แม้ผมจะวิจารณ์การอ้างพุทธศาสนา หรือการนำ “ธรรมะ”  มาใช้อธิบาย  และ/หรือเสนอทางออกจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในหลายบทความว่า  ก่อให้เกิดปัญหามากกว่าช่วยแก้ปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่า  ผมคิดว่าควรปิดกั้นการเสนอทัศนะทางพุทธศาสนาในการแก้ปัญหาการเมือง  หรือคัดค้านการอ้างอิงทัศนะทางพุทธศาสนาอธิบายการเมือง  เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า การเสนอนั้นๆ มีปัญหาอย่างไรบ้าง
 บทความนี้ผมต้องการเสนอทัศนะทางพุทธศาสนาเป็นทางออกจากความขัดแย้งทางการเมือง ตามความเข้าใจ (ตีความ) ของผมดังนี้
 1. การทำความเข้าใจปัญหาผ่าน “กฎอิทัปปัจจยตา” หรือ กฎความเป็นเหตุปัจจัยของสรรพสิ่ง ที่ผ่านมามีข้อผิดพลาดที่สำคัญคือ เมื่อพระสงฆ์บางรูปอธิบายว่า “ตราบใดที่นักการเมืองคอร์รัปชันย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดรัฐประหาร” ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่า คอร์รัปชันเป็น “สาเหตุจำเป็น” ของการเกิดรัฐประหาร เหมือนประโยคว่า “อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร”  ซึ่งความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่  เพราะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐประหารกับคอร์รัปชันไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่าง จำเป็นเหมือนอวิชชากับสังขาร 
 ตามกฎอิทัปปัจจยตา (เรียกอีกอย่างว่า “ปฏิจจสมุปบาท”) เมื่ออวิชชาเกิดสังขารต้องเกิดตามมาอย่างจำเป็น (necessary) แต่ ในทางการเมืองเมื่อเกิดคอร์รัปชันไม่จำเป็นว่ารัฐประหารต้องเกิดตามมาเสมอไป  ในอารยประเทศเมื่อมีปัญหาคอร์รัปชันเขาก็แก้ด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เช่น  การตรวจสอบในสภา การตรวจสอบของนักวิชาการ สื่อ ใช้กระบวนการถอดถอน  และ/หรือกระบวนการยุติธรรมภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
 ฉะนั้น  หากจะใช้กฎอิทัปปัจจยตาอธิบายเหตุปัจจัยของรัฐประหาร  ต้องจัดความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยให้ถูก  เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดรัฐประหารอย่างจำเป็นคือระบบสังคม-การเมือง  หรือระบบกฎหมายของรัฐที่เปิดช่องให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงการเมืองได้ 
 2.  พุทธศาสนาถือว่าทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ  ทุกข์หรือปัญหาในชีวิตและปัญหาทางการเมืองเป็นต้น ก็ย่อมมีสาเหตุเช่นกัน  จะแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ฉะนั้น  หากจะออกจากปัญหาความขัดแย้งก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุให้ได้
 แก้ที่ต้นเหตุ คือแก้เรื่องอำนาจนอกระบบและรัฐประหาร
 แล้ว ปัญหาคอร์รัปชันไม่แก้หรือ แก้ครับ ต้องแก้ทุกวัน แก้ไปเรื่อยๆ  เหมือนแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นต้น แต่ต้องไม่แก้ด้วยวิธีรัฐประหาร  เพราะเราไม่รู้ว่าปัญหาคอร์รัปชันจะหมดไปเมื่อใด  เหมือนกับไม่รู้ว่าปัญหาเศรษฐกิจจะหมดไปเมื่อใด และก็ไม่มีหลักประกันใดๆ  ว่ารัฐบาลที่มาจากรัฐประหารจะไม่คอร์รัปชัน  หรือจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจเก่งกว่ารัฐบาลที่ประชาชนเลือก
 3. การแก้ที่อำนาจนอกระบบและรัฐประหารมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้นต้องแก้ปัญหาที่รัฐประหารก่อขึ้น คือ 
