บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

น้ำมันปาล์ม-ลามปาม ส.ป.ก.ภาค 2

ที่มา บางกอกทูเดย์



‘สุดารัตน์’ตอกหน้ารัฐบาลมาร์ค!!ดีเอสไอ? มันก็แค่ 'ปลายน้ำ'

ปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ลำพังหากเป็นผลจากปัญหาผลผลิตขาดแคลน
เพราะปัญหาภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว สังคมไทยก็ยังคงจะพอรับกันได้

แต่กรณีที่มีการสงสัยว่ามีไอ้โม่ง ที่รู้ข้อมูล มีการดักทาง มีการกักตุน
เพื่อหวังให้มีการปรับราคา โดยถึงขนาดที่รู้ข้อมูลมากพอ
ที่จะสั่งนำเข้าน้ำมันปาล์มเอาไว้ล่วงหน้าในราคาดิม ใส่เรือเอามาลอยอยู่นอกชายฝั่ง

รอแค่ ครม.อนุมัติปรับราคา ก็สามารถขนเข้ามาขายในราคาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

รวมทั้งข่าวลือในเรื่องตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องในแวดวงการเมือง
จนทำให้มีการใช้ตัวย่อชื่อ ออกมา เป็น ตัว ส. พ. และ อ. จนทำให้มีการตีความ
และวิเคระห์กันอุตลุดไปหมด ว่าอักษรที่ว่านั้นเป็นชื่อของใครกันแน่???

จึงทำให้เรื่องปัญหาน้ำมันปาล์มกลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าทางการเมืองขึ้นมา

ที่น่าสนใจคือข้อมูลของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย
ที่ออกมาพูดถึง การแก้ปัญหาราคาน้ำมันปาล์มแพงของรัฐบาล ว่า
จะเห็นว่าการแก้ปัญหาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น
และจนถึงขณะนี้ก็ยังคงแก้ปัญหาผิดพลาดซ้ำซากอีก

แต่จะผิดพลาดด้วยความไร้ความสามารถหรือจะจงใจ
ทำให้เกิดปัญหาวิกฤติน้ำมันปาล์มเพื่อปั่นราคาก็ยังเป็นคำถามของสังคมอยู่

กลไกการแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันในอดีตจะมีกลไกแก้ไขอยู่ 2 อย่าง
เหมือนวอลลุ่มปรับซ้ายขวาให้สมดุล
ซึ่งโดยปกติรัฐบาลจะมีสต๊อกน้ำมันปาล์มอยู่ 2 แสนตันเป็นตัววัด
ถ้าสต๊อกลดถึงจุดที่น่ากลัวจะต้องนำเข้าก่อนเป็นช่วงสั้น ๆ
เพื่อรักษาระดับราคา ไม่ให้ราคาน้ำมันปาล์มที่ประชาชนบริโภคพุ่งสูง

อีกกลไกคือการผลิตไบโอดีเซลเมื่อผลผลิตปาล์มดิบมีมาก
ก็ให้ส่งเข้าผลิตไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น
เพื่อไม่ให้ราคาผลผลิตปาล์มสดที่เกษตรกรขายราคาตกต่ำ จนขาดทุน
ซึ่งในอดีตที่รัฐบาลก่อนทำมาใช้กลไกดังกล่าวทั้งสองเข้าช่วยได้ทั้งประชาชนและเกษตรกร

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ต้องขอจับโกหกนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ที่ท่องคาถากันอยู่อย่างเดียวว่า

ผลผลิตปาล์มปีนี้ขาดแคลนเพราะน้ำท่วมผลปาล์มเสียหายนั้น ไม่เป็นความจริงเลย
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรพบว่า
ปี 52 พื้นที่ผลิตปาล์มมี 3.1 ล้านไร่ ผลผลิต 8.1 ล้านตัน
ปี 53 พื้นที่ผลิต 3.5 ล้านไร่ ผลผลิต 8.2 ล้านตัน มากกว่าปี 52 ด้วยซ้ำ เพราะพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น

และความจริงตัวเลขสต๊อกน้ำมันปาล์มปี 53
เริ่มมีปัญหาตั้งแต่เดือนก.ย. จาก 2 แสนตันเหลือ 1.8 แสนตัน
จนมาถึงเดือนต.ค.หายไปครึ่งหนึ่ง เหลือแค่ 1.3 แสนตัน
จนพ.ย.เหลือ 9 หมื่นตัน ธ.ค. 53 และม.ค. 54 ไม่มีเหลือ

