ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน24/6/2552
ความยุติธรรมไม่มี  ความสามัคคีย่อมไม่เกิด
 
หมู่คณะและสังคมจะอยู่กันได้นั้นจะต้องอยู่กันโดยสันติ  สามารถร่วมมือผนึกกำลังกันแก้ปัญหา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยโบราณนั้นการป้องกันการรุกรานจากภายนอก  เป็นความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์  ความสามัคคีจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยความจำเป็นที่จะอยู่ร่วมกันเป็นสังคม  ขณะเดียวกันความสามัคคีก็เป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่นอกจากจะต้องอยู่รวมกัน  ร่วมมือร่วมใจเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันนั้น  ยังมีสิ่งที่เป็นนามธรรม  กล่าวคือ  ความสามัคคีเป็นคุณธรรมขั้นสูงที่มนุษย์ยินดีเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
                การรวมกันโดยความสามัคคียังนำไปสู่การมีพลังอำนาจ  สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งจากมนุษย์และจากธรรมชาติ  มีคำกล่าวหนึ่งกล่าวว่า “รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย” ซึ่งหมายความว่า  เพื่อรักษาความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์  ของชุมชน  และของพรรคพวก  จำเป็นต้องมีความสามัคคีเพื่อรักษาไว้ซึ่งความบริบูรณ์ของกลุ่มบุคคล  ซึ่งถือเป็นพวกเดียวกัน  แต่ในท่ามกลางการมีความสามัคคีนั้นจะต้องมีการสร้างวัฒนธรรมที่สามารถมองเห็นประโยชน์ของการรวมกันเป็นกลุ่ม  ขณะเดียวกันก็เห็นว่าการรวมกันเป็นกลุ่มโดยมีความสามัคคีนั้นไกลนอกเหนือจากผลประโยชน์ร่วมกัน  หากแต่เป็นคุณสมบัติพิเศษที่จะอยู่ร่วมกันโดยอาจไม่คำนึงถึงผลประโยชน์เฉพาะหน้า  แต่เพื่อเกิดความรู้สึกเป็นชุมชน  มีความอบอุ่น  มีความสุขทางจิตใจ   
                อย่างไรก็ตาม  ความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องเป็นความสามัคคีที่อยู่บนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกัน  และควรจะมีลักษณะสร้างสรรค์ต่อสังคมของตน  รวมทั้งการไม่เบียดเบียนรุกรานผู้อื่นด้วย  เมื่อใดความสามัคคีนำไปสู่ความสูญเสียและทำลาย  เกิดการแตกแยกในสังคม  โดยความสามัคคีเกิดขึ้นเป็นกลุ่มๆ  ในสภาพเช่นนี้อาจทำลายชุมชนใหญ่ได้  หรือในกรณีที่สามัคคีร่วมมือกันกระทำสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์ด้วยความเห็นแก่ตัว  เอารัดเอาเปรียบ  ก็จะทำลายจุดประสงค์หลักของความสามัคคี  จนมีคำกล่าวว่า  “รวมกันเราอยู่  แยกกันเราตาย” “ รวมกันทำลาย  แยกกันดีกว่า”  ซึ่งหมายความว่า  การรวมกลุ่มด้วยความสามัคคีเพื่อก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์  และกรณีเช่นนั้นแยกกันต่างคนต่างอยู่จะนำไปสู่ความเสียหายที่น้อยกว่าได้  สามัคคีจึงไม่ใช่รวมกันเพื่อทำลายแต่เพื่อสร้างสรรค์
                แต่ความสามัคคีที่จะเป็นไปได้และมีความต่อเนื่องและยั่งยืนจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมและความเป็นธรรม  โดยผลประโยชน์ที่ได้นั้นจะต้องเฉลี่ยให้เกิดความพอใจกับทุกฝ่าย  การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยกลไกต่างๆ ในสังคมจะต้องมีมาตรฐานที่คงเส้นคงวา  ไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยมีสองมาตรฐาน  จนเปลี่ยนหลักการเป็นหลักกู  มุ่งแต่ผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก  หรือกลุ่มของตนเท่านั้น  ผลสุดท้ายก็จะนำไปสู่ “พวกเขา และพวกเรา”  ความยุติธรรม  ความถูกต้อง  กลายเป็นสิ่งซึ่งไม่สอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม  ในคราที่มีความเห็นแตกต่าง  มีจุดยืนที่แตกแยกไปจากกลุ่มของตน  แม้จะถูกต้องก็รับไม่ได้  ผลสุดท้ายสังคมก็จะเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า  เป็นสังคมพรรคพวกมากกว่าสังคมที่มีเหตุมีผล  ในกรณีเช่นนี้การป่าวร้องให้มีความสามัคคีบนข้อเท็จจริงที่ว่ากระบวนการต่างๆ ไม่มีความยุติธรรม  และการปฏิบัติการขาดความชอบธรรม  ความสามัคคีที่จะนำไปสู่ความสร้างสรรค์ย่อมจะเกิดไม่ได้
                เมื่อเป็นเช่นนี้  การป่าวร้องซ้ำๆ ซากๆ เพื่อให้คนในสังคมเกิดความสามัคคีโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า  มีการเอื้ออำนวยประโยชน์ทั้งในทางอำนาจ  ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ  และสิ่งที่พึงประสงค์ทางสังคม  ไม่สามารถกระจายไปทั่วถึง  ตัวอย่างเช่น  นายจ้างที่เอาเปรียบกดแรงงานค่าจ้าง  จะคาดหวังให้คนงานมีความจงรักภักดีต่อบริษัท  มีความสามัคคีระหว่างผู้บริหารกับผู้ใช้แรงงานย่อมเป็นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  ทรัพยากรทั้งหลายบนแผ่นดินที่เกิดโดยธรรมชาติ  หรือเกิดจากการประดิษฐ์โดยมนุษย์  อาจจะมีความแตกต่างในแง่การแจกแจงเนื่องจากความขยันและความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน  แต่ถ้าความแตกต่างนั้นเกินเลยไปถึงจุดที่ว่าผู้ได้เปรียบเป็นเสมือนเทวดา  ส่วนผู้ซึ่งด้อยความรู้และปัญญาเป็นเสมือนยาจก  การจะคาดหวังให้เกิดความสัมพันธ์ที่น่าชื่นชมของทั้งสองฝ่ายย่อมเป็นไปได้ยาก  ไม่ว่าในยุคใดทั้งสิ้น  และนี่คือที่มาของทฤษฎีเรื่องความขัดแย้งทางสังคม  ผลสุดท้ายความขัดแย้งทางสังคมมีสาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ  ความเหลื่อมล้ำในสิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนา  นั่นคือ  ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ  อำนาจในการมีส่วนร่วมทางการเมือง  สถานะทางสังคม  ซึ่งมีการแจกแจงอย่างไม่ยุติธรรม  บนพื้นฐานของความไม่ยุติธรรมดังกล่าวเป็นไปไม่ได้ที่จะนำไปสู่ความสามัคคี
                ในกรณีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว  จะต้องมีการหาทางออกด้วยการสร้างระบบการแจกแจงที่จะทำให้ความรู้สึกแตกต่างของผู้ได้เปรียบหรือเสียเปรียบบรรเทาลง  และที่สำคัญที่สุดในกรณีของการมีบทบาทในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเพื่อใช้ทรัพยากรและการแจกแจงทรัพยากรมีความไม่เป็นธรรม  และเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น  ต้องมีการวินิจฉัยตัดสินอย่างไม่เสมอภาคโดยมีสองมาตรฐาน  บนพื้นฐานของความไม่ยุติธรรมดังกล่าวนี้  การป่าวร้องให้เกิดความสามัคคีเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดหวังได้  
                สัจธรรมของสังคมมนุษย์ตั้งแต่โบรารณกาลมาแล้ว  สรุปได้อย่างหนึ่งว่า  การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  ด้วยการรักใคร่ปรองดอง  จะต้องทำให้สังคมนั้นมีความยุติธรรม  ระบบการแจกแจงมีความเป็นธรรม  ใครก็ตามที่เรียกร้องความสามัคคีจะต้องตระหนักข้อเท็จจริงที่ว่า
ความยุติธรรมไม่มี ความสามัคคีย่อมไม่เกิด
 