 1) การทำลายระบบนิติรัฐด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญ จึงทำให้เกิดการทำลายระบบนิติธรรมตามมาด้วยการสร้าง “ระบบสองมาตรฐาน”  ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการเอาผิดนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม  แต่ช่วยเหลือนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายตัวเองอย่างน่าเกลียด  ทั้งในกรณีคดียุบพรรคและการไม่ต้องรับผิดต่อการสลายการชุมนุมที่ผิดหลักสากล  จนเป็นเหตุให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก  ปัญหาดังกล่าวนี้จะต้องแก้สองเรื่องหลักๆ คือ 
 ก)  คืนสิทธิที่จะต่อสู้ในคดีความต่างๆ แก่นักการเมือง พรรคการเมือง  และประชาชนทุกคนที่ถูกดำเนินการเอาผิดจากกระบวนการที่สืบเนื่องจากรัฐประหาร   เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานซึ่งขัดต่อหลัก นิติธรรมที่ผู้ถูกกล่าวหาต้องมีสิทธิต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลาง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย  ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมที่ฝ่ายรัฐประหารเป็นโจทย์กล่าวหาเอง  สืบสวนสอบสวนเอง ส่งฟ้องเอง ตัดสินเอง
 ข)   มีกระบวนการที่เป็นกลางไต่สวนหาข้อเท็จจริงและเอาผิดตามกระบวนการยุติธรรม ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยกรณีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์สลายการชุมนุมในเดือนเมษา-พฤษ ภา 2553  (โดยต้องพิจารณาความผิดของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตามข้อเท็จจริงและตัวบท กฎหมาย)
 2)  ส่วนระยะยาว ต้องมีคณะกรรมการพิจารณาการจัดวางระบบกฎหมายเกี่ยวกับสถานะ  อำนาจ และบทบาทของสถาบันกษัตริย์และกองทัพให้สอดคล้องกับหลักสิทธิ เสรีภาพ  ความเสมอภาค และความยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตย  ซึ่งจะเป็นแนวทางปกป้องสถาบันให้อยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง  ให้กองทัพอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลที่ประชาชนเลือกอย่างแท้จริง  และจะเป็นการปิดประตูรัฐประหารอย่างถาวร
 4.  หยุดการการตีความพุทธศาสนาเพื่อรับใช้ผู้มีอำนาจ เช่น  การอ้างอิงคำสอนเรื่องทศพิธราชธรรม และจักรวรรดิวัตร  ไม่ควรอ้างอิงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ “ยอพระเกียรติ”  เท่านั้น ดังประเพณีที่ทำตามๆ กันมา  ต้องซื่อสัตย์ต่อหลักธรรมดังกล่าวโดยกล้าหาญที่จะอ้างอิงว่า  หลักทศพิธราชธรรมคือหลักการตรวจสอบผู้มีอำนาจว่าได้ใช้อำนาจนั้นถูกทำนอง คลองธรรมหรือไม่  ไม่ใช่หลักสำหรับสนับสนุนว่ามีบางอำนาจที่สมควรตรวจสอบไม่ได้
 5.  การอ้างพุทธศาสนานั้น ต้องกล้าชี้ความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างด้วย  ไม่ใช่เพียงเตือนสติให้คนละโลภ โกรธ หลง  หรือเป็นกลางแบบลอยตัวเหนือปัญหาเท่านั้น  โครงสร้างอำนาจนอกระบบที่เป็นสาเหตุให้เกิดรัฐประหารนั้น  หากพิจารณาตามหลักการพุทธศาสนาย่อมเป็น “โครงสร้างอยุติธรรม” ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข หรือแทนที่ด้วยโครงสร้างที่ยุติธรรมที่อยู่บนหลักเสรีภาพและความเสมอภาคในความเป็นคน
