมรำลึกตะโกนคำขวัญว่า"ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง" ซึ่งป่านนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าไอ้เหี้ยกับอีห่านั้นหมายถึงบุคคลใด แต่ท่านผู้อ่านตอบแบบสำรวจมาว่าเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลแห่งปี และน่าจะเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์สำคัญแห่งปีในข้อ1ด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยเป็นบุคคลแห่งปีจากการสำรวจของเราในปีกลาย หล่นลงมาอยู่ในอันดับ 2 โดยที่ท่านผู้อ่านยกให้มวลชนคนเสื้อแดงมาเป็นอันดับที่ 3 ส่วนแกนนำนปช.ที่ต้องติดคุก กับบก.ลายจุดที่เข้ารับภารกิจแทนนั้นมีคะแนนสูสีกัน


3.ฉายารัฐบาล-สมุนรับใช้ทรราชเหี้ยสั่งฆ่า

มีท่านผู้อ่านตอบแบบสำรวจหัวข้อนี้ทั้งสิ้น 2,069 ท่าน ผลเป็นดังนี้

-สมุนรับใช้ทรราชเหี้ยสั่งฆ่า 1,220 ท่าน (58%)
-เส้นมาม่าบลูต้มยำเลือด 289 ท่าน (13%)
-เส้นใหญ่ผัดซีอิ้ว 218 ท่าน (10%)
-นาธานเรียกพี่ 173 ท่าน(8%)
-หุ่นพิฆาตอำมาตย์ทมิฬ 163 ท่าน (7%)
-อื่นๆ 6 ท่าน(0%)


Note:ขณะที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลซึ่งเคยตั้งฉายารัฐบาลดุเดือดทุกปี มาปีนี้ถ้อยทีถ้อยอาศัยแบบเอาใจช่วยสุดๆ โดยให้ฉายาว่า"รัฐบาลรอดฉุกเฉิน" ท่านผู้อ่านของเราลงมติท่วมท้นให้ฉายา"รัฐบาลสมุนรับใช้ทรราชย์เหี้ยสั่งฆ่า"อันสอดคล้องกับข้อ 1 และข้อ 2

4.วาทะแห่งปี'53-ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า อีหมาสั่งยิง ไอ้เหี้ยสั่งเผา

มีท่านผู้อ่านตอบแบบสำรวจนี้ทั้งสิ้น 2,170 ท่าน ผลเป็นดังนี้

-ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า อีหมาสั่งยิง ไอ้เหี้ยสั่งเผา 1,413 ท่าน (65%)
-คนเจ็บถูกใส่ร้าย คนตายถูกกล่าวหา คนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล 560 ท่าน (25%)
-ที่นี่คือบ้านของพ่อ ไม่รักพ่อก็ออกไปจากบ้านซะ 73 ท่าน (3%)
-รู้สึกเสียดายที่ต้องเสียพ.อ.ร่มเกล้า เป็นทหารที่ดี 46 ท่าน (2%)
-ศอฉ.ขอพื้นที่คืน กระชับพื้นที่ กระชับวงล้อม 63 (2%)
-เสื้อแดงฆ่ากันเอง พรรคเผาไทยเผาประเทศ 10 (0%)
-อื่นๆ 5 (0%)



Note:วาทะแห่งปีที่ท่านผู้อ่านVoteนี้ยังสอดคล้องกับ3ข้อเบื้องต้น โดยเป็นคำขวัญที่คนเสื้อแดงใช้ตะโกนในที่ชุมนุมรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สังหารหมู่เดือนเมษายน-พฤษภาคม คำขวัญนี้เริ่มแพร่หลายเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงในมหานครลอสแองเจลีส(แอลเอ)สหรัฐอเมริกา ได้พากันเดินขบวนรำลึกวีรชนเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา และตะโกนคำว่า"ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า"และมีสร้อยต่อท้ายในเวลาต่อมา

5.สื่อกระแสหลักยอดเยี่ยมแห่งปี'53-เครือมติชน+ข่าวสด

มีท่านผู้อ่านตอบแบบสำรวจนี้จำนวน 1,830 ท่าน ผลสำรวจเป็นดังนี้

-เครือมติชน+ข่าวสด 1,285 ท่าน (70%)
-โลกวันนี้ 253 ท่าน(13%)
-ไทยรัฐ 118 (6%)
-สรยุทธ์ สุทัศนจินดา+ข่าว3 จำนวน 73 ท่าน (3%)
-สื่ออื่นๆ 74 ท่าน (4%)
-เครือผู้จัดการ+ASTV 19 ท่าน (1%)
-เครือเนชั่น+คมชัดลึก 8 ท่าน (0%)


Note:ผู้ใดยึดกุมสื่อผู้นั้นกุมอำนาจ คำกล่าวนี้ยังเป็นจริง ท่านผู้อ่านของเราโหวตให้เครือมติชน+ข่าวสด เป็นสื่อกระแสหลักยอดเยี่ยมในปีนี้ ซึ่งปีนี้ยังนับว่าดีที่ยังพอมีเครือมติชน และข่าวสดที่มีทัศนะค่อนมาทางเห็นอกเห็นใจเสื้อแดงเพิ่มขึ้นค่ายหนึ่ง และพยายามนำเสนอข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน(Investigative news)อย่างดีในการนำเสนอข่าว โดยเฉพาะกรณีสังหารหมู่เสื้อแดง หากเทียบกับตอนเหตุการณ์ชุมนุมสงกรานต์เลือดปี2552ที่แทบจะไม่มีสื่อกระแสหลักค่ายใดเลยที่มีทัศนะท่าทีเห็นอกเห็นใจคนเสื้อแดง

ข้อที่น่าสังเกตอีกประการคือเครือเนชั่นก้าวขึ้นมายึดที่โหล่แทนเครือASTVผู้จัดการในปีนี้ ซึ่งเป็นฝีมือแท้ๆไม่ใช่โชคช่วย ด้วยอคติที่ยากจะเรียกว่าเป็น"นักวิชาชีพสื่อ"ของสุทธิชัย หยุ่น กนก รัตน์วงศ์สกุล ธีระ ธัญญไพบูลย์ เป็นตราบาปสำคัญ

6.เสื้อแดงผิดพลาดอะไรที่สุดปี53-ทักษิณ+แกนนำล้าหลังมวลชนที่ต้องการปฏิวัติประเทศ

มีท่านผู้อ่านตอบแบบสำรวจนี้ทั้งสิ้น 2,035 ท่าน ผลเป็นดังนี้

-ทักษิณ+แกนนำล้าหลังมวลชนที่ต้องการปฏิวัติประเทศ 629 ท่าน (30%)
-ทักษิณสู้ไปกราบไป 362 ท่าน(17%)
-แกนนำไม่มีเอกภาพขาดสามัคคี 259 ท่าน (12%)
-มีข้อเรียกร้องยุบสภา ทำไมไม่ยอมยุติม็อบเมื่อมาร์คยอมจะยุบแล้ว 201 (9%)
-แกนนำให้ความหวังลมแล้ง เช่น UNจะช่วยให้ชนะ 175 ท่าน (8%)
-แกนนำปลุกให้มวลชนยอมสละชีวิต แต่ยังแพ้ 21 ท่าน (1%)
-ทักษิณ+แกนนำพาเจ็บตายคิดคุกไม่เยียวยา 18 ท่าน (0%)
-แกนนำไม่ถนอมรักษามวลชน 15 ท่าน (0%)
-ทำผิดทุกข้อที่ว่ามา 275 ท่าน(13%)
-อื่นๆ 80 ท่าน (3%)


Note:เราได้ตั้งแบบสำรวจนี้เพื่อให้คนเสื้อแดงได้ทบทวนว่า ผิดพลาดตรงไหน จึงเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้มาโดยตลอด ทั้งที่อ้างว่ามีจำนวนมวลชนจำนวนมากกว่า มีผู้สนับสนุนค่อนประเทศ

ความจริงเราได้วิพากษ์วิจารณ์ขบวนการคนเสื้อแดงเป็นระยะๆ รวมทั้งเสนอให้แกนนำถนอมรักมวลชนให้มากกว่าที่เป็น ไม่เคลื่อนไหวสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตการสูญเสีย และเสียหายพ่ายแพ้ทั้งขบวน(อ่าน จุดยืนไทยอีนิวส์ต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน:โปรดให้โอกาสสุดท้ายแก่สันติภาพ เปิดเจรจาหาทางออก เมื่อ 7 เม.ย.53)

อย่างไรก็ตามคนเสื้อแดงที่เรียกตนว่า"แดงแท้"บางรายก็ไม่สบใจนักกับท่าทีดังกล่าวของเรา โดยบริภาษมาอย่างสาดเสียเทเสีย ซึ่งเรายินดีรองรับอารมณ์ของท่านไว้ แต่ลองพิจารณาซักนิดก็จะพบว่า นี่คือท่วงทำนองของมิตร เราไม่ใช่ศัตรูของท่าน..

ผลการสำรวจที่ชี้ว่าทักษิณและแกนนำล้าหลังมวลชนนั้น อาจชี้ว่าสถานการณ์ข้างหน้าสุกงอมสำหรับการปฏิวัติประเทศ ไม่ใช่การปฏิรูปประเทศ อย่างไรก็ดี ขึ้นกับผู้กุมอำนาจรัฐว่าโง่หรือฉลาดที่จะถอดชนวนเงื่อนไขการปฏิวัติประชาชน หรือยังจะสุมเพลิงเร่งไฟให้ถึงหายนะไวขึ้น


7.เสื้อแดงควรไปทางไหนปี'54-ปรับยุทธศาสตร์ เน้นตีตรงเป้าที่ศัตรูตัวใหญ่

มีท่านผู้อ่านตอบแบบสำรวจนี้ทั้งสิ้น 1,809 ท่าน ผลเป็นดังนี้

-ปรับยุทธศาสตร์ เน้นตีตรงเป้าที่ศัตรูตัวใหญ่ 843 (46%)
-ก้าวพ้นทักษิณ+จัดองค์นำการต่อสู้ใหม่ 372 (20%)
-ปรับยุทธวิธีไม่เน้นชุมนุม เช่น เน้นบอยคอต,นัดสไตรค์ 276 (15%)
-ใจเย็นๆประคองตัวอย่าให้แพ้ รอ'เวลา'ทำงาน 263 (14%)
-เหนื่อยหน่ายเต็มที ยกประเทศให้พวกมันเถอะ พอแล้ว 28 (1%)
-ไปตายๆซะ ไอ้พวกเสื้อแดงเผาเมืองขี้ข้าเหลี่ยม 14 (0%)
-อื่นๆ 13 (0%)


Note:ผลการสำรวจนี้ น่าจะต่อเนื่องจากข้อ 7 คือ คนเสื้อแดงเห็นว่าทักษิณและแกนนำยังล้าหลังมวลชน ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยชื่อของศัตรูคนสำคัญของขบวนเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในประเทศไทย ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเล่นทุกไม้ ทั้งสังหารหมู่ ลอบสังหาร ตามไล่ล่า ขังคุก คุกคาม แล้วจะไปชนะได้อย่างไร..

นี่อาจชี้ว่าสถานการณ์ข้างหน้าสุกงอมสำหรับการปฏิวัติประเทศ ไม่ใช่การปฏิรูปประเทศ อย่างไรก็ดี ก็ขึ้นกับผู้กุมอำนาจรัฐว่าโง่หรือฉลาดที่จะถอดชนวนเงื่อนไขการปฏิวัติประชาชน หรือยังจะสุมเพลิงเร่งไฟให้ถึงหายนะไวขึ้นในปีใหม่นี้อีกด้วย


8.ปีใหม่นี้อยากได้ปฏิทินคนเสื้อแดง

มีท่านผู้อ่านตอบแบสำรวจนี้ทั้งสิ้น 2,573 ท่าน ผลเป็นดังนี้

-ปฏิทินคนเสื้อแดง 1866 (72%)
-ปฏิทินโป๊ 306 (11%)
-ปฏิทินวิวทิวทัศน์,ดอกไม้ 200 (7%)
-ปฏิทินธรรมะ 90 (3%)
-ปฏิทินในหลวง-ราชินี,ราชวงศ์ 57 (2%)
-อื่นๆ 35 (1%)
-ปฏิทินดารา 19 (0%)

Note:แบบสำรวจนี้เป็นการสุ่มสำรวจทัศนคติแบบเบาๆ แต่ผลที่ออกมานั้น ก็คงไม่อาจดูเบาได้ทีเดียว..

ช็อตเด็ดวันนี้:มาร์คไม่ว่างมาดู7คนไทยนอนคุกเขมร

ที่มา Thai E-News



ชะตากรรม-พนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์ และวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวพันธมิตร พร้อมคนไทยรวม 7 คน ถูกทางการกัมพูชาควบคุมตัวไปขึ้นศาล เมื่อ30ธ.ค. ซึ่งศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 6 เดือน ฐานรุกล้ำดินแดนเข้าเมืองผิดกฎหมาย และบุกรุกสถานที่ราชการ นายกฯฮุนเซ็นของกัมพูชาปฏิเสธที่จะเจรจาช่วยเหลือทางการทูตให้พ้นโทษ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรชาตินิยมขวาจัด ยั่วยุให้รัฐบาลไทยเปิดสงครามชิงตัวนักโทษ (ภาพข่าว:AFP)

พนิชเขียนในนface book ของเขาล่าสุดว่า "ผมยังคงอยู่ในกัมพูชา ผมปลอดภัยดีนะครับ ขอบคุณทุกกำลังใจที่ถามไถ่ผ่านเลขาผมเข้ามา ผมขอยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นผมทำเพื่อประเทศชาติที่ผมรัก ( สำหรับ twitter มีคนถามกันว่าตัวจริงหรือปลอมผมยืนยันว่าตัวจริงนะครับแต่ในช่วงนี้ผมได้ update ผ่านเลขาผม ) ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริงครับโดยเฉพาะพี่น้องเขต 6 ของผม"

พอดีว่าไม่ค่อยว่าง-ระบอบปกครองอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยอมรับว่าทั้งเจ็ดรุกล้ำเข้าไปในดินแดนของกัมพูชาจริง และจะตั้งทนายความต่อสู้คดี ขณะที่วันเดียวกันอภิสิทธิ์ติดราชการอยู่หลายเรื่อง รวมทั้งต้อนรับนักเทนนิสสาวจากเบลเยี่ยมและเดนมาร์คที่ทำเนียบรัฐบาล 2นักเทนนินสาวสวยมีโปรแกรมแข่งขันเทนนิสที่ชายหาดหัวหินในวันที่ 1 มกราคมนี้ (ภาพข่าว:REUTERS)

มติชนออนไลน์ รายงานช่วงวันหยุดปีใหม่ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2553 -3 มกราคม 2554 นายอภิสิทธิ์ ได้พาครอบครัวไปพักผ่อน จ.ตาก ซึ่งมีน้ำตกทีลอซูใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ

โดยนายอภิสิทธิ์ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลว่า "จะไปพักผ่อนส่วนตัว ไม่ต้องตามไป เจอกันที่ทำเนียบรัฐบาลวันที่ 4 มกราคม ปีหน้า ประชุม ครม."

ทนายเสื้อแดง:หากใครเห็นความจำเป็นว่าต้องสู้คดีอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยไปตามมีตามเกิด ก็ให้มาร่วมกัน

ที่มา Thai E-News


ค่าทนายเราไม่มีครับ นอกจากนั้นยังต้องตามไปดูแลญาติๆของลูกความด้วย เราโชคดีที่เรียนมาทางกฎหมาย และได้นำสิ่งที่เราเรียนมา มารับใช้ชาวบ้าน เราได้เข้ามาสัมผัสถึงความยากลำบากแบบ “ดราม่า”ด้วย มีอยู่กรณีหนึ่งลูกความคดีเผาศาลากลางพยายามฆ่าตัวตาย โชคดีส่งโรงบาลทัน ได้มีโอกาสพูดคุย จึงรู้ว่า แกตั้งใจฆ่าตัวตายในวันเกิดของลูกสาวแก คือเรื่องนี้มันดราม่ามากๆ ก็อีกนั่นแหละครับ เราก็เลยพากันซื้อเค้กวันเกิดไปให้ลูกสาวแกเป่าในโรงพยาบาล ..ตอนนี้ผมเทหมดหน้าตักออกจากงานเก่ามาตั้งศูนย์ทำคดีนักโทษทางการเมืองอย่างเดียวให้เต็มที่ในปีใหม่นี้ เพราะไม่อยากให้เป็นไปตามมีตามเกิดอีกต่อไป หากท่านใดที่เห็นว่ามีความจำเป็นเหมือนกันก็ให้มาร่วมกันครับ.. แต่ถึงไม่มีใครยินดีช่วยเลย ผมก็จะลุยของผมเต็มที่อยู่แล้ว


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
30 ธันวาคม 2553

สัมภาษณ์เปิดใจทนายเสื้อแดง อานนท์ นำภา:'ผมเทหมดหน้าตัก เพราะไม่อยากให้สู้คดีตามมีตามเกิด'

หมายเหตุไทยอีนิวส์:เราได้สัมภาษณ์อานนท์ นำภา ทนายความที่ช่วยเหลือคดีผู้ต้องหาคดีการเมืองกรณี 19 พฤษภาคม และผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในทุกแง่มุมที่ผู้รักคววามเป็นธรรมอยากจะรู้ เช่น เข้ามาเกี่ยวข้องคดีต้องห้ามในวงการทนายนี้ได้อย่างไร ใครให้เงินมาว่าความ ทักษิณให้เงินไหม? ความหนักเบายากง่ายในคดีประเภทนี้ และอนาคตลูกความของเขา..รวมทั้งการเปิดตัวศูนย์ช่วยเหลือคดีนักโทษการเมือง โดยตอนนี้มีแต่"ใจ"ล้วนๆ ที่จะช่วยคดีเหล่านักโทษการเมือง ซึ่งพวกเขาได้อุทิศตัวต่อสู้และไปติดคุกแทนพวกเราๆ ที่ยังเป็นอิสรชนอยู่นอกกำแพงคุก และกำลังเพลิดเพลินฉลองปีใหม่อยู่ในเวลานี้
**********

ลูกความของอานนท์-ลูกความของอานนท์คือผู้ต้องหาที่ทนายทั่วไปไม่อยากรับทำคดี คือผู้หาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และคดีการเมืองทั้งต้องหาว่าเผาห้าง เผาศาลากลาง ลูกความบางรายรอความยุติธรรมไม่ไหวก็พยายามฆ่าตัวตาย ซ้ำร้ายกว่านั้นคือไม่ตาย ทั้งที่พยายามฆ่าตัวตายในวันเกิดลูก ทนายความอย่างเขาต้องหาเทียนวันเกิดมาให้ลูกเป่าในโรงพยาบาล และต้องเขียนบทกวีให้แม่ผู้ต้องขังที่ไปแอบรั้วคุกดูลูกชายที่ถูกคุมขังโดยอยุติธรรม

Q:อยากให้ทนายอานนท์ นำภา เล่าให้ฟังความเป็นไปเป็นมาที่ได้มาเกี่ยวข้องกับคดีการเมืองด้วยว่า มีจุดเริ่มต้นจากไหน


A: เรื่องนี้ต้องเริ่มจากตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยครับ จริงๆ ตอนที่ผมสอบเอ็นทรานซ์ ผมเลือกลงคณะนิติศาสตร์เป็นอันดับแรก แต่มันคะแนนสอบไม่ถึง เลยจับพลัดจับผลู ไปเรียนสังคมวิทยาฯที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เรียนได้แค่เทอมเดียวก็ต้องออก เพราะรู้ว่าตนเองชอบเรียนกฎหมายมากกว่า จึงออกมาเรียนกฎหมายที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

แต่ช่วงที่ได้มีโอกาสได้ไปเรียน และเข้าไปทำกิจกรรมกับเพื่อนที่ธรรมศาสตร์นี่แหละ ที่ได้มีโอกาสได้รู้จักกับคนในวงการกิจกรรมนักศึกษา เช่น พี่โชติศักดิ์ (ที่ถูกดำเนินคดีไม่ยืนในโรงหนัง) พี่สงกรานต์ และรู้จักเพื่อนๆอีกหลายคน

ซึ่งคนเหล่านี้ก็เป็นนักกิจกรรมที่ทำกิจกรรมทางสังคมมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย เราเป็นน้องใหม่ก็ได้ซึมซับมาด้วย และตอนเรียนที่รามฯก็มีโอกาสได้ออกค่ายบ่อยๆ ทำให้เห็นปัญหาสังคมมากขึ้น รวมทั้งก็ได้ร่วมขบวนชุมนุมของชาวบ้านหลายๆที่

กระทั่งเรียนจบที่รามฯสามปี ก็ฝึกงานที่ออฟฟิศกฎหมายที่ทำคดีทางสังคม เช่น คดีชาวบ้านที่จ.ประจวบฯ ,จ.สระบุรี , คดีท่อแก๊ซไทย – มาเลเซีย และคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีกหลายคดี

เหตุการณ์มาพลิกผันเข้าสู่การทำคดีการเมืองอย่างจริงจังก็ตอน ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก ยังเป็นน้องเล็ก(นักกิจกรรมรุ่นเล็ก) ก็ได้ไปประชุมกับพี่ๆ และเริ่มจัดตั้งกลุ่ม “ เครือข่าย ๑๙ กันยา ต้านรัฐประหาร” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักกิจกรรมหลายๆรุ่น
เช่น พี่หนูหริ่ง(สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด) พี่อุเชนทร์ เชียงแสน (อดีตเลขาธิการ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย-สนนท.) พี่โฉด (โชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ต้องหาคดีไม่ยืนในโรงหนัง) รวมทั้งพี่ๆนักกิจกรรมเก่าๆอีกหลายคน

เดิมเราตั้งเวทีปราศัยในธรรมศาสตร์ และภายหลังก็มีการชุมนุมทุกวันอาทิตย์ และย้ายมาชุมนุมต้านการรัฐประหารที่สนามหลวงในเวลาต่อมา

ตอนนั้นผมมีหน้าที่เขียนบทกวีขึ้นไปอ่านครับ อันนี้ก็เป็นกวีจำเป็นทำนองนั้น ( เรื่องประกอบ:อ่านบทกวีชื่อ เหมือนบอดใบ้ ไพร่ฟ้ามาสุดทาง )

ส่วนคนที่ขึ้นพูดบนเวทีก็จะเป็นรุ่นใหญ่บ้าง กลางบ้าง เล็กบ้าน เช่น หมอเหวง โตจิราการ ครูประทีป อึ๊งทรงธรรม-ฮาตะ พี่หนูหริ่ง และอีกหลายคน และหลังจากนั้น คดีการเมืองก็คืบคลานเข้ามาสู่ชีวิตผมอย่างเป็นทางการ

Q:ได้ทำคดีการเมืองไปกี่คดีก่อนจะมีเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม มีคดีอะไรบ้าง ลองเล่าตัวคดีให้ฟังคร่าวๆ

A: ก่อน ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ คดีส่วนใหญ่ที่ทำเป็นคดีชาวบ้านที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นหลัก

จริงๆ ต้องบอกว่าหัวหน้าออฟฟิศเป็นนักกฎหมายทางสังคม (พี่ทอม สุรชัย ตรงงาม) คดีเหล่านี้จึงได้รับการไว้วางใจให้ออฟฟิศผมทำ

เช่น คดีชาวบ้านที่ จ.ประจวบฯที่ค้านโรงถลุงเหล็ก ,ชาวบ้านที่สระบุรี ที่ต้านโรงไฟฟ้า และที่ จ.สงขลา ที่ฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐกลับในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ส่วนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตาม ม.๑๑๒ ที่ทำก็เช่น คดีนายสุวิชา ท่าค้อ , คดีเวบไซต์ประชาไท และเป็นคนช่วยดูคดีนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง(กรณีไม่ยืนในโรงหนัง) และคดีของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน


ซึ่งแน่นอนว่าเรายังเป็นวัยรุ่นก็ช่วยเป็นตัวประสาน ที่ทำเป็นตัวหลัก็คดีนายสุวิชา ท่าค้อ และคดีประชาไท ส่วนคดีของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันก็เป็นการร่วมงานกับทีมทนายอาวุโสของสภาทนายความ

ส่วนคดี นายโชติศักดิ์ ต้องบออกว่าเป็นคดีรุ่นพี่ที่รู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่เรียนมหาลัย คร่าวๆ น่าจะประมาณนี้

อ้อ ยังมีคดีของสหภาพแรงงานไทรอั้มพ์ของพี่หนิง(จิตรา คชเดช)อีกคดี ซึ่งเป็นคดีที่สหภาพไปชุมนุมเพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี แต่โดนข้อหา ชุมนุมมั่วสุม และถูกสลายการชุมนุมโดยเครื่องแอลแลต (เครื่องทำลายประสาทหู) อันนี้รับผิดชอบหลัก

แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นศาล ขณะนี้อยู่ในชั้นอัยการ

Q:คดีการเมืองที่มาทำในกรณี19พฤษภาคม ทำกี่คดี ที่ไหนบ้าง หากสะดวกช่วยเล่าทีละกรณีให้ฟังด้วยก็ดีว่า แต่ละคดีเป็นอย่างไร ตั้งแต่ตัวความ โดนคดีแบบไหน เจอเหตุการณ์อะไรบ้าง

A:ต้องเริ่มจากตอนที่รัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ และมีการปิดเว็ปไซท์ประชาไทในวันรุ่งขึ้น ผมกับพี่ที่ออฟฟิศก็งานเข้า เราได้ฟ้อง นายกรัฐมนตรีกับ ศอฉ. ต่อศาลแพ่งให้เปิดเว็ปประชาไท ซึ่งคดีอยู่ศาลอุทธรณ์ในขณะนี้

ต่อมาภายหลังจากมีการสลายการชุมนุม รัฐบาลได้ดำเนินการจับกุมตัวนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และคนเสื้อแดง ประเภทที่เรียกว่ากวาดจับก็ว่าได้ ซึ่งหลังเหตุการณื ๑๙ พฤษภาคม ใหม่ๆ ศอฉ. ได้จับและควบคุมตัวนักกิจกรรมคือ พี่หนูหริ่งไปควบคุมตัวที่ค่ายตชด. คลอง ๕ จังหวัดปทุทธานี

ซึ่งตอนนั้นเองพี่หนูหริ่งก็มิได้เป็นที่รู้จักของคนเสื้อแดงเลย ผมกับพี่ๆ อดีตนักกิจกรรมได้เข้าให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย และเป็นทนายความให้พี่แก ๒ คดี คือคดีชุมนุมมั่วสุมก่อความวุ่นวาย


อันนี้ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้มีเจตนาที่จะทำคดีแกนนำเลย ที่เราเข้าไปตอนแรกๆ ก็เพราะพี่หนูหริ่งเป็นนักกิจกรรมที่รู้จักกัน แต่ภายหลังแกมีบทบาทนำมากขึ้น ก็เลยกลายเป็นว่าผมกับพี่ๆ เพื่อน ๆ ทำคดีแกนนำไปโดยปริยาย

อีกคดีอันนี้ตลก แบบเศร้า ๆ เป็นคดีลุงบัง ลุงบังถูกควบคุมตัวเข้ามาที่ค่ายเดียวกับพี่หนูหริ่งไล่เลี่ยกัน แกไม่มีคนรู้จักและมมีคนไปเยี่ยมเลย

พี่หนูหริ่งอีกนั่นแหละที่ขอให้เราช่วยเหลือแก คือแกน่าสงสารมาก เราเลยให้ความช่วยเหลือโดยยื่นคำร้องคัดค้านการควบคุมตัว แต่พระเจ้า ต่อมาภายหลังแกถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ ๑๙ ในคดีก่อการร้าย คดีเดียวกับแกนนำเสื้อแดง ก็เลยทำให้เราต้องเข้าไปทำคดีเดียวกับแกนนำโดยปริยาย

ซึ่งสองคดีนี้แหละที่เป็นเหมือนประตูของการเข้ามาทำคดีของคนเสื้อแดงอย่างเต็มรูปแบบ และเป็นที่รู้จักโดยไม่ได้ตั้งใจแต่ประการใด

แต่ต้องบอกว่าที่มาทำไม่ได้ในฐานะทนายอะไรหรอกครับ แต่ผมเห็นด้วยกับพี่หนูหริ่งต่างหาก และเห็นด้วยกับการชุมนุมและการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงด้วย


ต่อมาก็ลงพื้นที่ไปจ.อุบลฯ โดยไปเก็บข้อมูลและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเบื้องต้น ซึ่งภายหลังทนายความในพื้นที่ก็รับไปทำต่อ

แล้วเราก็ได้รับการประสานให้ลงพื้นที่ที่ จ.มุกดาหาร เพราะได้ข่าวว่าทนายความเดิมที่นั่นไม่เวิร์ค ก็เป็นไปตามที่คาด ภายหลังจากทนายความคนเดิมที่มุกดาหารถอนตัวออก เราก็เลยเข้าไปทำอย่างเต็มรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ลงพื้นที่ไปสอบข้อเท็จจริงเรียงคดี ซึ่งมีจำเลยกว่า ยี่สิบคน

คดีก็ยุ่งยากมากเพราะต้องทำงานประสานกับหลายฝ่าย และนอกจากงานคดีแล้ว เรายังได้ลงปูเรื่องสภาพความเป็นอยู่ของจำเลยแต่ละคนด้วย เรียกว่าลงไปคลุกคลีกับเขาเลยทีเดียว


ที่มุกดาหารนี้มีความน่าสนใจตรงที่ชาวบ้านที่นี่เป็นเสื้อแดงแท้ครับ ประเภท “ไม่ได้จ้าง กูมาเอง” เลยทีเดียว แต่ที่เป็นปัญหาคือ ชาวบ้านที่นี่มีฐานะยากจน หลักประกันไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเลยครับ เราในฐานะทนายความก็ต้องหาเงินไปเช่าหลักประกันให้ ก็หยิบยืมกันมาเป้นส่วนตัวหละครับ


แต่ก็อีกนั่นแหละ เราก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนเสื้อแดงเป็นอย่างดีอีกเช่นเคย จนเราสามารถประกันตัวจำเลยคดีเผาศาลากลางออกมาได้ถึง ๓ คน ซึ่งจังหวัดอื่นไม่สามารถประกันได้

และที่เรารู้สึกผูกพันกับชาวบ้านเสื้อแดงที่นี่คือ เราได้เข้ามาสัมผัสถึงความยากลำบากแบบ “ดราม่า” ของที่นี่ ประเภทตามไปดูบ้านของจำเลยทั้ง ๒๐ คนเลยทีเดียว ซึ่งมีน้องทนายคนนึงถึงกับบอกว่า “เหลือแค่กวาดบ้านให้เท่านั้นหละพี่”


อันนี้มีเรื่องจะเล่าให้ฟังนิดนึงครับ คือเคสของนายวินัย

เรื่องมันมีอยู่ว่า ทางทีมทนายความได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลส่งตัวจำเลยที่ป่วยไปทำการรักษาที่โรงพยาบาล แต่ศาลก็ไม่ได้อนุญาต จนเจ้าหน้าที่เรือนจำต้องทำการส่งไปเสียเอง ผมกับน้องทนายความอีกสองคนก็ตามไปดูที่เรือนจำ ปรากฎว่า พอไปถึงเรือนจำ ได้มีจำเลยอีกคนนึง “กินน้ำยาปรับผ้านุ่ม” เพื่อฆ่าตัวตาย คือนายวินัยนี่เองครับ ประเภทพอเราไปถึงก็นอนกองที่พื้นแล้ว เลยพากันนำตัวขึ้นรถพยายบาลไปที่โรงพยาบาล ดีที่แพทย์ช่วยชีวิตไว้ทัน

ขณะอยู่ที่โรงบาลได้มีโอกาสพูดคุย จึงรู้ว่า แกตั้งใจฆ่าตัวตายในวันเกิดของลูกสาวแก คือเรื่องนี้มันดราม่ามากๆ ก็อีกนั่นแหละครับ เราก็เลยพากันซื้อเค้กวันเกิดไปให้ลูกสาวแกเป่าในโรงพยาบาล


รายละเอียดของเรื่องนี้ผมขอเล่าให้ฟังในครั้งหน้านะครับ

คดีต่อมาที่ผมรับผิดชอบอยู่ คือ คดีขัดพรก. ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ คดีรองเท้าแตะ อันนี้ก็น่าสนใจมาก เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไปตีความเรื่องวัตุถุที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ไปถึงขนาดห้ามไม่ให้ขายรองเท้าแตะที่มีภาพใบหน้าของนายกฯและนายสุเทพ คดีนี้อยู่ระหว่างชั้นพนักงานอัยการ

ที่จังหวัดเชีบงใหม่ และเชียงรายเราก็ได้ลงพื้นที่ไปให้ความช่วยเหลือเหมือนกัน เช่น ที่เชียงใหม่ได้เข้าเยี่ยมจำเลยและให้ความช่วยเหลือครอบครัวจำเลย

โดยเฉพาะที่ จังหวัดเชียงราย เราได้ให้ความช่วยเหลืออยู่ ๓ คดี คือคดีที่นักเรียน นักศึกษา ชูป้าย ๕ คน ตามที่เป็นข่าว ซึ่งคดีจบไปแล้วโดยตำรวจมีคำสั่งไม่ฟ้อง

และคดีที่มีนักเรียนไปขายรองเท้าแตะหน้านายกฯกับสุเทพ ซึ่งคดีอยู่ในชั้นสอบสวนของพนักงานตำรวจ

และสุดท้ายคดี เผายางรถยนต์ที่เกาะกลางถนน อีกหนึ่งคดี

ส่วนในกรุงเทพฯ นอกจากคดีพี่หนูหริ่ง และคดีลุงบังแล้ว ภายหลังจากที่เราเข้าเยี่ยมจำเลยในเรือนจำปรากฎว่า มีจำเลยคดีต้องหาว่าเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และปล้นทรัพย์แจ้งความประสงค์มายังเราให้เราไปช่วยคดีอีกเป็นจำนวน ๙ คน ในคดีนี้

Q:นอกจากคดีการเมือง 19 พฤษภาคมแล้ว ได้ทราบว่าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ทะลักมาหา?
หนุ่ม เมืองนนท์ หรือ ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดม 1 ในผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ

A:คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็มีอยู่หลายคดีที่ผมเข้าไปให้ความช่วยเหลือ เช่น คดี ประชาไท ( ทำเป็นคณะทำงานใหญ่), คดีพี่หนุ่ม เมืองนนท์ ( ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดม )ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบัน และเป็นผู้ดูแลเว็บ นปช.ยูเอสเอ คดีนี้สืบพยานในเดือนกุมภาพันธ์หน้า , คดีพี่หมี สุริยันต์ กกเปือย ที่โทรศัพท์ไปขู่วางระเบิดศิริราช คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาเช่นเดียวกัน , คดีพี่ คธา จำเลยคดีที่โพสข้อความเกี่ยวกับพระอาการประชวร แล้วถูกกล่าวหาว่าทำให้หุ้นตก คดีนี้อยู่ชั้นอัยการ ,คดีลุง อากง ที่ส่งเอสเอ็มเอสเข้ามือถือนายกฯ อันเป็นข้อความหมิ่นฯ คดีนี้จำเลยได้รับการประกันตัว และอยู่ชั้นพนักงานอัยการ


คดีของคนเสื้อแดงนับวันก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคดีเสื้อแดงนะครับ ถ้าถามว่าทิศทางของคดีเป็นยังไง ผมต้องขอบอกว่าเป็นคดีการเมืองแทบทั้งสิ้น การทำคดีก็ต้องทำแบบคดีการเมืองด้วย และเราก็คงต้องสู้กันต่อไป

Q:มีปัญหาอุปสรรคอย่างไรบ้างในการช่วยว่าความ

A: ปัญหาแรกและเป็นปัญหาหลักคือ คดีมันเยอะ และเราต้องทำหน้าที่ทั้งเป็นทนาย และทำหน้าที่คอยดูแลครอบครัวเขาด้วย กล่าวคือ นอกจากต้องเข้าเยี่ยม สอบข้อเท็จจริงจำเลยในเรือนจำแล้ว เรายังต้องดู และ หรืออย่างน้อยก็ดูแลครอบครัวของจำเลยด้วย


แรกๆตอนลงพื้นที่มักมีปัญหาจุดนี้ครับ คือ ครอบครัวของคนเลื้อแดงส่วนใหญ่ที่อยู่ต่างจังหวัดเป็นคนยากจน พอคนที่ถูกจับเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็เลยไปกันใหญ่

บางครอบครัวแทบไม่มีจะกิน จำนวนทนายความอาสาก็มีน้อย ก็ต้องช่วยๆกันไปเท่าที่ทำได้

ที่ผมทำเป็นหลักก็คือเป็นปากเป็นเสียงแทนพวกเขา คนเสื้อแดงต่างจังหวัดเวลาพูดมันเสียงไม่ดังครับ แต่ถ้าพูดผ่านปากทนายความมันก็จะดังขึ้น ( ดูfacebookทนายอานนท์ )


เวลาลงพื้นที่เสร็จ เราก็นำเอาความเดือดร้อนเหล่านั้นมาตีแผ่ และเป็นเหมือนคนส่งสาร ระหว่างคนเสื้อแดงต่างจังหวัดกับเสื้อแดงในเมือง

อย่างที่มุกดาหาร ก่อนที่เราลงไปก็ไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามีคดีอะไรที่นั่น จนกระทั่งทีมทนายความ( อันประกอบด้วยผม น้องทนายอีกสองคน และเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครของ ศปช.-ศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายชุมนุมเม.ย.-พ.ค.53 ) ลงไปในพื้นที่ จึงได้มีการนำเสนอสู่สังคมมากขึ้น

และถ้าพูดถึงเรื่องความยากลำบากของพี่น้องเสื้อแดงแล้ว ก็ต้องพูดเรื่องหลักทรัพย์ประกันตัวด้วย ชาวบ้านเข้าไม่มีหรอกครับหลักทรัพย์ประกันเป็นล้านเป็นแสนขนาดนั้น แค่ข้าวจะกรอกหม้อยังไม่มีเลย


ปัญหาประการที่สองคือทนายในพื้นที่มีปัญหาในแนวสู้คดี และมีบางที่ไม่ได้ใส่ใจคดีชาวบ้านเสื้อแดงเท่าที่ควร มีกระทั่งเข้าไปแนะนำจำเลยในเรือนจำให้รับสารภาพ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะมันจะกระทบการสู้คดีของคนเสื้อแดงทั้งระบบ

แน่นอนว่า แม้แต่ส่วนกลางเอกก็มิได้เป็นเอกภาพเท่าที่ควร ยิ่งตอนหลังเหตุการณ์ใหม่ๆ ยังมั่วมากๆ แต่ตอนนี้ก็เริ่มเข้าร่องเข้ารอยแล้ว

อย่างที่ผมเรียนข้างต้น เราทำงานทางการเมืองกับสื่อกับชาวบ้านด้วย อันนี้เป็นงานที่เพิ่มขึ้นแต่ก็สำคัญและจำเป็น

และเมื่อทำมันอย่างจริงจัง มันก็ชักเริ่มจะสนุกกับมันมากกว่างานคดีเสียอีก เพราะมันถึงเนื้อถึงหนังดี แต่ก็ต้องถือว่าหนัก หากเราแบกรับทั้งสองบ่า แต่ยังยืนยันครับว่ามันมีความสุขจริงๆ


ปัญหาประการสุดท้ายเห็นจะอยู่ที่ตัวทนายความเองนั่นแหละ คือ ทนายอาสาทุกคนก็จะมีงานประจำของตัวเอง การทำงานจึงมักจะเป็นการใช้เวลาว่าง หรือเจียดเวลามาทำงานอาสากันเสียส่วนใหญ่ อันนี้ยกเว้นผมกับน้องอีกสองคนที่เข้ามาช่วยงานนะครับ เพราะผมเทเวลามาทำคดีของชาวบ้านเสื้อแดง และน้องสองคก็เพิ่งจบเนติฯ ยังไม่ได้บรรจุ หรือสอบที่ไหน

และนี่เป็นเหตุผลที่ผมเลือกออกจากงานเดิม เพื่อมาทำคดีชาวบ้านเสื้อแดงโดยเฉพาะ

Q:เรียนถามตรงๆว่าได้ค่าทนายความในการว่าความนจากใคร ตัวความ,ญาติ,พรรคเพื่อไทย,ส.ส.พื้นที่ หรือจากคุณทักษิณ
ทนายอานนท์กับทีมทนายความที่ริมฝั่งโขง จังหวัดมุกดาหาร

A: 555 พูดเรื่องค่าทนายเราไม่มีครับ เวลาลงพื้นที่ถ้าเป็นในกรุงเทพฯได้ค่าเดินทางและเบี้ยเลี้ยง ๕๐๐ บาท ถ้าออกต่างจังหวัดได้ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหาร ๓ มื้อ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งตอนหลังมันต้องไปถี่และมีน้องทนายมาช่วยงานเพิ่ม จึงต้องลดลงเหลือ ๕๐๐ บาท/วัน


แต่อย่าไปคำนวนว่า วันละ ๕๐๐ เดือนนึงได้ ๑๕,๐๐๐ บาทนะครับ เพราะเราไม่ได้ทำงานกันทุกวัน มันก็ได้แต่วันที่ทำเท่านั้น บางที่ก็เดือนละ ๕- ๖ วัน ไอ้นั่งทำเอกสารที่ออฟฟิศนั้นไม่ได้นะครับ 555 แต่ก็เข้าใจได้ เพราะว่าต้องถือว่ามันเป็นงานอาสา

และอีกอย่าง ทนายอาสาทุกคนก็มิได้หวังจะมาร่ำรวยกับงานพวกนี้หรอก แต่อยากทำในเนื้องานจริงๆ ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็คือ ถือว่าเราโชคดีที่เรียนมาทางกฎหมาย และได้นำสิ่งที่เราเรียนมามารับใช้ชาวบ้าน ( อารมณ์มันเป็นแบบ ฮีโร่ ของชาวบ้านนะครับ) ซึ่งนี่แหละที่เป็นเหมือนสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจของเรามาโดยตลอด อันนี้พูดเผื่อไปถึงอาสาสมัครที่ไม่ได้เป็นทนายแต่อาสามาช่วยงานนะครับ ต้องขอกราบหัวใจคนเหล่านี้เลยทีเดียว


ส่วนที่มาของเงินนั้น มาจาก ศปช. ครับ

ซึ่งศปช.เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูล และเผยแพร่ข่าวสารของคนเสื้อแดงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ฯ แต่อันนี้ก็ยังเกิดความไม่ค่อยแน่นอนในเรื่องการทำคดีเท่าไหร่ เพราะศูนย์ฯเองก้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ว่าจะทำคดีเป็นหลัก

ถ้าจะพูดกันจริงๆก้คือ งานคดีเป็นส่วนหนึ่งที่เกิดจากความจำเป็นเฉพาะหน้าที่ต้องช่วยเหลือเท่านั้น งานหลักของศูนย์ฯคืองานข้อมูลครับ โดยเฉพาะการแสวงหาข้อเท็จจริง ส่วนที่มาของเงินมาจากการบริจาคของพี่น้องเสื้อแดงครับ เคยจัดคอนเสิร์ตที่ธรรมศาสตร์หาทุนหนนึง ได้มาหลักแสนมังครับ เทียบกับคณะกรรมการปฏิรุปที่รัฐบาลตั้งงบเป็นพันล้าน คนละเรื่องกันเลย

Q:มีทีมทนายอื่นๆอีกไหมนอกจากทนายอานนท์ที่ทำคดีพวกนี้ อย่างทนายคารม พลทะกลาง หรือทนายพวกเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน

A: ทนายความเสื้อแดงผมขอแยกออกเป็น ๓ ส่วนครับ

ส่วนแรกคือ ส่วนกลาง คือทนาย นปช.ซึ่งก็น่าจะเป็นทีมทนายของพรรคเพื่อไทยนั่นแหละครับ อันนี้รับผิดชอบคดีส่วนกลาง

ส่วนที่สองคือทนายในพื้นที่ต่างจังหวัด อันนี้จะเป็นทนายความที่ ส.ส.ในพื้นที่จัดหา ซึ่งก็ได้รับเงินสนับสนุนจากส่วนกลาง ส่วนจำนวนผมไม่ทราบที่แน่นอน

และส่วนที่สามส่วนสุดท้ายคือ ทนายความอาสา ซึ่งก็น่าจะได้แก่ ศปช. คือพวกผมสามคน เป็นต้น

Q:ปัญหาอุปสรรคที่เจอในการทำคดีพวกนี้มีอะไรบ้าง

A: สำหรับผมไม่ค่อยมีครับ คงเพราะเราทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาก่อนอยู่แล้ว และมีทนายความที่ไม่สะดวกมาช่วยคดีเสื้อแดงเป็นที่ปรึกษาอีกทาง อีกอย่างก็ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องเสื้อแดงเป็นอย่างดี

Q:มีโครงการหรือแผนการจะดำเนินการอย่างไรต่อไปข้างหน้า ในกรณีนักโทษการเมืองติดยาว หรือยังมีนักโทษทางความคิดอย่างคดีหมิ่นฯ หรือคดีทางการเมืองทะลักเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

ทนายอานนท์กับทีมทนายความอีกสองในสำนักงาน

A: ใจผม ผมอยากทำสำนักงานที่เป็นศูนย์ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายให้เป็นชิ้นเป็นอัน จัดระบบคดีให้สามารถเช็ค และให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ และทั่วถึง โดยใช้ระบบทนายเครือข่าย และมีทนายความประจำ ๓ คน ทำหน้าที่ประสานงาน และเป็นเหมือนผู้ปฏิบัติงานเต็มเวลา เพราะผมคิดว่าคดีการเมืองโดยเฉพาะคดีเสื้อแดงยาวแน่ และมีแนวโน้มว่าจะมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีหมิ่น ม.๑๑๒ ซึ่งจะว่าไปแล้วตอนนี้เองก็ถือว่าเยอะมาก

ที่สำคัญ แต่ละคดีก็ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทนายความเองก็ต้องหาตรงนั้นทีตรงนี้ที และคดีพวกนี้ก็ไม่ค่อยมีทนายความที่รับทำสักเท่าไหร่

หลังปีใหม่ ผมตัดสินใจออกจากออฟฟิศเดิม เพื่อออกมาทำคดีให้เต็มที่ โดยที่ยังไม่ได้มีสำนักงานอะไรรองรับเป็นกิจลักษณะ คือได้เทหน้าตักแล้วก็ต้องทำให้ให้มันสุดๆ อะไรจะเกิดข้างหน้าก็ต้องยอมรับเพราะเราเลือกแล้ว แต่คงไม่ต้องบอกว่ามันเป็นอุดมกงอุดมการณ์อะไรหรอก ผมว่ามันก็เป็นเรื่องการสนุกในการทำงาน และเห็นว่างานที่ทำมันให้อะไรกับสังคม อีกอย่างก็อาจเป็นเพราะการโลดโผนของทนายความหนุ่มอายุแค่ ๒๖ ปีด้วยกระมัง 555


อย่างไรก็ตาม ผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่างานที่ทำมันมีค่าใช้จ่าย อย่างน้อยก็เงินที่ซื้อข้าวใส่ปากนี่แหละ ผมคิดไว้ว่า ถ้ามีออฟฟิศ และมีทนายความประจำโดยมีเงินเดือนจำนวนนึง ก็น่าจะพอไปได้

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายหลักๆก็คือ ออฟฟิศกับค่าตอบแทนทนายความ ออฟฟิศนั้นผมอาจพอหาได้แล้ว แต่ต้องใช้เงินปรับปรุงอีกสักเล็กน้อย ติดกระจกด้านหน้า ซื้อแอร์ และอุปกรณ์สำนักงานจำพวกโต๊ะทำงาน ตู้ เครื่องปริ๊นต์ถ่ายเอกสาร ซึ่งไม่น่าจะเกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท

ค่าจัดการออฟฟิศต่อเดือนประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท ค่าตอบแทนทนายความ ๓ คน คือผม ๑๕,๐๐๐ บาท และน้องอีกสองคน คนละ ๑๒,๐๐๐ บาท รวม ๓๙,๐๐๐ บาท และค่าเดิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายในคดีเช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเบี้ยเลี้ยงทนายความเครือข่ายที่เข้ามาทำคดี ทั้งปีประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ บาท

รวมจากเค้าโครงงานทั้งงานคดี และงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมน่าจะอยู่ประมาณ ล้านเศษๆ

Q:ทางศปช.ก็ไม่น่ามีงบให้ จะไปหาแหล่งทุนยังไงมาทำศูนย์ช่วยเหลือคดีการเมือง คดีหมิ่นฯ

A: 555 อันนี้ก็ขำๆนะครับ ในวงการนักกิจกรรมมักแซวกันว่า เราชอบคิดชอบทำชอบไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เขาไม่มีที่พึ่ง ครั้นพอจะมาพูดเรื่องว่าจะให้ใครมาช่วยให้เราได้ทำงานนี่ ไปไม่เป็น พูดไม่ออก คือมันเขินครับ พูดว่าจะไปขอทุนใครมาทำงานนี่จริงๆ เขิน


แน่นอนว่าเรื่องหาทำศูนย์ช่วยคดีฯนี่ผมไม่ได้คิดเรื่องเงินมาเป็นอันดับแรกครับ คิดว่าอยากช่วยคนที่เขาเดือดร้อนไร้ที่พึ่ง ทนายความโดยทั่วไปไม่มีใครอยากรับงานนี้ ต้องหาคนมีใจจริงๆ แต่ก็มีพี่สื่อมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยหลายที่ รวมทั้งจากไทยอีนิวส์ก็ให้ความเห็นว่า ลองระดมทุนจากคนที่รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรมที่พอมีกำลังจะช่วยดีไหม? ...ผมก็ว่าหากพวกพี่ๆจะช่วยได้ก็ดี ก็จะทำให้งานที่เราอยากทำนั้น มันสะดวกขึ้น พอเลี้ยงตัวได้ ก็น่าจะดี

ซึ่งอันนี้ผมไม่ซีเรียสนะครับ เงินเดือนที่ตั้งไว้ผมหมื่นห้า น้องอีกสองคน คนละหมื่นสอง ก็สามารถปรับลดได้หากเห็นว่ามันสูงไป อย่าว่าแต่ลดเลย ขนาดไม่มีให้ก็ยังจะทำเลยครับ อันนี้เป็นคำสัญญาครับ คือผมก็ไม่แน่ใจเรื่องการระดมทุนสักเท่าไหร่ และเข้าใจว่าแต่ละท่านก็ช่วยเสื้อแดงมาพอสมควรแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ ถ้าเราเห็นถึงความจำเป็นเหมือนกัน ก็เป็นอันว่า ท่านลงตังค์ ผมกับน้องลงแรง ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน


Q:อยากพูดถึงคดีการเมืองยังไงบ้าง เท่าที่ทำคดีมาพอสมควร และคดีนักโทษการเมืองเสื้อแดงก็ปาเข้าไป7-8เดือน อะไรคือสิ่งที่ต้องตระหนักที่สุด

A : อันนี้ก็ต้องพูดกันตรงๆ อีกนั่นแหละครับ คือ ตัวแกนนำเองคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่จำเลยที่เป็นชาวบ้าน สิครับหนัก ไหนจะขาดรายได้ ไหนต้องเสียเวลามาสู้คดี ซึ่งแนวโนมก็จะมีการตามจับกุมเพิ่มอีก กล่าวคือ ที่เห็นๆ เป็นคดีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ถึงหนึ่งในสามของคนที่ออกถูกออกหมายจับนะครับ นั่นหมายความว่าที่เหลือก็อยู่ในระหว่างหลบหนี


ซึ่งก็จะเป็นปัญหาระยะยาวอีกส่วน และอีกส่วนที่ผมเป็นห่วงคือ คนเสื้อแดงเองก็มีแนวโน้มที่จะถูกดำเนินคดีมากขึ้น ยิ่งสถานการณ์เมื่อร้อนระอุแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คดีหมิ่น ฯ ซึ่งรัฐเองก็มีการกวาดจับเพิ่มเป็นรายวัน

สำคัญคือ งานทางกฎหมายเอง นอกจากพรรคเพื่อไทยแล้ว ก็ไม่มีหน่วยงานใดที่เป็นหลัก หรือเป็นศูนย์ให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นจริงเป็นจัง ที่ผมเห็นก็มีแต่พี่น้องเสื้อแดงเราที่บางคนเป็นทนายความบ้าง หรือเป็นคนที่พอจะช่วยเหลือกันได้ตามฐานะ ก็คอยช่วยเหลือกันไป แต่ผมไม่อยากเห็นว่า มันเป็นการช่วยเหลือกันแบบตามมีตามเกิด

Q:พอจะเรียกว่าเป็นทนายเสื้อแดงได้ไหม

อันนี้แล้วแต่จะเรียกครับ แต่สำหรับผม ผมกับน้องทนายอีกสองคนก็เป็นแค่คนอยากทำงานช่วยชาวบ้านเท่านั้น ที่เหลือก็ ... ใจล้วนๆครับ ! 555

***********

เรื่องเกี่ยวเนื่อง:แดงแท้...เหมือนบอดใบ้ ไพร่ฟ้า มาสุดทาง

*ติดต่อทนายอานนท์ นำภา อีเมล์ anonnumpa@gmail.com , peangor@hotmail.com เฟซบุ๊ค http://www.facebook.com/profile.php?id=100000942179021#!/profile.php?id=100000942179021

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จักรวรรดิโรมันกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

ที่มา มติชน



โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

ขณะที่ผู้เขียนกำลังบรรยายเรื่องกฎหมายโรมันให้กับนิสิตที่กำลังเรียนวิชารัฐศาสตร์เบื้องต้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่นั้น ได้มีนิสิตผู้หนึ่งยกมือถามแบบทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า

"อาจารย์ จักรวรรดิโรมันกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นจักรวรรดิเดียวกันหรือเปล่าครับ?"

เจอคำถามแบบนี้เข้า ผู้เขียนจึงเกิดอาการกระอักกระอ่วนคือ ลังเลใจว่าจะตอบหรือไม่ตอบดี เนื่องจากมันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน จึงตัดบทไปว่า

"คนละจักรวรรดิ คนละเวลา แต่ถ้าจะว่าไปหากนับจักรวรรดิโรมันตะวันออกด้วยก็อาจจะว่าเป็นจักรวรรดิร่วมสมัยกันได้แต่คนละแห่ง เรื่องนี้ยาวมากเอาไว้มาคุยกันนอกเวลาดีกว่า ใครอยากรู้ไปต่อกันที่ห้องทำงานของผมเย็นนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้พูดเรื่องกฎหมายโรมันต่อดีกว่า !"

