
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการจัดเวทีอภิปรายเรื่อง "1 ปีเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 53 ความยุติธรรมที่หายไป" จัดโดย ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณีเม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.)โดยมีวิทยากร ได้แก่ อ.กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล, อ.สาวตรี สุขศรี นิติศาสตร์ มธ., อ.เสนาะ เจริญพร ศิลปศาสตร์ ม.อุบลราชธานี และ คุณขวัญระวี วังอุดม ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม ม.มหิดล
ความคืบหน้าพบผู้เสียชีวิตรายที่ 93 คดีก็ยังไม่คืบ
นาย ชัยธวัช ตุลาธน คณะทำงานศปช. กล่าวถึงความคืบหน้าของข้อเท็จจริงและความยุติธรรม โดยเผยว่า 1 ปีที่ผ่านมาภาพรวมที่เกิดขึ้นคือ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีการสรรหาคณะกรรมการ ออกระเบียบให้สำนักนายกฯรองรับกระบวนการการตรวจสอบค้นหาความจริง เยียวยาฟื้นฟู และวางมาตรการลดความขัดแย้ง ภายในระยะเวลา 2 ปี แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ รายงานที่ทางคอป.ออกมาจนถึงวันนี้ยังเป็นแค่หลักการแนวคิด ยังไม่มีการรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีการเชิญสื่อไปชี้แจงเป็นระยะ
คอป. พูดถึงปัญหาว่า คอ ป.ไม่มีอำนาจในการ เรียกบุคคลมาสอบ, ขาดความคุ้มครองคนที่ออกมาให้ข้อมูล   และถูกแต่งตั้งจากรัฐบาลที่เป็นคู่ความขัดแย้งจึงไม่ได้รับความไว้ใจ   และความร่วมมือ ทั้งนี้มีข้อสังเกตด้วยว่ามีความมุ่งเน้นไปที่การปรองดอง   มากกว่าเรื่องความยุติธรรมซึ่งอาจหลีกเลี่ยงการชี้ความผิด-ถูก
สำหรับ กรณีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เชื่อว่า   ความสูญเสียและการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นนั้น ศอฉ.   เป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์   แต่ดีเอสไอที่เป็นหน่วยงานหลักซึ่งทำการสอบสวนนั้นกลับต้องทำงานภายใต้การ  กำกับของศอฉ.
สำหรับการสอบคดีของดีเอสไอ สามารถแบ่งได้เป็น 3  ประเภทคือ 1.  มีหลักฐานว่าตายจากกลุ่มผู้ชุมนุม 2.   มีข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อว่าอาจมาจากพนักงาน 3. ยังไม่มีข้อยุติ ซึ่งธาริต   เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) บอกว่าจะเร่งทยอยแถลงผล   แต่ผ่านมาถึงวันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ทั้งนี้  คดีในกลุ่มที่ 2   ที่เมื่อมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่แล้วต้องส่งกลับไปให้ตำรวจสอบสวน  นั้น มีแนวโน้มว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะปรับการสรุปของดีเอสไอ เนื่องจาก   พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ตำหนิว่า พยานอ่อน   ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐที่แสดงตัวว่าเป็นผู้ทำให้เกิดการตาย หรือ   พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ
ด้านการทำงาน ของวุฒิสภา และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ   ก็ยังไม่มีการเผยแพร่หรือรายงานใดๆ ออกมา เพราะฉะนั้น กล่าวได้ว่า   เรื่องยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจน แต่พบว่ามีข้อเท็จจริงเบื้องต้นหลายอย่าง   ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาพูดเหมือนเดิม นอกจากนี้   ยังพบด้วยว่ามีผู้เสียชีวิตศพที่ 92 และ 93 จากแก๊สน้ำตา โดยรายที่ 93   เพิ่งเสียชีวิตโดยครอบครัวเผยว่าผู้เสียชีวิตมีปัญหาจากปอดเนื่องจากผลของ  แก๊สน้ำตา