 จะว่าไปแล้ว หลักกรรมในพุทธศาสนานั้น คือ “หลักความเสมอภาคทางศีลธรรม” ในความหมายว่า ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง “ใครทำดีย่อมได้รับผลดี ใครทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว” โดยหลักการนี้หากนำมาประยุกต์ใช้ในทางกฎหมายก็เท่ากับว่า “ทุกคนเสมอภาคตามกฎหมาย” ฉะนั้น จึงไม่มีใครที่ทำผิดแล้วสมควรได้รับการยกเว้การเอาผิดตามกฎหมายภายใต้ “มาตรฐานเดียวกัน” 
 นอกจากนี้หลักกรรมยังเป็นหลักที่ยืนยัน “ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์” ในความหมายว่า ทุกคนมีเสรีภาพในการเลือกการกระทำ และเมื่อใช้เสรีภาพในการเลือกย่อมต้องรับผิดชอบต่อผลการกระทำนั้นเสมอ
 ฉะนั้น หลักคิดดังกล่าวจึงสนับสนุนหลักการมีเสรีภาพอย่างเท่าเทียมตามระบอบประชาธิปไตย
 อย่างไรก็ตาม หลักกรรมที่อธิบายว่า “คนเราเกิดมาต่างกัน มีฐานะทางสังคมต่างกัน ควรได้รับการปฏิบัติต่างกัน โดยกฎหมายและโดยวิธีอื่นๆ เพราะทำกรรมมาต่างกันในอดีตชาติ”  นั้น ต้องดูว่าเป็นการตีความตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนจริงๆ หรือไม่  และต้องดูบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของการตีความหลักกรรมในความหมาย ดังกล่าวด้วยว่า มีวัตถุประสงค์ทางสังคมและการเมืองอย่างไร
 สำหรับ ผมเห็นว่า การตีความหลักกรรมในความหมายที่ยืนยันความเสมอภาคทางศีลธรรม  และความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ น่าจะสอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าสอนมากกว่า (ถึงแม้ไม่ตรงทั้งหมด แต่ก็มีประโยชน์ต่อการสร้างสังคมที่เป็นธรรมมากกว่า)
 6. สุดท้าย ผมคิดว่าพุทธศาสนาไม่ได้มองชีวิตและโลกสมบูรณ์แบบ สัจธรรมข้อแรกคือ “ทุกข์”  ในอริยสัจสี่นั้น  คือการยืนยันความบกพร่องหรือความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิตและโลกในความเป็นจริง  ซึ่งหมายความว่าชีวิตและโลกในความเป็นจริง ไม่ว่าในมิติของปัจเจก สังคม  เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ มีปัญหา มีข้อบกพร่องต่างๆ ให้เราต้องเรียนรู้  ทำความเข้าใจ และแก้ไขไปเรื่อยๆ  บางเรื่องอาจเป็นไปได้ที่จะแก้ไขได้เสร็จสิ้น  บางเรื่องอาจต้องเรียนรู้และแก้ไขอยู่ร่ำไป 
 ใน แง่นี้พุทธศาสนาจึงชี้แนะให้เราเปิดกว้างที่จะเรียนรู้และเลือกใช้ความคิด และวิธีการแก้ปัญหาหลายๆ แบบ  เพื่อให้เลือกใช้ความคิดและวิธีการที่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากที่สุด
 ด้วย เหตุนี้  พุทธศาสนาจึงไม่ปฏิเสธวิถีทางประชาธิปไตยในการแก้ปัญหาการอยู่ร่วมกันในทาง สังคม-การเมือง  เพราะพุทธศาสนายืนยันวิธีแก้ปัญหาด้วยปัญญามากกว่าวิธีแก้ปัญหาด้วยอำนาจ  แน่นอนว่าวิถีทางประชาธิปไตยเป็นวิถีทางที่ใช้ปัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพ กว่าวิถีทางเผด็จการ ฉะนั้น ภายใต้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงกว่า 5 ปี มานี้  เราจำเป็นต้องหาทางออกจากปัญหาให้ได้ด้วยวิถีทางประชาธิปไตย
 ไม่ ว่าจะเป็นปัญหาคอร์รัปชัน ปัญหารัฐประหาร  และกระบวนการสืบเนื่องจากรัฐประหาร รวมถึงปัญหาการจัดวางสถานะ อำนาจ  และบทบาทของอำนาจนอกระบบและกองทัพ  จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขด้วยปัญญาที่ยึดโยงอยู่กับหลักการ อุดมการณ์  และวิธีการที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น
 และสำหรับพุทธศาสนา การเดินตามหลักการ อุดมการณ์ และวิธีการที่เป็นประชาธิปไตยนั่นเอง คือความหมายของการตัดสินใจที่เรียกว่ามี “ธรรมาธิปไตย” หรือการตัดสินใจอย่างยึด “ความถูกต้อง” เป็นใหญ่ ในบริบทของสังคม-การเมืองยุคปัจจุบัน 
 
