 ...ในช่วงที่ผมเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา สังเกตเห็นว่าคุณสมัครเป็นนักการเมืองอาวุโสที่พยายามอภิปรายในประเด็น เพื่อเป็นแบบอย่างของนักการเมืองรุ่นหลัง แม้บางครั้งจะเกินเลยไปบ้างก็ตาม...
...ในช่วงที่ผมเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา สังเกตเห็นว่าคุณสมัครเป็นนักการเมืองอาวุโสที่พยายามอภิปรายในประเด็น เพื่อเป็นแบบอย่างของนักการเมืองรุ่นหลัง แม้บางครั้งจะเกินเลยไปบ้างก็ตาม...ศ.มารุต บุนนาค อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา แสดงทรรศนะเรื่องลีลาการพูดของนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ไว้ในหนังสือสมัคร 60 ปี
เชื่อว่าหลายคนคงเห็นพ้อง
ลิ้นการเมืองของสมัคร สุนทรเวช เคยสะกดผู้คนแน่นสนามหลวงให้เงียบกริบ เคยตอบข้อซักถามนักข่าวอย่างฉะฉาน แม้จะถามหลายคนพร้อมๆกัน และยังมีเหตุอัศจรรย์เกี่ยวกับการพูดอีกหลายยก
รวมถึงการใช้ลิ้นนักพูดเพื่อก่อร่างสร้างพรรคประชากรไทย
นายกฯเล่าเรื่องระดมทุน เพื่อใช้หาเสียงในยุคแรกๆของพรรคว่า “เราตกลงกันแต่แรกว่า ผู้สมัครที่ถูกชักชวนให้เข้าร่วมขบวนการ...ถ้าตกลงปลงใจลงเรือลำเดียวกันแล้ว เราจะลงขันกันด้วยเงินสดคนละ 20,000 บาท ส่วนค่าสมัครอีกคนละ 5,000 บาทนั้น ต่างคนต่างออกเอง”
เพราะหลุดคำว่าลงขันออกไป ทำให้การระดมทุนพลาดเป้า
“เชื่อไหมครับว่า การเชิญชวนลงขันกันในวันแรกมีคนมาลงขันเพียง 5 คน ได้เงินเพียง 100,000 บาทเท่านั้น”
เมื่อเหตุการณ์เลวร้ายลง นักพูดสาลิกาลิ้นทองมีหรือจะร้องเพลง ถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า
ทุกปัญหามีทางแก้ไข ประชากรไทยมีวิธี
เลยต้อง “ออกปากขอกันอีกที เงินค่าลงขันที่เรากะกันว่าคนละ 20,000 บาท 32 คน เท่ากับ 640,000 บาทนั้น เก็บได้ยังไงไม่ถึงครึ่งขันดี คือมีเงินที่พวกเราทุกคนสามารถออกร่วมทุนกันได้เพียง 300,000 บาทเท่านั้น”
 เมื่อลิ้นสาลิกาใช้ในพรรคไม่ได้ผลเท่าที่ควร จึงต้องหาทางออกใหม่ นั่นคือออกปราศรัยและระดมทุนไปพร้อมๆกัน
เมื่อลิ้นสาลิกาใช้ในพรรคไม่ได้ผลเท่าที่ควร จึงต้องหาทางออกใหม่ นั่นคือออกปราศรัยและระดมทุนไปพร้อมๆกัน
เมื่อ “ผมเริ่มบอกกล่าวท่านที่สนใจในพรรคการเมืองเกิดใหม่นี้ว่า เรามีทุนรอนเท่าไร ก็เริ่มมีคนบริจาคสมทบ”
ลิ้นสาลิกาเริ่มใช้การได้ดีแล้ว
แล้วดียิ่งขึ้น เพราะ “ชั่วระยะเวลา 2-3 อาทิตย์แรกที่เราทำการหาเสียงด้วยการปราศรัยนั้น พรรคประชากรไทยได้รับบริจาคช่วยสมทบทุนในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นเงินกว่า 400,000 บาท”
และ “ตลอดระยะเวลาที่เราเริ่มปราศรัยจากสนามไชยเป็นต้นมา เราขายเทปบันทึกคำปราศรัยครั้งแรก และสถานที่ต่อๆมา ได้เกินกว่าแสนบาท”
ด้วยเงินทุนประมาณ 8 แสนบาทเศษๆ จากการพูด การขายเทปที่พูด ทำให้พรรคประชากรไทยมีทุนหาเสียงได้ในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2522
การปราศรัยของสมัคร สุนทรเวช ไม่ว่าจะไปเยือนถิ่นใด มีคนให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม เป็นเหตุให้มีเสียงครหาเกิดขึ้น เสียงนั้นว่า
“พรรคประชากรไทยไปปราศรัยที่ไหนมีคนฟังแน่นๆนั้น เป็นเพราะทางพรรคนั้นเขาจ้างคนให้ไปฟังกัน ในราคาคนละ 30 บาท”
ข้อครหานี้มีเสียงสวนทันทีว่า “ผมเกิดมาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครที่จะจัดให้มีการกระทำพรรค์อย่างว่ากันได้ และสมมติว่าจะมีคนสามารถทำกันอย่างว่าได้ จะต้องใช้เงินจำนวนสักเท่าไหน ที่จะเอามาเป็นค่าจ้างผู้คนให้มาติดตามฟังคำปราศรัย”
จึงสาดกลับอีกว่า “พรรคนี้นอกจากจะไม่เคยแจกเงินใครแล้ว ในการไปเปิดปราศรัยแทบทุกครั้ง ยังมีคนเอาเงินมาคอยบริจาค”
การบริจาคนั้น มีทั้งใส่มาในซองสวยๆ ติดมากับพวงมาลัยหอมๆ คล้องคอให้ประหนึ่งนักร้องคนโปรด ดังนั้น “การพูดจาออกมาอย่างนี้ เป็นการสบประมาทผู้คนที่สนใจการเมืองและติดตามฟังการปราศรัยกันอย่างรุนแรง”
ลักษณะการเหน็บกลับอย่างออกรสนี่ละ คือลีลาอย่างหนึ่งของสมัคร สุนทรเวช
 การเลือกตั้งคราวเดียวกันนี้ มีนัดประวัติศาสตร์ที่ต้องจารจำคือ วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ.2522 ท่านนายกฯเล่าว่า พรรคประชากรไทยเปิดเอาฤกษ์เอาชัยที่สนามหลวงมาแล้ว เมื่อวันที่ 9 มีนาคม และมาปิดเอาชัยและเอาใจชาวเมืองอีกครั้ง
การเลือกตั้งคราวเดียวกันนี้ มีนัดประวัติศาสตร์ที่ต้องจารจำคือ วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ.2522 ท่านนายกฯเล่าว่า พรรคประชากรไทยเปิดเอาฤกษ์เอาชัยที่สนามหลวงมาแล้ว เมื่อวันที่ 9 มีนาคม และมาปิดเอาชัยและเอาใจชาวเมืองอีกครั้ง
วันนั้น รถปราศรัยเอาไว้ชิดทางขอบสนามด้านใกล้มหาวิทยาลัยศิลปากร หันหน้ารถไปทางศาลแพ่ง
นายกฯเล่าบรรยากาศก่อนพูดว่า “ตอนที่ผมมาถึงข้างหลังรถนั้น ปรากฏว่าผู้คนมารอกันอยู่หนาแน่น ล้ำออกไปถึงกลางท้องสนามหลวงแล้ว ทั้งๆที่ตอนสี่โมงเย็นแดดยังร้อนเปรี้ยง”
แดดจะร้อนแรงปานใด ดูเหมือนหัวใจผู้คนจะไม่สน สนใจอย่างเดียวคือ อยากฟังนักพูดสาลิกาลิ้นทองอันพริ้งพราย
“มองออกไปข้างหน้า เห็นท่านที่มานั่งฟังนั่งหลบร้อนแดดกันด้วยการเอาหนังสือพิมพ์เดลิมิเร่อร์มาพับเป็น หมวกใส่กันแดดกันเป็นทิวแถว”
นอกจากบรรยากาศเอื้อให้หัวหน้าพรรคปีติใจแล้ว ยังมีหนังสือพิมพ์ในความดูแลที่แปรสภาพเป็นหมวกให้กำลังใจอีกด้วย
รายการพูดเป็นไปอย่างมีชีวิตชีวา หลังแนะนำตัวผู้สมัครของพรรค หัวหน้าพรรคก็บรรเลงไปเล็กน้อย ก่อนยื่นไมค์ให้ผู้สมัครคนอื่นๆต่อ แต่เพียงเวลาเล็กน้อย อาการของผู้คนก็เปลี่ยนไป
“ผมทรุดตัวลงนั่งยกแก้วขึ้นดื่มน้ำยังไม่ทันจะหมดถ้วย ก็แลเห็นท่านผู้ฟังที่นั่งอยู่ด้านหน้าชักกระสับกระส่าย ยิ่งมองไปข้างหลัง ท่านผู้ฟังที่ยืนล้อมกันอยู่ไกลๆเป็นขอบ ก็เริ่มขยับออกเดินยืดเส้นยืดสาย และทำท่าจะออกเดินไป...”
ทำให้หัวหน้าพรรคต้องออกโรงเอง
“ผมเริ่มพูดจาตามประสาของผม ตั้งแต่ตอนทุ่มสี่สิบนาที แล้วผมก็ต้องว่าของผมเรื่อยไป จนกระทั่งมีเสียงเตือนจากข้างหลังออกมาว่า สี่ทุ่มห้าสิบแล้ว”
มิใช่เพลินแต่คนพูด คนฟังเองก็ไม่ถอยเหมือนกัน
แต่เมื่อจำเป็นต้องเลิกรา หัวหน้าพรรคก็พบว่า มีพวงมาลัยสวยงามอยู่ 2 พวง “ผมจำได้ว่า ท่านผู้เอามาส่งให้บอกว่า พวงหนึ่งให้ผมถวายพระแก้วมรกต อีกพวงหนึ่งให้ผมถวายเจ้าพ่อหลักเมือง”
สุนทรภู่บอกว่า...ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์...น่าจะนำมาใช้ได้กับนายกฯคนที่ 25
ลีลาการพูดของอดีตหัวหน้าพรรคประชากรไทย แม้จะผันผ่านมานานปี แต่ก็มีคนยังตราไว้ในดวงจิต เป็นต้นว่า เกลียว เสร็จกิจ หรือ ขวัญจิต ศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาการแสดง
 “คารมของท่านคมคายมาก ฝีปากจัดจ้าน ปากจัด พูดออกมาเรียกได้ว่าถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว” แม่เพลงศิลปินแห่งชาติบอก
“คารมของท่านคมคายมาก ฝีปากจัดจ้าน ปากจัด พูดออกมาเรียกได้ว่าถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว” แม่เพลงศิลปินแห่งชาติบอก
พลางว่า เคยฟังท่านนายกฯพูดสมัยเป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทยอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นดุสิต บางซื่อ และแถวๆบางบัว
แม่ขวัญจิตยืนยันว่า “ทุกครั้งไม่ผิดหวัง เสน่ห์ของท่านคือ ท่านพูดเหมือนๆกับภาษาลูกทุ่ง ไม่พูดให้เป็นเรื่องวิชาการ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องวิชาการแล้ว ชาวบ้านเขาจะไม่ชอบ เพราะเขาฟังไม่รู้เรื่อง”
ไมตรี ลิมปิชาติ อดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย วิจารณ์ลีลาการพูดของท่านนายกฯว่า มีการลำดับข้อมูลดี เรียงร้อยเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ พูดแล้วสามารถนำเอามารวมเล่มขายได้เลย
“ลักษณะเช่นว่านี้ มีคนคล้ายๆกันกับท่านปัญญานันทะ และคุณชวน หลีกภัย แต่ความนิ่มนวล และความดุดันต่างกัน อันนี้เป็นลักษณะของแต่ละคนที่ทำให้คนชอบและไม่ชอบก็ได้”
ไมตรีบอกว่า เสน่ห์การพูดของสมัครคือ “สามารถสะกดคนได้ ไม่ว่าจะเป็นคนชอบหรือไม่ชอบก็ต้องหยุดฟัง”
และมีข้อเสียที่ “บางทีพูดแล้วคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จึงเหมาะสำหรับพูดเดี่ยวๆ ถ้าพูดกันหลายๆคน บางทีอาจจะเขวไปได้เหมือนกัน”.

 