สันนิษฐาน "ฮิโรยูกิ" อาจโดนชุดดำสังหาร
อ.กฤตยา  อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล กล่าวว่า   มีข้อมูลในเบื้องต้นที่เกี่ยวกับการตายของทั้ง 92 ศพ   แต่ยังไม่ได้มีการชันสูตรพลิกศพในบางราย คำถามคือตั้งแต่วันที่13-14 เม.ย.   ทำไมจึงไม่ได้มีการชันสูตรทุกศพ  
ทั้งนี้ กล่าวได้ว่า   ไม่พบความพยายามเชิงระบบที่จะทำให้เรื่องมีความชัดเจน   และไม่สามารถเข้าถึงใบชันสูตร จากที่ในช่วงแรกสามารถดูได้   ทำให้เชื่อว่ามีความพยายามจะปกปิดข้อมูล รวมถึงแหล่งข้อมูล
สำหรับ การเสียชีวิตในรายของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ  ช่างภาพของญี่ปุ่นนั้น  มีผู้เชี่ยวชาญอาวุธเผยว่า  นายมูราโมโตะเสียชีวิตจากกระสุนประเภทปืนอาก้า  ซึ่งไม่มีใช้ในราชการ  จากข้อสันนิษฐานนี้ทำให้คิดได้ว่า   มีความเป็นไปได้ที่อาจเสียชีวิตจากฝีมือของคนชุดดำ
นอกจากนี้ รายงาน การใช้อาวุธพบตัวเลขที่ละเอียด ด้วยว่า มีการเบิกกระสุนปืนซุ่มยิงไป 3 พันนัด ใช้ไป 2,520 นัด ซึ่งเป็นจำนวนที่มาก เมื่อลองคิดดูว่าคนที่ใช้ต้องเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมมาแล้วเป็นอย่างดี โดยเมื่อรวมกับการใช้กระสุนทุกประเภทแล้วใช้ยิงไปมากถึง 189,707 นัด
แต่ สิ่งที่น่าสนใจกว่าคำถามเรื่องใครยิง   คือเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่จะต้องมีกระบวนการนำคนผิดมาลงโทษอย่างแท้จริง   ซึ่งหากยังไม่สามารถดำเนินคดี ก็จะส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการใดๆต่อไปได้   จึงเกิดคำถามว่า มีความล่าช้าในเชิงระบบ ซึ่งหากรัฐมั่นใจว่าทหารไม่ได้ทำ   ทำไมจึงไม่ทุ่มทุนลงไปดำเนินการหาความจริง
คดีไม่คืบ มีหลักฐานเจ้าหน้าที่ประวิงเวลา ฟ้องได้!!!
ด้าน  อ.สาวตรี สุขศรี กล่าวว่า  "ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม"  ทั้งนี้  การดำเนินการที่ผ่านมามีความล่าช้า จากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ  (ดีเอสไอ)   เป็นหน่วยงานพิเศษที่เพิ่งตั้งขึ้นทำให้มีช่องว่างในเรื่องระยะเวลาซึ่งระยะ  เวลาหลังจากที่เสียชีวิตไปจนถึงวันที่ 25 มิ.ย. 2554   ยังไม่มีการเริ่มสอบสวนเลยยังเป็นแค่สำนวนอยู่   ทั้งในคดีที่เป็นการตายที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่   รวมถึงการตายที่พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์   ซึ่งเมื่อเลยระยะเวลา 247 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มเกิดเหตุแล้ว   หากญาติผู้เสียหายมีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่มีการประวิงเวลา   อาจฟ้องร้องฐานละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ได้
สำหรับข้อเสนอแนะฝ่ายอำนวยกระบวนการยุติธรรมคือ ที่ผ่านมาการดำเนินการคดีการเมืองมักกระทำล่าช้า ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้สูญเสีย อาจมีสาเหตุจากพนักงานสอบขาดความรู้ ความสามารถ หรือไม่แน่ใจอำนาจของตัวเอง ทำงานซ้ำซ้อน จนไปถึงข้อสันนิษฐานว่ารัฐอาจไม่อยากดำเนินคดี หรือ อาจรอการปรองดองหรือไม่ 
การ ตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)  โดยยังไม่มีเงื่อนไขเวลา  ทำให้เกิดช่องว่าง เพราะฉะนั้น   จึงต้องอาจพิจารณาเพิ่มกฎหมายในกรณีระยะเวลาในการทำงาน
รวม ไปถึงญาติของผู้เสียหายควรติดตามคดี  อาจพิจารณาฟ้องศาลควบคู่ไปด้วย  เป็นการกดดันต่อรัฐ   ซึ่งการโยนคดีไปมาของดีเอสไอนั้นยังไม่มีความผิดแบบชัดเจน   แต่หากพบว่ามีก็สามารถใช้ข้อกฎหมายมาตรา 157   ว่าด้วยเรื่องการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้
กรณีเสื้อแดงเผาศาลากลาง จ.อุบลราชธานี
อ.เสนาะ  เจริญพร กล่าวว่า ข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์การเผาศาลากลาง  จ.อุบลราชธานี  นั้นตนมีข้อสังเกตต่อเหตุการณ์เมื่อนำหลักฐาน  และสภาพแวดล้อมต่างๆ  มาพิจารณาแล้ว ระบุได้ว่า   กลุ่มคนเสื้อแดงที่ลงมือเผานั้นเป็นการเผาเชิงสัญลักษณ์ในสถานที่ต่างๆ   เท่านั้น   แต่กลับโดนยั่วยุโดยทหารที่เปลี่ยนมาเฝ้ารั้วศาลากลางแทนที่เจ้าหน้าที่  ตำรวจอย่างฉับพลัน และเมื่อมีผู้ชุมนุมพังรั้วเข้าไปในตัวศาลากลางแล้วพบว่า   มีเสียงปืนดังขึ้นและมีผู้ถูกยิงบาดเจ็บ 5 ราย รวมไปถึงข้อเสังเกตว่า   อาจมีเจตนาปล่อยให้มีคนเผา จากที่มีกำลังทหาร 800 นาย   แต่คนที่กล้าเข้ามาป้วนเปี้ยนในบริเวณหลังมีเสียงปืนดังมีเพียงประมาณ 20   คนเท่านั้น และเปลวเพลิงเองก็เริ่มมาจากที่ชั้น 2 ด้วย
สำหรับ เรื่องการจับกุมของเจ้าหน้าที่นั้นพบว่า มีหลักฐานไม่ชัดเจน   หมายจับคลุมเครือ จับแบบเหวี่ยงแห ใช้ภาพเหตุการณ์เมื่อปี 51   มาเป็นหลักฐานเปรียบจับ การจับกุมเป็นการกระทำแบบเจ้าเล่ห์   บางรายไม่รู้เรื่อง แต่ถูกบอกว่าให้มาตัดหญ้า พอมาก็โดนจับ
การ สอบสวนมีความฉ้อฉล เช่น  หลายรายพบว่าเจ้าหน้าที่บอกว่ามีทนายมาให้   แต่สุดท้ายเห็นเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่เห็นอีกเลย   และยังมีการหลอกให้สารภาพ ซัดทอดคนที่ไม่รู้จักด้วย   พูดจาหว่านล้อมว่าให้สารภาพไปก่อนแล้วค่อยสู้เอาในศาล   รวมถึงการตั้งข้อหาหนัก เรียกค่าประกันทำให้ไม่สามารถประกันตัวได้ 
ทั้งนี้ กำหนดการตัดสินคดีดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 5 ก.ย. แต่ศาลอาจขังต่อถ้ามีการอุทธรณ์
ประชาคมโลกแสวงหาความจริง
คุณ ขวัญระวี วังอุดม กล่าวว่า   ปลายเดือนที่ผ่านมารัฐบาลไทยตอบคำถามผู้แทนของสหประชาชาติ(ยูเอ็น)   ในด้านการสังหารนอกกฎหมาย โดยรัฐบาลยืนยันว่า   ให้ประชาชนใช้สิทธิได้ตามที่มี   แต่แท้ที่จริงก่อนการชุมนุมก็มีการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน   จนมีผู้ร้องเรียนไปเรื่องการใช้กำลังเกินเหตุจนทำให้มีผู้เสียชีวิต   และใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินที่ไม่เป็นไปตามสากล 
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษยัง ตั้งคำถามในเรื่องการใช้กำลังเกินกว่าเหตุที่มี  การตั้งป้ายโซนใช้กระสุนจริง จนเป็นการเอื้อให้มีการยิงเกิดขึ้น   รวมไปถึงเรื่องมาตรา 17 ที่กำหนดให้ละเว้นโทษแก่เจ้าหน้าที่   ซึ่งเป็นมาตราที่ระบุเอาไว้กว้างมาก
นอกจากนี้   ในประเด็นการตั้งคณะกรรมการสอบค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ   (คอป.) อาจไม่โปร่งใส   รัฐบาลยังมีการจ้างทีมต่างประเทศเข้ามาชันสูตรศพเพียงแค่รายเดียวเท่านั้น   แต่กลับมาใช้โฆษณาว่ามีความอิสระ   แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวคอป.ว่าจะเอารายงานมาเปิดเผยหรือไม่   อย่างไร
 