แต่รัฐบาลทิ้งเวลาไป 5 เดือนตั้งแต่เห็นสัญญาณในเดือน ก.ย. 53 โดยไม่ทำอะไร
เพิ่งมาประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ำมันกลาง เดือน ม.ค.
ซึ่งก็ยังแก้ไขผิดวีธี ในแบบที่ไม่มีใครเขาทำกัน ราคาสินค้าเมื่อขึ้นไปแล้วไม่มีทางจะลง
เพราะครม.กลับไปอนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์มขวดก่อน แล้ว
ถึงจะมาอนุมัติให้นำเข้าในครั้งแรก แค่ 3 หมื่นตัน ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ

แต่ตอนหลังกลับมาอนุมัติให้นำเข้า 1.2 แสนตัน
ในช่วงที่เดือนมี.ค.ผลปาล์มสดจะออกสู่ตลาดแล้ว

แสดงให้เห็นว่ากำลังจะเตรียมแผนปล้นจากเกษตรกรอีก
ที่จริงเกษตรกรก็ปลูกปาล์มเยอะถึง 80% อยู่แถว จ.สุราษฎร์ธานี กระบี่ ชุมพร
เมื่อผลผลิตปาล์มน้อยกรรมการนโยบายปาล์มฯต้องคอยกำกับควบคุม
แต่ตั้งแต่เดือนก.ย. 53 กลับไม่ได้ทำ

ซ้ำยังปล่อยให้ยังปล่อยให้ส่งออกน้ำมันปาล์ม ในปริมาณมาก
และยังให้ผลิตไบโอดีเซลจาก 2 แสนตันเป็น 4 แสนตันในปี 53
เหมือนมีความจงใจที่จะเอาน้ำมันปาล์มออกนอกระบบ
ทำให้ขาดสต๊อกจนเกิดปัญหาแล้วครม.ต้องอนุมัติให้เพิ่มราคา

ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่เห็นแก่ประชาชนเขาทำกัน

วันที่นายกฯอนุมัติให้ครม.ขึ้นราคาน้ำมันปาล์มขวดอีก 9 บาท
แล้วบอกว่าจะไม่กระทบสินค้าอื่น เพราะสั่งกำชับแล้วไม่ให้สินค้าอื่นขึ้นราคาตาม
แล้วตอนนี้ราคาปาล์มขวดละ 47 บาทก็ซื้อไม่ได้
สินค้าอื่นไม่เว้นก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกงก็พาเหรดขึ้นราคาไม่ต่ำกว่า 20 %
การให้ดีเอสไอมาปราบมันปลายน้ำ

“สิ่งที่เกิดขึ้นคือการบิดเบือนโครงสร้างราคา
ต้นเหตุจากครม.อนุมัติให้ขึ้นราคาลิตรละ 9 บาท
แล้วไปกำหนดราคาปาล์มสด ก.ก.ละ 11-15 บาท
แต่โรงหีบไปซื้อจากเกษตรกรแค่ ก.ก.ละ 6 บาท ส่วนต่างอย่างน้อยก.ก.ละ 5 บาท
ซึ่งต้องใช้ปาล์มสดถึง 7 ก.ก.ถึงจะได้น้ำมันปาล์ม 1 ก.ก. ดังนั้น
คิดเป็นเงิน 35 บาทต่อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 1 ขวดลิตร เป็นต้นทุนที่ถูกเพิ่มขึ้น
โดยไม่รู้ว่าไปเข้ากระเป๋าใคร”

ตรงนี้เป็นต้นน้ำที่มีคนรวยกันเยอะ
เมื่อปลายน้ำเห็นอยากรวยบ้างก็กักตุนบ้าง ไม่ร้ายแรงเท่าต้นน้ำ
ดีเอสไอถ้าแน่จริงควรไปดูที่ต้นทาง
และเรื่องนี้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนหนักหนา
ส่วนจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันของใคร ทำให้เกิดวิกฤติหรือไม่
ก็ต้องตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นวีธีการบริหารงานที่ผิดปกติ
เป็นหน้าที่ส.ส.และส.ว. ต้องเอาคนที่ทุจริตออกมาให้ได้

เป็นการตอกหน้าการทำงานของรัฐบาลให้ประชาชนได้รู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ว่า
เกมนี้เข้าข่ายมีคนรู้ ... มีคนรวย อย่างแน่นอน!!!