เย็นนั้นจึงมีนิสิต 3 คนตามมาเอาคำตอบ เลยต้องชี้แจงจนเป็นที่พอใจกันด้วยการพูดคุยกันร่วม 2 ชั่วโมง ต้องงัดแผนที่ประวัติศาสตร์มาดูกันด้วยยกใหญ่ เสร็จแล้วผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจดี จึงขออนุญาตเอามาแชร์กับท่านผู้อ่านที่เคารพ คงไม่ว่ากันนะครับ

เรื่องนี้เริ่มต้นที่ราชอาณาจักรเล็กๆ ชื่อโรมันที่ตั้งอยู่บริเวณกรุงโรม ประเทศอิตาลีปัจจุบันที่เป็นราชอาณาจักร (Kingdom) ก็เพราะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ตามตำนานอ้างว่าราชอาณาจักรตั้งขึ้นเมื่อ 210 ปีก่อนพุทธศักราช ราชอาณาจักรโรมันมีอายุประมาณ 244 ปี จึงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (republic) เมื่อ พ.ศ.34 (ช่วงของการเป็นสาธารณรัฐนี่เองที่พวกนักประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์เอาสร้างเรื่องให้ดูหรูว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยอุดมคติสวยงาม แต่ความจริงก็คือ ระบบอภิชนาธิปไตยนั่นเอง)

ใน พ.ศ.517 สาธารณรัฐโรมันก็เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นจักรวรรดิ (Empire) จึงต้องมีจักรพรรดิเป็นผู้เผด็จการถาวรแบบสมบูรณาญาสิทธิราช (ควรดูหนังสือ "กาลานุกรม" ของพระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ประกอบด้วย)

จักรวรรดิโรมันขยายอำนาจครอบครองยุโรปส่วนใหญ่และทวีปแอฟริกาตอนเหนือกับเอเชียตะวันออกกลาง แบบว่าทะเลเมดิเตอเรเนียนคือ ทะเลของโรมันโดยแท้ รวมพื้นที่ในความครอบครองของจักรวรรดิโรมันมีประมาณ 5,900,000 ตารางกิโลเมตร (ขนาดประมาณเท่ากับเนื้อที่ของสหรัฐอเมริกาปัจจุบัน) อิทธิพลวัฒนธรรมของจักรวรรดิโรมันส่งผลต่อการพัฒนาด้านกฎหมายการปกครอง ศาสนา (คริสต์) สถาปัตยกรรมและปรัชญาของโลกมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อ พ.ศ.873 จักรวรรดิโรมันได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุงคอนแสตนติโนเปิ้ล (ปัจจุบันนี้คือ กรุงอีสตันบูล ของตุรกี) ซึ่งต่อมาจึงได้มีการแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็น 2 จักรวรรดิคือ จักรวรรดิโรมันตะวันตกมีเมืองหลวงคือ กรุงโรม กับ จักรวรรดิโรมันตะวันออกมีเมืองหลวงคือ กรุงคอนแสตนติโนเปิ้ล

จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงเมื่อ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.1019 (ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งประเทศไทยที่กรุงสุโขทัยเลยนะครับ) ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันออกยังคงยืนยงอยู่ได้อีกร่วมพันปีจนถึง พ.ศ.1996 (สมัยพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา) จึงเสียให้แก่ตุรกีไป

ครับ ! ในช่วงประมาณหนึ่งพันปีที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายไปแล้วแต่ยังคงมีจักรวรรดิโรมันตะวันออกอยู่นั้น ในบริเวณที่เป็นยุโรปตะวันตกตอนกลางนั้น พวกเยอรมันที่ทำลายจักรวรรดิโรมันตะวันตกนั่นแหละได้ร่วมมือกับพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา

ยุโรปตะวันตกช่วงนั้นคือ ช่วงยุคมืดหรือยุคกลาง (Medieval period)

เมื่อตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาแล้ว พวกเยอรมัน (ที่พวกโรมันแท้ๆ เรียกว่า "บาเบเรี่ยน" เนื่องจากไว้ผมและหนวดเครายาวรุงรังไม่ตัดผมโกนหนวดให้เรียบร้อยเหมือนพวกโรมัน) ก็เลยไปตั้งแง่กับจักรวรรดิโรมันตะวันออก เนื่องจากพวกนี้ไม่ยอมรับนับถือสันตะปาปาที่กรุงโรมว่าเป็นประมุขของศาสนาคริสต์ว่าเป็นพวกกรีกไม่ใช่โรมัน (พวกเยอรมันก็ไม่ใช่โรมันเหมือนกัน) เลยเรียกจักรวรรดิโรมันตะวันออกว่า ไบแซนไตน์ (Byzantine) ไปเสียเลย

จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูกยกเลิกโดยจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.2349 (หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองไป 39 ปี คือปลายสมัย ร.1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

ครับ ! เรียนประวัติศาสตร์ต้องใจเย็นๆ แต่จะเลี่ยงไม่เรียนประวัติศาสตร์ไม่ได้หรอก เพราะว่าหากไม่รู้ประวัติศาสตร์แล้วไปเรียนวิชาอะไรก็ได้แค่ก็สุกๆ ดิบๆ เอาดีไม่ได้หรอก

ยิ่งถ้าไปเรียนไปรู้ประวัติศาสตร์กำมะลอผิดๆ มั่วๆ แบบ "เขาเล่าว่า" เข้าไปด้วยยิ่งเสียผู้เสียคนไปใหญ่เลยนะครับ

"ชัยสิทธิ์"ลั่นปีหน้าพร้อมเล่นการเมือง จัดทีมมันสมองช่วย ชี้ใส่ร้าย"แม้ว"ไม่จงรักภักดีไม่แฟร์

ที่มา มติชน

ที่บ้านพักรังสิตคลองสี่ จ.ปทุมธานี พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเปิดบ้านพักให้คณะนายทหาร พ่อค้า นักธุรกิจเข้าร่วมอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2554 ว่าปีหน้ามีความพร้อมที่จะลงเล่นการเมืองในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เตรียมตัวเตรียมใจว่าหากเล่นการเมืองจะเจออะไรบ้าง ซึ่งตนค่อนข้างพร้อม ที่ผ่านมาทหารเล่นการเมืองแล้วมักไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทหารจะซื่อเกินไป แต่หากตนจะเล่นการเมืองต้องมีทีมงานให้คำปรึกษา เพราะต้องสู้ทุกรูปแบบ ต้องมีมันสมองเป็นที่ปรึกษาในการทำงาน


เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่าล้มล้างสถาบัน พล.อ.ชัยสิทธิ์กล่าวว่า อันนี้น่ากลัวมาก เพราะการเมืองไม่ควรไปแตะต้องสถาบันแม้แต่นิดเดียว จะไปแอบอ้างก็ไม่ถูกต้อง เพราะสถาบันเป็นสิ่งสูงสุดที่เราเคารพ

"เป็นสมัยก่อนถ้าทำอย่างนี้เรียกว่า บังอาจ พวกนี้ถ้าไม่สำนึกสักวันกรรมจะตามสนอง ขอร้อง เราต้องเทิดทูนและไม่แตะต้องสถาบัน ไม่ต้องเอาท่านลงมายุ่งเด็ดขาด การที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาไม่แฟร์สำหรับท่าน ผมเคยไปเยี่ยมเขาที่ดูไบ เขายังติดพระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ท่านเมื่อสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปเข้าเฝ้าฯไว้ในห้องรับแขก ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่จงรักภักดี ขอร้องว่าถ้าสู้ไม่ได้ อย่าใช้วิชามารอย่างนี้ ไม่เข้าท่า ควรสู้กันทางประชาธิปไตย ต้องรอดูการต่อสู้แนวทางประชาธิปไตยโดยสันติ ขอให้สำนึกบ้าง บ้านเมืองจะได้ไปรอด ตราบใดยังใช้วิชามาร ไม่คิดว่าบ้านเมืองจะไปได้"พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า มองบทบาทกองทัพที่ผ่านมาอย่างไร พล.อ.ชัยสิทธิ์กล่าวว่า น่าเห็นใจทุกฝ่ายเพราะสถานการณ์บังคับทุกอย่าง แต่บางเรื่องน่าจะยุติได้ เพราะหน้าที่ทหารไม่ได้มีหน้าที่รับใช้การเมือง เนื่องจากเวลาที่นักการเมืองออกจากตำแหน่งไป กองทัพต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น

วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และกลุ่มนิติราษฎร์ : บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี 2553 สาขา "วิชาการ"

ที่มา มติชน



นักวิชาการที่มีความคงเส้นคงวาทางวิชาการในบ้านเรามีน้อยคนนัก นักวิชาการหลายคนเมื่อเข้าไปรับใช้การเมือง สุ่มเสียงก็เปลี่ยนไป


ยิ่งหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยิ่งหานักวิชาการกล้าตั้งคำถามต่อเรื่องหลักการและอุดมการณ์ประชาธิปไตย ...นับคนได้


ในรอบปี 2553 ท่ามกลางความเงียบงันทางวิชาการ เมื่อนักวิชาการถูกรัฐบาล "เทพประทาน" แต่งตั้งเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการชุดต่างๆ มากมาย ขณะที่อีกหลายคนเตรียมลงชิงเก้าอี้วุฒิสมาชิกแบบแต่งตั้งชุดใหม่


แต่ในปลายปีเดียวกัน นักวิชาการกลุ่มเล็กๆ ที่ประกอบอาชีพสอนวิชากฎหมาย ได้รวมตัวกันขึ้นในนามของกลุ่ม "นิติราษฎร์" นิติศาสตร์เพื่อราษฎร

7 เซียนซามูไรของกลุ่ม "นิติราษฎร์" ประกอบด้วย วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ปิยบุตร แสงกนกกุล, ธีระ สุธีวรางกูร, สาวตรี สุขศรี, จันทจิรา เอี่ยมมยุรา, ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล และประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช เช่นกันกับที่ทั้งหมดคือผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.enlightened-jurists.com


แถลงการณ์ของนิติราษฎร์ ฉบับที่ 1 ระบุว่า 19 กันยายน 2549 รัฐประหารโดยกลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า "คณะกรรมการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" รัฐประหารอัปยศกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมตัวกันของกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่ประกอบอาชีพสอนวิชากฎหมาย ในสถานการณ์ที่คนจำนวนมากยินดีกับรัฐประหาร บ้างก็ว่าไม่เห็นด้วยแต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เราจึงตัดสินใจออกแถลงการณ์ประณามรัฐประหาร


"ภายหลังรัฐประหารสำเร็จ ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กฎหมายถูกนำไปใช้อย่างบิดเบี้ยว ทั้งการตราตัวบทกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย ทั้งการใช้และการตีความกฎหมายขององค์กรผู้มีอำนาจไปในทิศทางที่ไม่สนับสนุนนิติรัฐ-ประชาธิปไตย และก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรม ซึ่งเราได้แสดงความเห็นผ่านแถลงการณ์สาธารณะวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ"


"โลกปัจจุบัน ′กฎหมาย′ เป็นแก่นกลางของสังคม เป็นทั้งที่มาอันชอบธรรมของการใช้อำนาจ และเป็นทั้งข้อจำกัดมิให้ใช้อำนาจไปตามอำเภอใจ อย่างไรก็ตาม ′กฎหมาย′ เพียงอย่างเดียวย่อมไม่อาจสถาปนานิติรัฐ-ประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ได้ เพราะ ′กฎหมาย′ อาจถูกผู้ปฏิบัติการทางกฎหมายซึ่งมีอุดมการณ์แบบเก่า นำไปเล่นแร่แปรธาตุเพื่อรับใช้อุดมการณ์ของตน ดังนั้น นอกจาก ′กฎหมาย′ แล้ว เราจำเป็นต้องสร้างอุดมการณ์ทางกฎหมาย-การเมืองที่สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย เพื่อแทนที่อุดมการณ์แบบเก่าและปลูกฝังให้เป็นอุดมการณ์ใหม่ของสังคม"


ตลอดปี 2553 ดร.วรเจตน์ และพวก ไม่เพียงประณามผลต่อเนื่องจากการรัฐประหาร แต่ยังได้วิจารณ์รัฐธรรมนูญปี 2550 ตลอดจนคำวินิจฉัยของศาลในหลายคดี ไม่ว่าจะเป็น คำพิพากษาศาลฎีกาคดียึดทรัพย์อดีตนายกฯทักษิณ คำพิพากษาของศาลปกครองในคดีมาบตาพุด และคดียกเลิกประมูล 3 G รวมถึงล่าสุด บทวิเคราะห์ศาลรัฐธรรมนูญ กรณียกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์


ไม่นับรวม การวิพากษ์วิจารณ์การปิดกั้นสื่อออนไลน์ผ่านพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ของ อาจารย์ สาวตรี สุขศรี ที่เปิดเผยว่า ในปี 2553 มีจำนวนสื่อออนไลน์ที่ถูกระงับการเผยแพร่โดยมีคำสั่งศาลทั้งสิ้น 74,686 ยูอาร์แอล แต่องค์กรสื่อกลับนิ่งดูดาย !!!


ความกล้าหาญทางวิชาการ ของคนกลุ่มเล็กๆ ในนาม "นิติราษฎร์" จึงถือเป็นการจุดประกายทางปัญญาครั้งสำคัญที่คู่ควรแก่การเคารพเป็นอย่างยิ่ง !!!


(คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "วรเจตน์ ภาคีรัตน์" และเพื่อนนักวิชาการกลุ่ม "นิติราษฎร์" ได้ที่นี่)

"ธิดา" ปรับการต่อสู้ เตรียมจัดเลือกตั้งหากรรมการ นปช. ระดับภูมิภาค ไม่ยึดติดบุคคล เน้นที่อุดมการณ์

ที่มา มติชน

นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช. แถลงที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ถึงยุทธศาสตร์การดำเนินงานของคนเสื้อแดงปี 2554 จำนวน 5 ข้อ 1.กลุ่ม นปช.ยืนยันชุมนุมเคลื่อนไหวทุกวันที่ 10 และ 19 ของแต่ละเดือน โดยวันที่ 9 มกราคม 2554 นี้ เวลา 15.00 น. จะชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลา 17.00 น. จะเคลื่อนไปยังสี่แยกราชประสงค์ เวลา 19.00 น. จุดเทียนสดุดีวีรชนเสื้อแดงที่เสียชีวิต และเวลา 20.00 น. จะแยกย้ายกลับบ้าน คาดว่าจะมีผู้มาร่วมเคลื่อนไหวไม่ต่ำกว่า 60,000 คน

นางธิดากล่าวว่า 2.เดือนมกราคมจะปรับโครงสร้าง นปช.ทั่วประเทศ จะมีการเลือกตั้งหากรรมการ นปช. ตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด จะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม ส่วนระดับภูมิภาคจะเริ่มเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้หวังว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะทำให้ นปช.ไม่ยึดกับตัวบุคคล แต่จะทำให้ยึดติดกับอุดมการณ์ เพราะเมื่อแกนนำถูกจับก็สามารถนำคนอื่นมาทำหน้าที่ต่อ

"3.ในปี 2554 กลุ่ม นปช.จะรณรงค์ให้ปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดงและผู้ถูกจับคุมขังโดยมิชอบให้ได้ประกันตัวมาต่อสู้คดี ช่วยเยียวยาผู้ถูกกระทำและครอบครัว เรียกร้องความยุติธรรม การใช้กฎหมายในมาตรฐานเดียวกัน และยกระดับการต่อสู้ของประชาชนให้สูงขึ้นด้วยความรู้

4.ช่วงวันที่ 4 มกราคม 2554 เวลา 11.00 น. ที่สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย นปช.จะขอยื่นประกันตัวและจะแถลงข่าวการประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังทั่วประเทศ 5.ขณะนี้ให้ทีมนักกฎหมาย นปช. ตีความคำสั่งศาล ที่ห้ามเกี่ยวข้องกับการชุมนุม หรือทำกิจกรรมใด ที่มีผู้ร่วมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อจะให้นายจตุพรช่วยกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยหาเสียงการเลือกตั้งปีหน้า

"เรายังถูกไล่ล่า ถูกคุมขังโดยมิชอบ เราจำเป็นต้องเยียวยา จำเป็นต้องต่อสู้คดี และทวงถามความยุติธรรม นี่คือความจำเป็นเราต้องปรับโครงสร้างใหม่หมด" นางธิดากล่าว

ฉายารัฐบาล

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน

มันฯ มือเสือ




โดนใจอีกเหมือนกันกับฉายารัฐบาลที่สื่อมวลชนสายทำเนียบรัฐบาลประชุมและมีมติตั้งให้

'รัฐบาลรอดฉุกเฉิน'

โดยมีคำอธิบายประกอบว่าเป็นเพราะตลอดปี 2553 รัฐบาลต้องเผชิญกับวิกฤตหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ วิกฤตการเมือง

สังคมขัดแย้งแตกแยกรุนแรง ยังไม่รวมวิกฤต สังคมอื่นๆ จนทุกฝ่ายมองว่ารัฐบาลไม่น่าจะบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้

แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ผ่านมาได้ รวมทั้งรอดจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ถึงแม้สังคมจะมีข้อกังขาก็ตาม

ก่อนหน้านี้เคยมีฉายาโดนใจมาแล้ว

ตอนสมาคมรัฐศาสตร์ ร่วมกับนิสิตรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งฉายาทางการเมืองรัฐบาลว่า

'เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว'

โดยเฉพาะมุขเปรียบเทียบนายกฯอภิสิทธิ์ เป็นก๋วยเตี๋ยว'เส้นใหญ่' กองทัพเป็น 'ผักคะน้า' เพราะสีเขียว ส่วน'ไข่ไก่' คือกลุ่มพันธมิตรฯ เนื่องจากมีสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์

ส่วน'ซีอิ๊ว'หมายถึงทุจริตคอร์รัปชั่น

ไม่ว่าจะสีขาว เขียว หรือเหลือง พอใส่ซีอิ๊วเข้าไปก็จะเปรอะเปื้อนสีดำทั้งหมด

เป็นปีแรกที่สมาคมรัฐศาสตร์ ม.เกษตรฯ จัดให้มีกิจกรรมการตั้งฉายาสถาบันทางการเมืองไทย

ตั้งได้เจ็บๆ คันๆ แบบนี้ ปีหน้าคอการเมืองหลายคนคงสนใจคอยติดตามรอฟังจากทางสมาคมฯ อีกอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม จะฉายารอดฉุกเฉิน หรือผัดซีอิ๊ว ถ้าให้คะแนนความชอบก็คงใกล้เคียงสูสีกัน

เพราะทั้ง 2 ฉายาต่างสะท้อนถึงบุคลิกลักษณะของรัฐบาลชุดนี้ได้อย่างชัดเจน

สำหรับฉายาตัวนายกรัฐมนตรีนั้น ทางสมาคมรัฐศาสตร์ ม.เกษตรฯ ไม่ได้ตั้ง เพราะนายกฯ ไม่ใช่สถาบันทางการเมือง

แต่สำหรับสื่อทำเนียบฯ ปีนี้จัดให้ตามธรรมเนียม

'ซีมาร์คโลชั่น'

ล้อมาจากซีม่าโลชั่น ซึ่งมีสรรพคุณทาแก้คัน ในขณะที่ปัญหาหลายๆ ด้านของประเทศขณะนี้ เหมือนคนป่วยหนัก

ถ้าจะรักษาให้หายขาดก็จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะกันเลยทีเดียว

ไม่รู้ว่าในช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่เดือนก่อนยุบสภา

'หมอแก้คัน'จะยกระดับตัวเองขึ้นเป็น'หมอผ่าตัด'ได้หรือไม่

ถ้าไม่ได้ก็ต้องขอยืมฉายารัฐบาลที่โฆษกพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ตั้งให้ว่า 'รัฐบาลขนมจีน'

ขนมจีนเฉยๆ เพราะมีแต่เส้น ไม่มีน้ำยา

เป็นอีกฉายาที่โดนเต็มๆ

ภาพกลุ่มเฟรซบุ๊ค จุดเทียนเรียกร้องความยุติธรรม เหยื่อ "แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา"

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

เขียนโดย Go6
















http://www.go6tv.com/2010/12/blog-post_111.html

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker