ควันหลงจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งรัฐบาลชนะฝ่ายค้านไปแบบสบายๆ นอกจากจะยังมีเรื่องค้างคาที่ฝ่ายค้านคงจะต้องดำเนินการต่อไป นั่นคือเรื่องเงินบริจาคและใช้เงินพัฒนาการเมืองผิดประเภทที่ ก.ก.ต. จะต้องสอบสวนต่อไป หากผิดตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็มีสิทธิถูกยุบได้
เช่นกัน ผลจากการนี้ก็คงจะโยนลูกให้กลุ่มเสื้อแดงและอดีตนายกฯทักษิณใช้เป็นประเด็นเพื่อเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลต่อไป
แม้จะพูดกันว่าฝ่ายค้านเปิดซักฟอกครั้งนี้ไม่ได้หวังชนะ เพราะเสียงสนับสนุนสู้ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ แต่จะอาศัยเงื่อนไขและเปิดแผล ดิสเครดิตรัฐบาลเพื่อผลทางการเมืองในก้าวต่อไป ในขณะเดียวกันไม่ได้มีผลในด้านบวกเพียงอย่างเดียว แต่ในด้านลบก็มี
เช่นว่าพฤติกรรมการเมืองของนักการเมืองสังกัดพรรคเพื่อไทยที่แสดงท่าทีและความถ่อยกลางสภาอันทรงเกียรติ ก็สร้างภาพลบซ้ำเติมเข้าไปอีก
รวมถึงการอภิปรายของฝ่ายค้านที่พยายามย้ำเน้นสนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณอย่างออกหน้าออกตา กลายเป็นแทนที่จะซักฟอกไปตามเนื้อหาสาระ ตรงกันข้าม แก้ตัว แก้ต่าง คล้ายกับว่าใช้เวทีนี้สู้เพื่อทักษิณและเชิดชูกันมากกว่า
พรรคเพื่อไทยมิอาจหลีกพ้นจากวงจรไปได้ ทำให้น้ำหนักการอภิปราย ความน่าเชื่อถือจึงอ่อนลงไปตามธรรมชาติที่เป็นจริง
แต่ที่สำคัญก็คือ “งูเห่า” ในพรรคเพื่อไทยออกอาละวาดแบบไม่เกรงกลัวเจ้าของพรรค แสดงตัวตนให้ชัด ว่าที่อยู่กับพรรคนี้เพราะเงื่อนไขทางกฎหมายเท่านั้น ทำนองว่าตัวอยู่เพื่อไทย แต่ใจไปกับเนวินเสียแล้ว อย่างน้อยที่งดออกเสียงก็ไม่ต่ำกว่า 10 คน
ขนาดรองประธานสภาอย่าง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ซึ่งเป็นแคนดิเดตระดับชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค และอาจก้าวไปสู่ตำแหน่งนายกฯได้ก็ยังงดออกเสียงเท่ากับไว้วางใจนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ 2 รัฐมนตรีสังกัดพรรคภูมิใจไทย
หรือแม้กระทั่งนายสุนัย จุลพงศธร ที่เป็นหัวหอกสำคัญในการเปิดเกมเล่นงานรัฐบาลก็ยังไม่วายที่จะงดออกเสียงนายชวรัตน์
ต้องบอกว่าเลี้ยง “ไม่เชื่อง” ครับ...
ถ้าระดับนำทำอย่างนี้ก็ไม่ต้องพูดแล้ว เพราะปกติเสียงฝ่ายค้านก็แพ้อยู่แล้ว ยิ่งมางดออกเสียงก็ยิ่งชี้ว่าเพื่อไทยมีอาการแล้ว ไม่ต้องยกมือสวนหรอก และจะมาอ้างว่าแนบแน่นส่วนตัวจนไม่กล้ายกมือไม่ไว้วางใจก็ยิ่งไม่เข้าท่าและไม่มีเหตุผล
เพราะการที่กลุ่มเพื่อนเนวินแยกตัวออกจากคอกมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันหมายถึงความพ่ายแพ้ทางการเมือง หมายถึงการหมดอำนาจ และโอกาสที่จะทวงคืนยิ่งยาก แม้ขณะนี้มีอำนาจเต็มๆยังอยู่ยาก แล้วไม่มีอำนาจอย่างนี้มันยิ่งเหนื่อยและไร้อนาคต
และอีกหลายคนที่งดออกเสียงมันน่าจะทำให้เกิดอาการอักเสบทางใจอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะ “นายใหญ่” ที่ทุ่มเททุกอย่าง ยอมแม้แต่การโฟนอินเป็นรายวัน ลงทุนไม่อั้นเพื่อการนี้ แต่จู่ๆลูกพรรคที่ประกาศตัวว่ารักนายยิ่งกว่าชีวิตยังมาทำกันได้...
เพราะแน่นอนว่าเมื่อภาพออกมาอย่างนี้ ในทางการเมืองก็ส่อแสดงว่าภายในมีปัญหา แม้กระทั่งในยามที่ต้องการพลังเพื่อสู้ แต่มาเล่นกันอย่างนี้มันทำให้ลดเครดิตและความเชื่อมั่นต่อ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างชัดเจน ซึ่งตรงนี้น่าจะช้ำหัวใจที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยเปรยว่าในพรรคมี “นก 2 หัว” มาแล้ว
มาครั้งนี้จึงทนไม่ไหวต้อง “โฟนอิน” เล่นงานพวก “งูเห่า” เต็มที่
ขณะเดียวกันในพรรคประชาธิปัตย์ก็มีลูกพรรคซู่ซ่า ดูท่าจะอยากดัง งดออกเสียงในการลงมตินายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีของพรรคเพียงคนเดียว แม้จะอ้างอย่างไรก็ตาม แต่พฤติกรรมการเมืองที่ผ่านมามันฟ้องอยู่แล้ว
ชอบเป็น “ไอ้ตัวป่วน”...ไม่คุ้มที่จะมีเสียงเพิ่มกับนักการเมืองน้ำเน่าแบบนี้.
“สายล่อฟ้า”