ข่าวการถล่มกองบัญชาการกองทัพบกด้วยลูกระเบิด M 79 คืนก่อนวันกองทัพไทย 4 วัน นับเป็นการหยามเกียรติยศ และศักดิ์ศรีทหารในกองทัพบกไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย 
ก่อนหน้านี้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว อย่างมากก็แค่ระเบิดเลาะรั้วกองบัญชาการเท่านั้น  แต่มาครั้งนี้ เกิดขึ้นบริเวณชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพทั้งสิ้น แม้จะเป็นภายนอกของอาคารซึ่งไม่ได้ก่อความเสียหายมากนัก  แต่ก็เป็นการหยามเกียรติ และศักดิ์ศรีกองทัพซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของชาติด้านความมั่นคงของประเทศอย่างไม่น่าเชื่อ 
เหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้  ยังไม่กระจ่างชัด สร้างความสงสัยให้สังคมว่า เกิดขึ้นได้อย่างไรทำไมถึงเพิ่งเป็นข่าวหลังจากนั้นร่วม 7 วัน  แต่จากการวิเคราะห์แล้ว  แม้จะเกิดจากการกระทำของบุคคลภายนอกที่มุ่งหวังสร้างสถานการณ์และต้องการหยามศักดิ์ศรีของกองทัพบกที่มี พลเอก อนุพงษ์  เผ่าจินดา  เป็นผู้นำ  หรือเป็นความต้องการกระตุกหนวดเสือของมือที่ 3ให้กองทัพกระโจนเข้าร่วมสงครามความขัดแย้งครั้งนี้อย่างเต็มตัว หรือเป็นการกระทำของคนภายใน บก.ทบ. เอง ที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการทำลายล้าง ตัดกำลังฝ่ายตรงข้าม หรืออาจถึงขั้นนำไปสู่การใช้เป็นข้ออ้างของการยึดอำนาจหากสถานการณ์อำนวย ก็ตาม
                แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ก็ได้สร้างความเสียหายให้กองทัพจนป่นปี้แล้ว เพราะสังคมทั้งในและต่างประเทศรับรู้ได้ว่า  นับประสาอะไรกับขีดความสามารถของกองทัพไทยในการรักษาความมั่นคงของชาติ ด้วยขนาดกองบัญชาการใหญ่  ยังไม่สามารถรักษาความมั่นคงให้ตนเองได้  ซ้ำเป็นการตอกย้ำความคลางแคลงใจใน สังคมไทยที่มีต่อศักยภาพของทัพ ที่ส่งลูกน้องไปเสี่ยงตายไม่เว้นวัน จากการระงับเหตุร้ายภาคใต้ อย่างไม่เห็นจุดหมายปลายทาง
                การตัดสินใจสั่งการให้ตำรวจ ร่วมสารวัตรทหารจำนวนมาก เข้าค้นบ้านพักอย่างอุกอาจของ พลตรี ขัตติยะ ซึ่งเป็นบ้านพักนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในเขตทหาร จึงส่งสัญญาณเป็นนัยว่า ต้องการตอบโต้คนๆ นี้ที่ถูกสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ระทึก  การกระทำครั้งนี้จึงบานปลายไปสู่การเรียกเกียรติ และศักดิ์ศรี ความเชื่อมั่นต่อคนทั้งในและนอกกองทัพกลับคืนมามากกว่าการใช้เหตุผลของคนระดับผู้ใหญ่ของกองทัพที่ควรมีวิจารณญาณในการตัดสินในเรื่องละเอียดอ่อนให้มากกว่านี้  เรื่องดังกล่าวจึงกลายเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีมากกว่าเหตุผล  หารู้ไม่ว่า  ยิ่งดิ้นรนเพื่อตอบโต้ผู้ต้องสงสัยที่ยังไม่มีหลักฐานมากพอ  ก็ยิ่งเป็นการกัดเซาะเกียรติ และศักดิ์ศรีของตนเอง ให้ตกต่ำลงไปอีก   เพราะบ้านดังกล่าว  เป็นบ้านพักอาศัยของราชการ อยู่ในเขตทหาร และเป็นบริเวณบ้านพักของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ควรมีเหตุผล ความรอบคอบ  ใช้วิธีที่ให้เกียรติ มีความประนีประนอม  ละมุนละม่อม อ่อนนอก แต่แข็งในเพื่อคงรักษาเกีรติยศของคนในกองทัพได้มากกว่านี้ 
                 เหตุการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า กองทัพภายใต้การนำของ พลเอก ประวิตร และพลเอก อนุพงษ์  กำลังอยู่ในสภาพไม่น่ายำเกรงของฝ่ายตรงข้าม  ด้วยเพราะผู้นำทั้งหลายได้ลากพากองทัพไปร่วมความขัดแย้งของสังคม การเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้  ตั้งแต่นำกำลังเข้ายึดอำนาจ 19 กันยายน 49  ของ พลเอก สนธิ
                และหากเป็นการสร้างสถานการณ์ของคนในกองทัพเองเพื่อมุ่งหวังอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่มีการกล่าวหา ก็ยิ่งเป็นการลากพากองทัพไปสู่ความเสื่อมมากขึ้นไปอีก  และที่แน่ๆ การสั่งการให้ค้นบ้านพักของนายทหารชั้นผู้ใหญ่อย่างไม่ให้เกียรติ เพื่อหวังตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงฉับพลันทันใด ก็ยิ่งเป็นการทำลายเกียรติยศและ ศักดิ์ศรีของตนเองไปด้วย พลเอก อนุพงษ์ ในฐานะผู้รับผิดชอบกองทัพบกที่กำลังตกเป็นเหยื่อ  ต้องตั้งสติให้ดี  ผลีผลามทำไปก็กระเทือนตนเองและองค์กร หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อตนเองเปล่าๆ
เกีรยติยศของกองทัพบอบช้ำจากการหลงผิด ตั้งแต่ 19 กันยา 49 และขอบอกว่าเกียรติยศ และศักดิ์ศรีของกองทัพสร้างและรักษาได้ด้วยผลงานในหน้าที่ให้สังคมยอมรับ ถึงเวลาแล้วที่จะนำกองทัพออกจากการเมืองอย่างแท้จริง
 