ในขณะที่การแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มของรัฐบาลไม่เพียงมีข้อครหา
และข้อสงสัยตามมากอย่างมากมาย
แต่ยังกลายเป็นชนวนระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคภูมิใจไทย
ให้มีรอยร้าวรอยบาดหมางที่ลึกมากขึ้น

เพราะว่านางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องตกเป็นจำเลยว่าทำงานบกพร่องคือคนของพรรคภูมิใจไทย
ในขณะที่คนที่โดดเข้ามาเคลียร์เรื่องนี้ คือ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง

แต่ว่ากลับมีฐานะเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ

ซึ่งคงจะเป็นเพราะคุมพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ซึ่งถือเป็นพื้นที่ไข่แดงของการผลิตผลปาล์มน้ำมัน
จึงน่าจะมีข้อมูล รู้ลึกรู้ทางในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

แต่ก็น่าประหลาดตรงที่นายสุเทพ ซึ่งอยู่ในพื้นที่และรู้อะไรๆเป็นอย่างดี
กลับปล่อยให้เรื่องน้ำมันปาล์มเป็นปัญหา จนขยายผล
ในวงกว้างไปแล้วนั่นแหละ จึงได้โดดเข้ามาแก้ปัญหา

ซึ่งนายสุเทพบอกว่า เมื่อได้พูดคุยกันบนตัวเลขข้อมูลบนพื้นฐานความเป็นจริง
คิดว่าปัญหาแก้ได้ และวันนี้จบแน่นอน

“สิ่งที่ผมให้คำมั่นกับประชาชนได้แน่นอน คือ
น้ำมันปาล์มต้องไม่ขาดแคลนสำหรับผู้บริโภค ประชาชนไม่ต้องมาแย่งกันซื้ออีกต่อไป
รับรองได้ว่าจัดให้ไม่ให้ขาดแคลน และจะให้ราคาน้ำมันปาล์มอยู่ในระดับลิตร ละ 47 บาท
ไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน”นายสุเทพคุย

และแม้ว่าจะต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้นเพราะอะไรก็แล้วแต่
ให้ส่วนอื่น ๆ ช่วยรับภาระแทนประชาชนไปก่อน
และจะดูแลให้น้ำมันปาล์มขวดและปี๊บ สามารถขายได้ในราคาเดียวกัน
ไม่ต้องไปเข้าคิวแย่งซื้อน้ำมันขวด และแล้วมาเทใส่ปี๊บขายให้มันเดือดร้อนกันไป

ทำให้คนงงกันเป็นแถบๆว่า ถ้ารู้ลึกรู้พลอตเป็นอย่างดี จนสามารถที่จะแก้ไขได้ง่ายขนาดนี้
ทำไมนายสุเทพไม่รีบโดดเข้ามาแต่เนิ่นๆ มัวแต่ปล่อยให้เป็นเรื่องก่อนทำไม???

ซึ่งนายสุเทพอ้างว่า
เพิ่งได้รับการมอบหมายจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ให้เข้ามาดูแลปัญหาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง

เท่ากับว่ากลายเป็นข้อบกพร่องล่าช้าของนายอภิสิทธิ์ ไปอย่างนั้นหรือ

นายสุเทพมองว่าจะให้ยกเลิกการอนุมัติให้นำเข้าน้ำมันปาล์ม 1.2 แสนตัน
เพราะมันสายไปแล้ว เนื่องจากพรุ่งนี้มะรืนนี้ปาล์มในประเทศจะเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นแล้ว
การจะนำเข้ามาจะให้นำเข้าเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

“ในวันนี้ (23 ก.พ.) พี่น้องประชาชนก็ซื้อน้ำมันปาล์มได้ราคาขวดละ 47 บาทได้เลย
ส่วนพวกกักตุน เราก็จับกุม และในอนาคต
มีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันปาล์มจะต่ำลงกว่าลิตรละ 47 บาทด้วย”

ส่วนว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรเพราะเรื่องนี้อ่อนไหว
พอกระทรวงพาณิชย์บอกจะให้ปรับราคา น้ำมันปาล์มก็หายวับไปจากตลาด
นายสุเทพ บอกว่า ถ้าใครเก็บไว้ก็ไม่มีผลอะไร เก็บเอาไว้ก็เป็นปัญหาของเขาเอง
เพราะเราไม่ให้ขึ้นราคา

และสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นจะถือว่ากระทรวงพาณิชย์บกพร่องโดยตรง
ที่ไม่สามารถบริหารจัดการเรื่องนี้ได้ หรือไม่นั้น
นายสุเทพระบุว่าไม่มีหน้าที่ไปกล่าวโทษใคร จึงไม่โทษใครทั้งนั้น
แต่มีหน้าที่แก้ปัญหาช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชนผู้บริโภคและเกษตรกร

ในขณะที่นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย
ได้วิเคราะห์ถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์
กรณีการแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน ว่า ยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งกัน
เป็นเรื่องที่แต่ละพรรคมีวิธีการบริหารงานของตัวเองเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ซึ่งมุมมองอาจต่างกัน แต่ไม่ได้ทำให้แตกหัก

วิธีที่ นางพรทิวา กำลังทำอยู่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ประเทศ ไม่มีเรื่องผลประโยชน์
การทุจริตเข้ามาเกี่ยวข้อง วันนี้ มีสายตาประชาชน และ สื่อจับจ้องอยู่
คงไม่มีใครคิดฆ่าตัวตายด้วยการแสวงหาผลประโยชน์จากตรงนี้

ส่วนข่าวที่เสนอให้ปลด รมว.พาณิชย์ นั้น
เรื่องความขัดแย้งในการบริหารงานเป็นเรื่องปกติที่อาจไม่ตรงกัน
แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเสนอให้ปลด
เพราะไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ไม่สามารถทำได้อย่างที่อยากทำ

“ภาพความเป็นผู้ร้ายมักเกิดขึ้นกับพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่เรื่องรถประจำทาง ขสมก.แล้ว
สิ่งที่พรรคภูมิใจไทยต้องทำคือ พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา
วันนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่า คุณพรทิวาผิดตรงไหน อยากเรียกร้องประชาชนว่า
อย่าได้ฟังอะไรแล้วเชื่อในทันที ขอให้ใช้หลักอย่าหูเบา”

และสิ่งที่น่าจับตาจากคำพูดของนายศุภชัย แทนที่จะเป็นเรื่องของปัญหาน้ำมันปาล์ม
กลับกลายเป็นเรื่องที่นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ประธาน ส.ส.พรรคภูมิใจไทย
ระบุมีความเป็นไปได้ที่ พรรคภูมิใจไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์
จะจับมือตั้งรัฐบาล 2 พรรค ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

โดยนายศุภชัยพูดชัดเจนว่า พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคปัจจัยสำคัญ
ที่ทำให้เกิดรัฐบาลชุดนี้ ดังนั้น ถ้าการเลือกตั้งครั้งต่อไป
มีตัวเลขตามที่นายประจักษ์พูดไว้ ทุกอย่างมีความเป็นไปได้

แต่ทั้งหมดยังไม่ใช่สูตรสำเร็จ ยังไม่มีอะไร 100%
ขณะนี้ เป็นเพียงการคาดการณ์พูดถึงความน่าจะเป็นเท่านั้น

สำหรับเรื่องจำนวนเสียง ส.ส.ที่เริ่มมีการคุยข่มกันว่าพรรคนั้นจะได้ 200 เสียง
พรรคนั้นจะได้ 60-70 เสียง นายศุภชัย มองว่า พรรคอื่นได้เท่าใด เราคงไม่ไปพูดถึง
เพราะการจัดตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของตัวเลข
สูตรการจัดตั้งรัฐบาลทุกครั้งเป็นสูตรทางคณิตศาสตร์ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร

“อยู่ที่เมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ตัวเลขเหมาะสมและทำงานร่วมกันได้หรือไม่เท่านั้น”

เป็นคำพูดที่ดูเหมือนกับจะคล้ายๆฝากลอยลมไปให้บางพรรค ว่า
การทำงานร่วมกันอย่งราบรื่นเป็นปัจจัยสำคัญในการร่วมรัฐบาล มากกว่าจำนวนเสียง!!!

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker